หนังสยองขวัญอาจจะเป็นของแสลงสำหรับหลายๆ คน แต่บางช่วงเวลาก็เหมาะที่จะนั่งดูหนังเหล่านี้ อย่างเช่น ในช่วงวันฮาโลวีนของฝรั่ง หรือช่วงฤดูร้อนที่ร้อนจนอยากหาอะไรมาทำให้ตัวเย็นและขนลุกตามแนวคิดคนญี่ปุ่น หรือในเวลาที่รวมตัวเพื่อนกลุ่มใหญ่มาดูหนังเรื่องเดียวกัน
หนังสยองขวัญมักจะมีคนที่เสียชีวิตในเนื้อเรื่องอยู่เยอะ หลายเรื่องมีภาคต่อจนกลายเป็นเฟรนไชส์ใหญ่ไม่น้อย รวมไปถึงหนังสยองขวัญเลือดสาดอย่าง ‘Saw’ ที่ในปี 2019 นี้ ก็มีอายุอานามเข้าสู่วัย 15 ปี แล้ว (Saw ฉายครั้งแรกเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม ค.ศ.2004)
การที่หนังซึ่งมีฉากเสียชีวิตแบบโหดๆ เรื่องนี้มีภาคต่อเนื่องกันมาถึง 8 ภาค และถูกสร้างเป็นสื่ออื่นทั้งการ์ตูนและเกม Saw เองก็ไม่ได้มีแต่ภาพที่ดูรุนแรงไปซะทั้งหมด ถ้าไปถามแฟนๆ ของเฟรนไชส์ หลายคนจะกล่าวว่า เนื้อเรื่องยังมีอะไรที่มากกว่าฉากคนโดนทรมาน หนังแฝงด้วยประเด็นเชิงปรัชญาจึงทำให้หลายคนติดตาม Saw อย่างต่อเนื่อง
แต่กว่าที่ Saw จะผ่ากระแสภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ จนมาถึงจุดที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แล้วต่อจากนี้ Saw จะไปทางไหน เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง
*คำเตือน : บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาสำคัญของเฟรนไชส์หนัง Saw
ก่อสร้าง ผ่าร่าง เกมสยอง
ภาพยนตร์เรื่อง Saw เป็นไอเดียของเพื่อนสองคนที่เรียนทำการสร้างภาพยนตร์จากมหาวิทยาลัย Royal Melbourne Institute of Technology ที่ชื่นชอบในภาพยนตร์สยองขวัญเหมือนกัน และมีไอเดียในการทำงาน แต่ปัญหาก็คือ พวกเขาไม่มีเงินมากพอจะสร้างหนังสยองขวัญแบบที่ตลาดเคยทำมาได้ พวกเขาเลยใช้เวลาหลังจากจบการศึกษาไปทำงานอื่นพลางคิดไอเดียที่จะถ่ายทำหนังสยองขวัญที่ใช้งบไม่มากนัก
จนกระทั่งวันหนึ่ง ลีห์ วันเนล (Leigh Whannell) ก็ได้ไอเดียเกี่ยว ชายสองคนที่ติดอยู่ในห้อง โดยมีศพนอนขวางพวกเขา และมีปืนกับเครื่องอัดเสียง เขารีบโทรไปคุยกับ เจมส์ วาน (James Wan) เพื่อนที่ฝันอยากทำหนังแนวเดียวกัน ทั้งคู่ก็จับเอาไอเดียนี้มาประกอบร่าง ก่อนจะคิดว่าชื่อ Saw เหมาะกับหนังเรื่องนี้ดี
ถึงแม้บทที่ทั้งสองคนร่วมกันเขียนจะออกมาดูดีระดับที่บริษัทผู้ผลิตภาพยนตร์ในออสเตรเลียยังแสดงความสนใจ แต่ในช่วงปี ค.ศ.2001 – 2002 นั้นไม่มีนายทุนเจ้าไหนในออสเตรเลียกล้าออกทุนสร้างหนังสยองขวัญ ลีห์กับเจมส์จึงคิดว่า ถ้าแบบนี้พวกเขาอาจจะต้องบินไปขายหนังที่อเมริกามันเสียเลย แต่จะบินเพื่อเอาบทภาพยนตร์ไปอย่างเดียวก็อาจจะโน้มน้าวใจนายทุนไม่ได้ พวกเขาจึงถ่ายทำภาพยนตร์ขนาดสั้นเพื่อให้นายทุนเข้าใจคอนเซปต์ง่ายขึ้น
ตัวหนังสั้นเล่าเรื่องของชายหนุ่มคนหนึ่ง ที่มีเลือดเปื้อนตามตัวกับเสื้อ และถูกตำรวจสอบสวนว่าไปเจอกับอะไรมา เขาจึงย้อนนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาว่า เขาถูกพาตัวไปยังห้องปิดแห่งหนึ่ง โดยที่เขาโดนถูกมัดกับเก้าอี้และมีกับดักหมีแบบย้อนกลับ (reverse bear trap) ติดอยู่ที่ศีรษะ ก่อนที่ตุ๊กตาบิลลี่ (Billy The Puppet) จะออกมาบอกกับเขาว่า ถ้าอยากรอดจากกับดักพิฆาต จะต้องมีการเล่นเกมกันเสียก่อน โดยเกมนั้นก็คือ การผ่าเอากุญแจที่ซ่อนอยู่ในร่างของชายอีกคน ที่ตอนแรกนอนสงบจนคิดว่าเป็นศพแต่แท้จริงแล้วยังมีชีวิตอยู่ หลังจากนั้นหนังจะตัดกลับมายังห้องสอบสวนและจบลง
หนังสั้นของเจมส์ วาน กับลีห์ วันเนล (ที่ภายหลังถูกเรียกอย่างไม่เป็นทางการว่า Saw 0.5) ทำให้บริษัทผู้ผลิตหนังและนายทุนหลายเจ้าแสดงความสนใจอย่างยิ่ง กระนั้นชายสองคนที่เดินทางมาจากออสเตรเลียก็เลือกทำงานกับบริษัทผู้สร้างภาพยนตร์ขนาดย่อมๆ เจ้าหนึ่ง ด้วยการตกลงว่า เจมส์กับลีห์จะได้สร้างหนังออกมาตามที่พวกเขาอยากจะสร้างโดยไม่มีการปรับเปลี่ยนอะไรมากนัก
แล้วหนังเรื่อง Saw ก็เริ่มถ่ายทำ ด้วยการใช้เงินทุนราวๆ 1,200,000 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งดูเป็นเงินไม่มากนัก แต่ตัวบทนั้นถูกวางมาให้เล่าเรื่องภายในห้องปิด งบเท่านี้จึงไม่ถือว่าน้อยเกินไปนัก หนังออกฉายในช่วงฮาโลวีนของปี ค.ศ.2004 ก่อนจะกลายเป็นภาพยนตร์ม้ามืดที่กวาดรายได้จากทั่วโลกไปราว 103 ล้านเหรีญดอลลาร์สหรัฐ อาจจะเพราะตัวภาพยนตร์มีบทที่ฉลาดเฉลียว และมีกลิ่นอายเชิงปรัชญาที่ใกล้เคียงกับแนวคิดของ เซอเรน เคียร์เคอกอร์ (Søren Kierkegaard) ที่เชื่อว่าคนเราควรจะผ่านความทุกข์ทรมานเพื่อจะได้รับรู้ว่าความหมายในการมีชีวิตคืออะไรแฝงอยู่ เลยทำให้คนดูมองว่านี่ไม่ใช่แค่ภาพยนตร์ที่จับตัวละครมาฆ่าฟันกันเท่านั้น
เกมสยองรวมถึงตัวเจมส์ วาน ที่ทำหน้าที่เป็นผู้กำกับ และลีห์ วันเนล ที่ขึ้นเครดิตเป็นผู้เขียนบท ก็กลายเป็นที่จดจำระดับแมสนับแต่บัดนั้น
จาก Saw ไปถึง Saw III
Saw ภาคแรกจบที่การร่วมมือและหักเหลี่ยมเพื่อเอาชีวิตรอดระหว่าง ดร.ลอว์เรนซ์ กอร์ดอน (Dr. Lawrence Gordon) และชายหนุ่มชื่อ อดัม (รับบทโดย ลีห์ วันเนล ผู้เขียนบท) ในห้องน้ำปิดตายได้สิ้นสุดลง และศพที่นอนอยู่กลางห้องก็ลุกขึ้นมาเปิดเผยตัวเองว่า เขานั่นล่ะ คือ จิ๊กซอว์ (Jigsaw รับบทโดย โทบิน เบล) ฆาตกรผู้ชอบลักพากตัวคนมาเล่นเกมสยองแลกชีวิต และคอยชมการตัดสินใจของคนที่อยู่ในตัวเกมว่าเป็นอย่างไร ระดับที่ยอมปลอมเป็นศพตบตาผู้เคราะห์ร้าย
จะเห็นได้ว่าเนื้อเรื่องของ Saw ภาคแรกยังมีอะไรให้บอกเล่าอีกมาก และเมื่อหนังภาคแรกทำกำไรแบบถล่มทลาย Lionsgate ที่เป็นผู้จัดจำหน่ายหนัง ก็เลยเร่งให้มีการสร้างภาพยนตร์ภาคต่อให้ออกฉายทันในช่วงฮาโลวีนของปี ค.ศ.2005 และก็น่าจะเป็นเรื่องลำบากอยู่ไม่น้อยเพราะมีเวลาไม่มากนัก
โชคดีเล็กน้อยที่ทีมผู้สร้างได้เห็นบทหนังของ แดร์เรน ลินน์ บาวส์แมน (Darren Lynn Bousman) เรื่อง ‘The Desperate’ ที่มีความใกล้เคียงกับ Saw มาก เมื่อเห็นเช่นนี้ ทีมสร้างภาพยนตร์จึงซื้อบทและให้ลีห์ วันเนล ทำการปรับแก้เรื่องราวให้สอดคล้องกับจักรวาลภาพยนตร์ Saw มากขึ้น ทั้งยังให้แดร์เรน ลินน์ บาวส์แมน มารับกำกับภาพยนตร์ด้วยเสียเลย เพราะในขณะนั้น เจมส์ วานติดกำกับภาพยนตร์อีกเรื่องอยู่ นอกจากนี้ เจมส์ วาน กับลีห์ วันเนล ก็รับหน้าที่เป็น executive producer ของภาพยนตร์อยู่ด้วย
‘Saw II’ สามารถออกฉายได้ตามกำหนดของ Lionsgate แม้จะมีทุนมากขึ้นแต่ก็ยังใช้ในจำนวนไม่มากนักหากเทียบกับหนังฟอร์มใหญ่ และสร้างรายได้มหาศาลอีกครั้ง ช่วยขยายจักรวาลของ Saw ให้กว้างขึ้นอีกเล็กน้อย
ในภาพยนตร์มีการระบุว่า ตัวจริงของ จิ๊กซอว์ คือ จอห์น เครเมอร์ ชายที่ใกล้จะเสียชีวิตจากโรคมะเร็ง และเริ่ม ‘เล่นเกม’ เพื่อทดสอบผู้คน ที่เขามองว่ากระทำเรื่องราวบางอย่างที่ไม่เหมาะสม ดูว่าคนเหล่านั้นจะยอมสูญเสียบางสิ่งในร่างกาย เพื่อแลกกับชีวิตตัวเองหรือไม่ คนที่รอดตายอาจจะต้องเสียอวัยวะ ส่วนคนที่ไม่รอดจากเกม จิ๊กซอว์ก็จะทำการเลาะผิวหนังชิ้นเล็กๆ ออกมาเป็นรูปทรงตัวต่อจิ๊กซอว์ และในภาพยนตร์ภาคต่อนี้ก็มีการเปิดเผยว่า จิ๊กซอว์ไม่ได้ก่อเหตุคนเดียว แต่มี ‘ลูกศิษย์’ อย่าง อแมนด้า ยัง (Amanda Young) ร่วมก่อเหตุและรับช่วงแนวคิดของจิ๊กซอว์อีกด้วย
เมื่อรายได้ยังออกมาดี เรื่องราวก็มีอะไรน่าสนใจมากกว่าการเป็นภาพยนตร์แนว torture porn movies (หนังสยองขวัญที่มีการทำร้ายร่างกายแบบถึงเลือดถึงเนื้อ) ภาพยนตร์ภาคสามจึงได้รับไฟเขียวในการสร้างทันที ซึ่งครั้งนี้เจมส์ วาน กับลีห์ วันเนล กลับมาร่วมกันเขียนบทอีกครั้ง โดยให้แดร์เรน ลินน์ บาวส์แมน กำกับภาพยนตร์อยู่เช่นเดียวกับภาคสอง และภาพยนตร์ ‘Saw III’ ก็สามารถเข้าฉายได้ทันในช่วงฮาโลวีน ปี ค.ศ.2006
เรื่องราวต่อยอดมาที่การสืบสวนของตำรวจที่พบว่า จิ๊กซอว์ได้ลักพาตัวมาเล่นเกมสยองอีกครั้ง ที่ผิดแผกไปก็คือเหยื่อในเกมนั้นกลับไม่มีทางรอดจากกับดักได้ ต่างกับก่อนหน้านี้ ราวกับว่าฆาตกรจอมวางแผนคนนี้เปลี่ยนไป ในขณะเดียวกัน จอห์น เครเมอร์ กับอแมนด้า ก็เตรียมเกมใหม่ให้ชายหนุ่มกับหญิงสาว ที่ตอนแรกคาดว่าจะเป็นการให้สองคนนั้นต้องเลือกทางที่ถูกต้อง แต่แท้จริงแล้วไม่ใช่แค่เหยื่อรายใหม่ที่ต้องเลือก เพราะเกมนี้คือเกมทดสอบอแมนด้าเช่นกัน ก่อนที่เกมจะจบลงด้วยความตายของทุกคน และเหมือนว่าเรื่องราวของจิ๊กซอว์ควรจะจบลงที่จุดนี้
อย่างไรก็ตาม โลกทุนนิยมก็ทำให้ภาพยนตร์ Saw ก็ยังดำเนินต่อไป โดยที่ผู้สร้างดั้งเดิมอย่างเจมส์ วาน กับลีห์ วันเนล ไม่ได้เข้ามาร่วมเขียนบทอีกแต่อย่างใด พวกเขาทำหน้าที่แค่เป็น executive producer ของภาพยนตร์ในจักรวาล Saw เรื่อยมานับตั้งแต่ Saw ภาคที่สอง และน้อมรับว่าภาพยนตร์แนวสยองขวัญที่ลงเอยด้วยการเป็นเฟรนไชส์มักจะไปต่อได้ด้วยตัวของมันเอง แต่ก็มีความรู้สึกเหมือน ‘หย่าร้าง’ กับซีรีส์ไปพอสมควร
จาก Saw IV ไปถึง Saw VII
ความนิยมของเฟรนไชส์ Saw เพิ่มมากขึ้นในระดับที่กลายเป็นเรื่องพูดคุยในสื่อหลักได้ โดนจับไปทำหนังล้อเลียน (อย่างเช่น ‘Scary Movie 4’ ซึ่งทำฉากได้เหมือนหนังต้นฉบับจนกองถ่าย Saw III ต้องขอไปใช้ในการถ่ายทำ) ต้นทุนของภาพยนตร์ก็ถือว่ายังไม่สูงมาก ทำให้ยังมีแผนการสร้างภาพยนตร์ Saw ภาคต่อออกฉายในช่วงฮาโลวีนของทุกปี
และอย่างที่กล่าวไปแล้วว่า ผู้เขียนบทดั้งเดิมได้มูฟออนไปกับผลงานใหม่ๆ ที่มีอยู่ในมือแล้ว ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงทั้งผู้เขียนบทและผู้กำกับอยู่บ่อยครั้งขึ้น รวมไปถึงว่าการที่เรื่องราวในภาพยนตร์ Saw III ได้ทำการจบชีวิตจิ๊กซอว์ไปแล้ว ทำให้เนื้อหาใน ‘Saw IV’ ถึง ‘Saw VII’ มีการเล่าเรื่องเป็นแบบย้อนความไปมา โชคยังดีที่ แพทริก เมลทอน (Patrick Melton) กับมาร์คัส ดันแสตน (Marcus Dunstan) รับหน้าที่เขียนบทภาพยนตร์ทั้งสี่ภาค จึงทำให้มีเรื่องราวที่ร้อยต่อกันได้อยู่ระดับหนึ่ง แม้จะมีความมึนหัวตามมาบ้างก็ตาม
เนื้อหาตั้งแตง Saw IV ถึง Saw VII จึงเกี่ยวข้องกับการสืบสวนของตำรวจและ FBI หลังจากการตายของจอห์น เครเมอร์ หรือจิ๊กซอว์ตัวจริง โดยย้อนอดีตไปว่า เดิมทีแล้วจอห์นเคยเป็นวิศวกรโยธาที่ประสบความสำเร็จ มีภรรยาอันเป็นที่รัก และกำลังรอคอยลูกในท้องของภรรยา จนกระทั่งเหตุการณ์นำพาให้เขาต้องเสียลูกน้อย เลิกรากับภรรยา และไปบรรจบกับเหตุการณ์ใน Saw II ที่จอห์นพบว่าตัวเองเป็นมะเร็ง ด้วยความสิ้นหวัง เขาจึงพยายามฆ่าตัวตายแต่ก็รอดชีวิตกลับมาได้ ทำให้เขาวางแผนเล่นเกมเสี่ยงชีวิตนับแต่บัดนั้น—เขาใช้ความรู้กับความสำเร็จจากสายอาชีพตัวเองในการจัดหาสถานที่และสร้างกับดักนั่นเอง
นอกจากตัวละครหลักอย่างจิ๊กซอว์ที่ถูกขยายเรื่องราวแล้ว ยังมีการเพิ่มบทบาทสำคัญให้กับตัวละครอีกหลายตัว อาทิ มาร์ก ฮอฟแมนน์ (Mark Hoffmann) นายตำรวจผู้ตามสืบคดีของจิ๊กซอว์ ที่มีบทสมทบใน Saw III ก่อนจะมีการเปิดเผยใน Saw IV ว่า เขาเป็นลูกศิษย์อีกคนหนึ่งของจิ๊กซอว์ ตามมาด้วยการลงรายละเอียดใน ‘Saw V’ ว่า เขาเคยใช้ความรู้จากคดีของจิ๊กซอว์ในการสร้างกับดักปลิดชีวิตฆาตกรที่ฆ่าน้องสาวของเขา และใช้อำนาจหน้าที่ในการชี้นำว่าคดีนี้เป็นผลงานของจิ๊กซอว์ ก่อนที่เขาจะถูกจอห์น เครเมอร์ ลักพาตัวไป และกดดันให้นายตำรวจต้องรับหน้าที่เป็นลูกศิษย์/ผู้ช่วยของจิ๊กซอว์ ต่อด้วยการหักมุมใน ‘Saw VI’ ว่าเจ้าตัวเริ่มอยากเดินเกมของตัวเอง แถมเขาเคยข่มขู่อแมนด้า ยัง ว่ามีส่วนร่วมกับโจรที่ทำให้จอห์น เครเมอร์ ต้องเสียลูกไป
จิล ทัก (Jill Tuck) เป็นตัวละครอีกตัวหนึ่งที่ถูกแนะนำแบบคร่าวๆ ใน Saw III (และสื่อผสมอื่นๆ) ก่อนเธอจะมีบทบาทเพิ่มเติมมากขึ้นใน Saw IV ที่เธอมาเล่าอดีตของสามีให้ตำรวจสบสวนรับฟัง ใน Saw V จิลได้รับ ‘พินัยกรรม’ จากอดีตสามี ซึ่งเธอได้มอบต่อให้กับมาร์ก ฮอฟแมนน์ เพื่อดำเนินเกมของจิ๊กซอว์ต่อไป ซึ่งนายตำรวจก็สร้างกับดักและดำเนินการไปได้ด้วยดี แต่เขาเริ่มออกนอกเส้นทางของจิ๊กซอว์ และกลายเป็นฆาตกรต่อเนื่องไล่สังหารเพื่อนตำรวจที่เริ่มเข้าถึงความจริงว่าจิ๊กซอว์มีลูกศิษย์อยู่ และจิล ทัก ก็รอคอยจังหวะนี้โดยจัดการจับเอามาร์ก ฮอฟแมนน์ ใส่กับดักหมีแบบย้อนกลับ
แต่เรื่องราวกลับดุเดือดขึ้นใน ‘Saw VII’ หรือ Saw 3D เมื่อ มาร์ก ฮอฟแมนน์ รอดตายจากกับดักหมีแบบย้อนกลับ และพยายามล้างแค้น จิล ทัก ที่เธอก็ทราบว่า อดีตลูกศิษย์ของสามีรอดตายมาได้จึงขอมอบตัวกับตำรวจ โดยเธอกล่าวว่าจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับคดีจิ๊กซอว์แลกกับการคุ้มกันตัวเป็นพยาน ทว่า มาร์ก ฮอฟแมนน์ ก็วางแผนให้ตำรวจสับสนและสามารถฆ่า จิล ทัก ได้สำเร็จ และถ้าเขาสามารถเอาชีวิตรอดไปได้ คนที่รู้เรื่องจิ๊กซอว์จะมีเพียงตัวเขาเท่านั้น แล้วเหตุการณ์หักมุมก็เกิดขึ้น เมื่อ มาร์ก ฮอฟแมนน์ ถูกดักทำร้ายด้วยคนใส่หน้ากากหมูสามคน ซึ่งปกติแล้วคนใส่หน้ากากหมูจะมีเพียงแค่ลูกศิษย์ของจิ๊กซอว์ อย่างตัวมาร์กหรืออแมนด้า
จนกระทั่งชายคนหนึ่งถอดหน้ากากหมูออกมา และเผยความจริงว่า ดร.ลอว์เรนซ์ กอร์ดอน เหยื่อในเกมจาก Saw ภาคแรก รอดตายและกลายเป็นลูกศิษย์ลับของจิ๊กซอว์ ทั้งยังเป็นคนร่วมจัดการเหยื่อกับดักในภาพยนตร์ภาคอื่นๆ มาโดยตลอด การที่เขาออกมาเคลื่อนไหวก็มาจากพินัยกรรมของจอห์น เครเมอร์ ที่ให้ช่วยดูแล จิล ทัก ผู้เป็นภรรยา เมื่อเขาทราบว่าจิลเสียชีวิต เขาจึงปรากฎตัวมาทำตามคำขอของผู้เป็นอาจารย์ และทำการขังมาร์ก ฮอฟแมนน์ เอาไว้ในห้องน้ำเดียวกันกับ Saw ภาคแรก ก่อนจะปิดประตูบอกกล่าว่า ‘เกมจบลงแล้ว’ นอกจากนี้ใน Saw VII ยังบอกกับคนดูว่า แม้ว่าตัวจิ๊กซอว์จะตายไป แต่คำสอนก็ไปสู่ลูกศิษย์คนอื่นๆ รวมถึงผู้ที่รอดชีวิตจากเกมสยองเช่นกัน
อาจจะเพราะว่าเรื่องราวของจักรวาลภาพยนตร์ Saw ซับซ้อนมากขึ้น และในทางกลับกัน ยิ่งจำนวนภาพยนตร์ Saw มากขึ้นเท่าไหร่ ฉากการตายจากกับดักสยองก็รุนแรงมากขึ้นเท่านั้น เรื่องนี้อาจทำให้ผู้ชมที่นิยมภาพยนตร์ torture porn movies พึงพอใจ แต่คนที่ติดตามเพราะสนใจทิศทางเรื่องราวอาจจะถอยห่างไปบ้าง แม้ว่าผู้เคราะห์ร้ายใน IV จนถึง Saw VII จะมีปมที่ชวนให้คนดูคิดและไม่ควรทำตาม อาทิ กลุ่มบริษัทประกันที่มองว่าตัวพวกเขาเป็นคนตัดสินว่าจะจ่ายเงินประกันให้ใครรอดตาย หรือคนลวงโลกที่บอกว่าตัวเองเคยรอดจากกับดักของจิ๊กซอว์และเอาเรื่องราวนั้นมาหากิน
แต่สุดท้ายรายได้ของภาพยนตร์ Saw ก็ค่อยๆ ลดลงแม้ว่าจะยังกำไรอยู่ แต่ก็ถึงจุดที่ผู้สร้างและผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์คิดว่าเรื่องราวถึงจุดอิ่มตัวแล้ว ระดับที่เคยมีการวางแผนว่าภาคจบของภาพยนตร์จะมีสองภาค แต่เมื่อ Saw VI ทำรายได้ต่ำกว่ามาตรฐานของเฟรนไชส์ จึงมีการแปะคำโปรยของ Saw VII ว่าเป็น The Final Chapter (บทอวสาน)
และในที่สุด จิ๊กซอว์ หรือจอห์น เครเมอร์ ก็ได้นอนพักผ่อนอย่างสงบ…ไประยะหนึ่ง
การกลับมาของเกมสยองใน Jigsaw และเส้นทางต่อไปในอนาคต
ปี ค.ศ.2010 คือปีที่ภาพยนตร์ Saw VII ออกฉาย และเฟรนไชส์นี้ก็เงียบหายไปหลายปี นานพอที่ เจมส์ วาน ผู้กำกับ Saw ภาคแรกสร้างภาพยนตร์ชุดใหม่ได้อีกสองชุด ส่วนคู่หูอย่าง ลีห์ วันเนล ก็เขียนบทภาพยนตร์อีกหลายเรื่อง ก่อนที่จะมีโอกาสได้กำกับภาพยนตร์อย่าง ‘Insidious: Chapter 3’ กับ ‘Upgrade’ เพราะฉะนั้นการคืนชีพ Saw อีกครั้งโดยผู้สร้างดั้งเดิมนั้นคงไม่ใช่อะไรที่เป็นไปได้
จนกระทั่งมีนักเขียนบทคู่ใหม่อย่าง จอช สโตลเบิร์ก (Josh Stolberg) และปีเตอร์ โกลด์ฟิงเกอร์ (Peter Goldfinger) ที่ติดตามเฟรนไชส์ Saw มานาน ได้เขียนบทที่จูงใจให้ทีมผู้สร้างภาพยนตร์ Saw กลับมาเล่าเรื่องราวของเกมสยองครั้งใหม่ และได้พี่น้องสปีริก (Peter & Michael Spierig) ที่เคยกำกับภาพยนตร์ ‘Predestination’ มาเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ ‘Jigsaw’
เหตุการณ์ในภาพยนตร์ Jigsaw เกิดขึ้นในช่วงเวลาสิบปีให้หลังจากการตายของจอห์น เครเมอร์ แต่ทว่าตอนนี้กลับพบศพปรากฎขึ้นทั่วเมือง และเหมือนว่าศพเหล่านั้นผ่านการเล่นเกมสยองแบบเดียวกับที่จิ๊กซอว์เคยก่อคดีไว้ แต่ว่าเมื่อจอห์น เครเมอร์ ตายไปนานแล้ว ใครกันแน่ที่เป็นฆาตกรในเกมนี้ แถมเกมในครั้งนี้มีความแตกต่างออกไป เมื่อตัวเกมเปิดโอกาสผู้เข้าร่วมเกมยอมสารภาพความผิดของตนเอง หรือจะยอมตายในกับดักสุดสยอง ที่แปลกไปคือ สถานที่เกิดเหตุนั้นอยู่ในสถานที่เหมือนเป็นฟาร์มกสิกรรม แทนที่จะเป็นอาคารร้างที่หลายคนคุ้นเคย
แต่เมื่อเรื่องราวดำเนินไป และมีการตีกรอบว่าใครเป็นผู้ต้องสงสัยว่าจะเป็นจิ๊กซอว์คนใหม่ สายสืบฮัลโลแรน (Detective Halloran) กับ โลแกน เนลสัน (Logan Nelson) หมอประจำฝ่ายนิติเวชของตำรวจ ก็ถูกจับมาเล่นเกมสยอง และเหมือนว่าโลแกนจะเสียชีวิตในเกมสยองนี้ แต่เหตุการณ์หักมุมก็เกิดขึ้นว่า แท้จริงแล้ว โลแกนเป็นลูกศิษย์อีกคนของจิ๊กซอว์ โดยเขาเคยเป็นหมอที่แปะผลการเอกซ์เรย์ของจอห์น เครเมอร์ ผิดพลาด จนทำให้จอห์นพบเจอมะเร็งช้ากว่าที่ควร กระนั้นจอห์นก็ไว้ชีวิตโลแกนในเกมสยองที่เกิดขึ้นเมื่อสิบปีก่อน เพราะจิ๊กซอว์เห็นว่าข้อผิดพลาดนั้นไม่ได้เกิดขึ้นจากความตั้งใจ ส่วนเหตุการณ์เกมสยองที่เราเห็นในภาพยนตร์แท้จริงแล้วเป็นการย้อนความเมื่อสิบปีก่อน และสถานที่เกิดเหตุก็เป็นฟาร์มของ จิล ทัก อดีตภรรยาของจอหน์ เครเมอร์ นั่นเอง ส่วนสายสืบฮัลโลแรนก็ไม่ใช่ตำรวจมือสะอาดเสียทีเดียว เขาเคยปล่อยคนร้ายให้ลอยนวลเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว ซึ่งมีการเปิดเผยท้ายเรื่องว่า คนร้ายคนดังกล่าวไปทำการฆ่าภรรยาของโลแกนนั่นเอง จึงทำให้โลแกนตัดสินใจมารับช่วงต่อแนวคิดของจิ๊กซอว์ และในอนาคตเขาอาจจะเล่นเกมครั้งใหม่ต่อไป
Jigsaw เข้าฉายในช่วงฮาโลวีน ปี ค.ศ.2017 และทำรายได้ค่อนค้างโอเคเลยทีเดียว แม้จะมีเสียงตอบรับว่า ตัวภาพยนตร์มีความสนุก แต่พล็อตเรื่องที่พยายามเชื่อมโยงกับภาคเก่านั้นดูไม่น่าเชื่อถือมากไปหน่อย ซึ่งก็อาจจะเป็นโชคดีของแฟนภาพยนตร์เฟรนไชส์นี้ก็ได้ ทำให้หนังไม่ได้มีภาคต่อออกมาในทันทีทันใด
จนกระทั่งช่วงเดือนพฤษภาคมปี ค.ศ.2019 ได้มีข่าวยืนยันว่าภาพยนตร์เรื่องใหม่ในจักรวาลของ Saw กำลังอยู่ในขั้นตอนการสร้าง โดยมีชื่อชั่วคราวว่า ‘The Organ Donor’ ตัวภาพยนตร์ภาคดังกล่าวได้ แดร์เรน ลินน์ บาวส์แมน ที่เคยกำกับ Saw II ถึง Saw IV มานั่งเก้าอี้ผู้กำกับอีกครั้ง และได้ คริส ร็อค (Chris Rock) ดาวตลกเชื้อสายอเมริกันแอฟริกันชื่อดัง เป็นคนเขียนเนื้อเรื่องโดยคร่าว ส่วนจอช สโตลเบิร์ก และปีเตอร์ โกลด์ฟิงเกอร์ จาก Jigsaw จะรับหน้าที่เขียนบทภาพยนตร์อีกต่อหนึ่ง
ข้อมูลอีกส่วนที่ภาพยนตร์ The Organ Donor ประกาศออกมาแล้วก็คือภาพยนตร์จะได้คริส ร็อค ร่วมแสดงนำ แล้วลุงซามวล แอล. แจ็คสัน (Samuel L. Jackson) ก็จะร่วมแสดงในภาพยนตร์นี้ด้วย (และน่าจะพูดคำว่า ‘ไอ้แย่เม็ด’ อย่างอร่อยปากในภาพยนตร์แน่ๆ) แต่ยังไม่มีการประกาศออกมาว่า โทบิน เบลล์ ผู้รับบทจิ๊กซอว์ จะเข้ามามีส่วนร่วมใดในภาพยนตร์ชุดนี้หรือไม่ รวมไปถึงว่าตัวภาพยนตร์เรื่องนี้ยังไม่ระบุว่าจะเป็นภาคต่อหรือการรีบูตกันแน่ ที่ยืนยันแล้วก็คือ เราคงจะได้เห็นการขยายจักรวาลของ Saw กันอีกระยะ
แม้ว่าภาพยนตร์อาจจะโดนตีตราให้เป็นตัวแทนแห่งความรุนแรง แถมยังเคยถูกวิพากษ์วิจารณ์จากการที่มีคนเอาเหตุการณ์ในตัวหนังไปดัดแปลงในการแกล้งคนจนเกิดเป็นเรื่องขึ้นมา (ซึ่งโชคดีที่การแกล้งเป็นแค่การส่งจดหมาย กับคลิปเสียงหลอนๆ แบบในหนัง ไม่ได้จบด้วยการฆ่าฟันกัน) แต่กว่าที่หนังชุดนี้จะเกิดขึ้นมาได้นั้น มันมีจุดเริ่มจากความตั้งใจของคนสร้างภาพยนตร์สองคน ที่โชคดีมาเจอผู้สร้างหนังที่อยากเห็นแนวคิดของคนทำหนังรุ่นใหม่ออกมาตามภาพลักษณ์ในหัว แล้วก็เป็นโชคดีที่ความตั้งใจของทีมสร้างภาพยนตร์นั้นสามารถสะกิดใจ โทบิน เบลล์ ให้มารับบทเป็นศพที่นอนเกือบทั้งเรื่องด้วยค่าตัวน้อยนิด แต่ทำให้เขากลายเป็นตัวละครที่น่าจดจำ และส่งอิทธิพลออกมายังนอกจอภาพยนตร์ในที่สุด
อีกส่วนหนึ่งที่น่าพูดถึงสักหน่อยก็คือ ถึงแม้ว่าภาพยนตร์จะถูกคนเรียกว่าเป็น torture porn movies จากสื่อต่างๆ แต่ตัวผู้สร้างและทีมสร้างภาพยนตร์ชุดนี้กลับไม่ได้ชื่นชอบการถูกเรียกขานแบบนั้นมากนัก เพราะพวกเขายังคิดอยู่เสมอว่าต้องมีเนื้อเรื่องที่ดีก่อนที่จะสร้างการฆ่าฟัน กระนั้นเมื่อหลายคนเรียกภาพยนตร์ด้วยลักษณะแบบนั้นไปแล้ว จึงทำให้พวกเขาต้องยอมรับกระแสสังคม และกระแสสังคมก็นำพาภาพยนตร์เรื่องนี้ไปไกลระดับที่ตัวหนังถูกอ้างอิงในหนังเรื่องอื่น หรือแม้แต่การที่เซเลบคนดังก็ได้รับแรงบันดาลใจจาก Saw จนอยากจะมีส่วนร่วมในตัวภาพยนตร์เสียเอง
ถึงแม้ตัวละครจิ๊กซอว์จะเสียชีวิตลงไปแล้ว แต่ความคิดและไอเดียของการสร้างภาพยนตร์ที่ซับซ้อนจะยังส่งต่อไปยังคนรุ่นหลังอย่างแน่นอน
อ้างอิงข้อมูลจาก
Youtube: FoundFlix SAW SERIES Timeline Explained Pt.1, Pt.2