เมื่อพูดถึงผี ทุกคนนึกผีตัวไหน แบบไหนกัน?
ผี อมนุษย์ผู้มีตัวตนอยู่ในพื้นที่ทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาของไทยมาแต่โบร่ำโบราณ หากเราเป็นคนที่เชื่อในเรื่องกุ๊กกู๋ลี้ลับเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เราก็อาจจะเชื่อว่าทุกหนแห่ง จะมีผีซุกซ่อนตัวและใช้ชีวิตปะปนอยู่กับพวกเรา บ้างก็อาจมาหลอกหลอนให้เรากลัวจนขวัญผวา บ้างก็อยู่อย่างสงบไม่ทำร้ายใคร
แม้จะขึ้นชื่อว่าผี ที่ดูเหมือนจะไม่จำเป็นต้องกินอะไร แต่ผีเหล่านี้ก็ยังคงต้องกินอะไรสักอย่างเป็นอาหารอยู่ดี
แล้วทุกคนเคยสงสัยกันไหม ว่าเหล่าคุณผีทั้งหลายพวกเขากินดื่มอะไรกันเป็นอาหารกันบ้าง เนื่องในคืนปล่อยผีหรือวันฮาโลวีนประจำปีนี้ เราจึงขอพาทุกคนไปรู้จักกับอาหารที่บรรดาผีๆ กินกัน
อย่างไรก็ดี ขอออกตัวไว้ก่อน ว่าผีเหล่านี้เป็นผีที่อยู่ในความเชื่อแต่ละวัฒนธรรมและท้องถิ่นของบ้านเรา มีชื่อเรียกที่หลายคนคุ้นหูกันเป็นอย่างดี
Trigger Warning : ghost
ผีกระสือ

หลายคนน่าจะเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของผีกระสือกันมาเป็นอย่างดี ผีที่มีภาพจำเป็นหญิงสาวมีเพียงแค่หัว และตับไตไส้พุงลอยไปลอยมายามกลางคืนพร้อมไฟติดตัว เวลาเคลื่อนที่ไปตรงไหนก็จะเห็นเป็นดวงไฟลอยไปมา ส่วนร่างกายครึ่งล่างจะถูกทิ้งเอาไว้ที่บ้าน บางความเชื่อเล่าว่า ในตอนกลางวันผีกระสือจะเป็นหญิงสาวธรรมดา แต่พอตกกลางคืนก็ถอดหัว ถอดไส้ออกหากิน
ส่วนเรื่องอาหารการกินของผีกระสือ ตามหนังสือผีสางเทวดา ของ พระยาอนุมานราชธน หรือ เสฐียรโกเศศ ผีกระสือจะชอบกินอาจม (อุจจาระ) เป็นหลัก หลังจากกินเสร็จ หากใครตากผ้าทิ้งค้างคืนไว้ ก็จะเอามาเช็ดปากที่เปื้อนอุจจาระ ทิ้งรอยเปื้อนเอาไว้ ในตอนเช้า หากนำผ้าผืนนั้นไปต้ม ผีกระสือจะรู้สึกปวดแสบปวดร้อนปาก จนทนต่อไปไม่ได้
ผีกระหัง

ภาพคุ้นตาของผีกระหัง คือผีผู้ชายที่บินไปไหนมาไหนด้วยกระด้ง และหนีบสากตำข้าวไว้ที่ขา เสฐียรโกเศศ กล่าวเอาไว้ว่า ผีชนิดนี้จะมีหางสั้นๆ ข้างหลัง ทำให้มันไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้ด้านหลัง ส่วนที่มาที่ไปไม่มีระบุแน่ชัด โดยกระหังเป็นผีที่ไม่ทำร้ายคน ผู้คนส่วนใหญ่เชื่อว่าผีชนิดนี้เป็นผู้ชายที่เล่นไสยศาสตร์มนต์ดำ และไม่สามารถควบคุมพลังของตัวเองได้ จนของเข้าตัวกลายเป็นผีกระหัง
อาหารการกินของผีกระหัง ไม่ต่างอะไรจากผีกระสือเท่าไหร่ พวกมันจะชอบกินอาจม ของโสโครก ตลอดจนของสดของคาวเป็นอาหาร
ผีเปรต

เชื่อว่าวัยเด็กของหลายคน มักโดนผู้หลักผู้ใหญ่สั่งสอนด้วยการ เตือนว่าไม่ควรพูดจาหยาบคายหรือทำร้ายร่างกายพ่อแม่ของตัวเอง เพราะเมื่อตายไปจะกลายเป็นเปรต ตัวสูงยาว มือที่เคยทำร้ายบุพการีจะใหญ่เท่าใบลาน ปากที่พูดคำหยาบคายก็จะเล็กเท่ารูเข็ม ส่งเสียงเล็กแหลมขอส่วนบุญในยามค่ำคืน
สนิท ไชยวงศ์คต ผู้ศึกษาเกี่ยวกับผีเปรตตามความเชื่อของพุทธศาสนา กล่าวเอาไว้ว่า เปรตเป็นสัตว์จำพวกหนึ่ง เกิดในอบายภูมิ หรือดินแดนแห่งทุกข์ ส่วนประเภทของเปรตจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับว่าแบ่งแยกตามอะไร ตัวอย่างเช่น หากจำแนกตามที่มา ก็จะมี 2 ประเภทได้แก่เปรตที่ไปจากโลกมนุษย์ หมายถึงเปรตที่ทำกรรมไม่หนักพอจะต้องไปชดใช้กรรมในนรก และเปรตจากนรก หมายถึงเปรตที่ทำกรรมหนัก หลังจากตายก็ต้องไปชดใช้กรรมตามนรกขุมต่างๆ แม้จะใช้กรรมในนรกหมดแล้ว แต่ยังมีเศษกรรมต้องไปชดใช้ต่อ จึงกลายมาเป็นเปรต
ส่วนสิ่งที่เปรตกิน ก็ขึ้นอยู่กับประเภทของเปรตด้วยเช่นเดียวกัน อย่าง วันตาสเปรต เป็นเปรตประเภทที่กินของสกปรกเช่น อาจม ซากศพ น้ำลาย และน้ำเหลือง หรือ ขุปปิปาสิกเปรต เป็นเปรตประเภทที่มีความหิวกระหายตลอดเวลา แต่จะมีปากเท่ารูเข็มกินน้ำหรืออาหารได้ที่ละน้อยๆ ไม่เพียงพอต่อความหิว
ผีตายโหง

ผีตายโหง คือผู้คนที่เสียชีวิตอย่างกระทันหัน และมักตายด้วยสาเหตุไม่ธรรมชาติ เช่น จมน้ำ รถชน ฆ่าตัวตาย อีกทั้งผีตายโหงมักจะเป็นผีที่ก่อนตายยังมีบ่วงอารมณ์ติดค้างอยู่ ไม่ว่าจะเป็น ความหวาดกลัว ความตกใจ ความเศร้าโศก หรือกระทั่งความอาฆาตแค้น
ทั้งนี้วิญญาณของผีตายโหงจะไม่ไปไหน และจะวนเวียนอยู่บริเวณที่เสียชีวิต ตามหนังสือ ประเพณีเก่าของไทย ประเพณีเนื่องในการตาย ของ เสฐียรโกเศศ กล่าวว่า หลายคนที่มีความเชื่อเกี่ยวกับผีตายโหง จึงมักนำของเซ่นไหว้ไปวางเอาไว้ตามจุดที่เกิดเหตุ สำหรับเป็นอาหารให้แก่ผีเหล่านั้น ถึงอย่างนั้นบุญกุศลก็เป็นอีกสิ่งที่ผีเหล่านี้ต้องการด้วยนั่นเอง
ผีปอบ

หลายคนน่าจะเคยได้ยินและรู้จักผีปอบกันเป็นอย่างดี เพราะเป็นผีอีกชนิดที่อยู่ควบคู่กับวัฒนธรรมท้องถิ่นของไทยในหลากหลายพื้นที่
พิพัฒน์ กระแจะจันทร์ อาจารย์ประจำสาขาวิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อธิบายถึงที่มาที่ไปของผีปอบเอาไว้ว่า ผีปอบ เป็นความเชื่อดั่งเดิมที่อยู่ในกลุ่มวัฒนธรรมไทย-ลาว โดยเฉพาะในภาคอีสาน พบหลักฐานที่บันทึกเรื่องของผีปอบตั้งแต่ในสมัยอยุธยา โดยแบ่งการเกิดผีปอบเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ผีปอบมนต์ ผีปอบที่เกิดจากคนมีของ แล้วทำผิด จนของเข้าตัวกลายเป็นปอบ และผีปอบเชื้อ ผีปอบจากการสืบทอดผ่านทางตระกูล โดยส่วนใหญ่มักเป็นผู้หญิงเป็นหลัก
ผู้คนเชื่อกันว่าผีปอบจะออกหากินยามค่ำคืน ส่วนอาหารของมันมักเป็นของสดของคาวและเลือดเนื้อ เหมือนกับที่หลายคนเคยได้ยินมาว่าปอบชอบออกมากินไก่ดิบตอนกลางคืน อีกทั้งในบางหลายพื้นที่ก็เชื่อว่าปอบกินเครื่องในของมนุษย์เราเป็นอาหารด้วย
ผีโพรง

ตามที่หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก อธิบายเอาไว้ ผีโพรงมักจะเป็นผีที่สิงสู่ในเพศหญิง มีแสงที่จมูกสีขาวอมเขียว หรือบางทีก็เป็นสีแดง ใช้หาอาหารยามค่ำคืนตามทุ่งนา เฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูฝน ผู้คนมักเตือนต่อๆ กัน ว่าหากเจอผีโพรงห้ามเข้าใกล้เด็ดขาด แม้เป็นคนรู้จักก็ห้ามทักหรือเอาไปพูดว่าใครเป็นผีโพรง เพราะมันจะย้อนมาอาฆาตและทำร้ายได้ ในส่วนของที่มาที่ไปไม่ได้มีบอกชัดเจน แต่เชื่อกันว่าเป็นแฝงและสืบทอดกันมาในตระกูล
สำหรับอาหารของเหล่าผีโพรง ก็มักเป็นของที่หาได้ตามท้องทุ่ง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นของสดที่มีกลิ่นคาว เช่น กบ เขียด และปลา
ผีม้าบ้อง

หลายคนอาจจะไม่เคยได้ยิน หรือไม่เคยรู้จักผีม้าบ้องมากก่อนสำหรับใครที่กำลังเดาว่ามันมีความเกี่ยวโยงกับม้า ก็ขอแสดงความยินดีด้วย เพราะคุณเดาถูกแล้ว
หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก อธิบายเอาไว้ว่า ผีม้าบ้อง เป็นประเภทหนึ่งของผีกะหรือผีกละตามความเชื่อท้องถิ่นของภาคเหนือ มีลักษณะเป็นครึ่งคนครึ่งม้า โดยท่อนบนจะเป็นคน ส่วนท่อนล่างเป็นม้าสีดำ ขนาดร่างกายสูงใหญ่ ตาลุกแดง เป็นผีที่น้อยคนจะเคยเห็นตัว เพราะส่วนใหญ่จะได้ยินเพียงเสียงเหมือนม้าย่อง หรือวิ่งควบอย่างรวดเร็วมากกว่า
อาหารจานโปรดของผีม้าบ้องมักเป็นอาหารที่มีกลิ่นคาว เช่น เลือดสัตว์ คาวเลือดทารก ซากสัตว์ โครงกระดูกวัวควาย และไข่ดิบ ถึงอย่างนั้นพวกมันจะไม่ได้กินเหมือนที่มนุษย์เรากินทั่วไป แต่พวกมันจะใช้ลิ้นเลียอาหารแทน หากสถานที่ที่ไหนที่มีอาหารให้พวกมันกิน มันจะจดจำไว้ และกลับมาหากินบริเวณนั้นซ้ำอีกครั้ง
แล้วทุกคนคิดว่า สำรับของผีตนไหนที่ชวนสยดสยองที่สุดกัน?
อ้างอิงจาก