สัตว์ประหลาดยักษ์จากเกาะญี่ปุ่นกำลังจะกลับมาอาละวาดอีกครั้งในตลาดโลก แถมคราวนี้ พี่ก็อดของแฟนๆ จะมาพร้อมกับสัตว์ประหลาดอีกหลายตัว ที่จะมาตีกันเพื่อชิงความเป็นเจ้าแห่งสัตว์ประหลาดในภาพยนตร์ Godzilla: King Of The Monsters และภาพยนตร์เรื่องนี้ก็จะถือว่าเป็นภาพยนตร์เรื่องที่สามในจักรวาลภาพยนตร์ MonsterVerse ต่อจาก Godzilla ฉบับปี 2014 และ Kong: Skull Island ฉบับปี 2017 อีกด้วย
แต่ก่อนที่ ก็อดซิลล่า หรือ โกจิระ (Gojira) ตามชื่อเดิมในบ้านเกิดจะเดินทางมาไกลถึงจุดนี้ การเริ่มต้นของสัตว์ประหลาดตัวใหญ่ยักษ์นั้นเริ่มต้นขึ้นราว 65 ปีก่อน โดยสัตว์ประหลาด หรือ ไคจู (Kaiju) จากญี่ปุ่นยังมีจักรวาลภาพยนตร์ของตัวเองมาก่อนแล้ว ทำให้มีก็อดซิลล่าออกมาหลายเวอร์ชั่น ต่างรูปลักษณ์ ต่างอารมณ์ หนำซ้ำยังเคยถูกดัดแปลงเป็นการ์ตูนอนิเมชั่น การ์ตูนคอมิค ไปจนถึงฉบับอื่นๆ ที่อาจจะทำให้คนดูหลายๆ คน จดจำสัตว์ประหลาดยักษ์ตัวนี้ไปด้วยความรู้สึกที่ต่างกัน
นี่จึงเป็นการดีที่จะมองย้อนกลับไปว่า นับตั้งแต่แรกเริ่มที่ก็อดซิลล่าลุกขึ้นมาจากท้องทะเล สัตว์ประหลาดตัวนี้ต้องเผชิญอะไรในฉบับภาพยนตร์กันมาบ้าง
ภาพยนตร์ Godzilla 15 เรื่อง ในยุคโชวะ (1954 – 1975)
ไอเดียการสร้างภาพยนตร์สัตว์ประหลาดอาละวาดของญี่ปุ่นนั้นเริ่มต้นจากการที่ภาพยนตร์อเมริกาแบบ King Kong ฉบับปีค.ศ. 1933 สามารถกวาดทั้งรายได้และคนดูภาพยนตร์ในญี่ปุ่นได้เป็นอย่างดี ทำให้มีคนในวงการภาพยนตร์ญี่ปุ่นเริ่มมีไอเดียที่จะสร้างภาพยนตร์ในลักษณะเดียวกันตามมา
และเมื่อทาง Toho บริษัทผู้ผลิตภาพยนตร์ของญี่ปุ่นมีไอเดียอยากสร้างภาพยนตร์ที่สะท้อนถึงเหตุการณ์เกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่สอง แต่ไม่สามารถไปถ่ายทำภาพยนตร์ที่ต้องการในอินโดนิเซียได้ ทีมสร้างภาพยนตร์จึงเริ่มคิดโครงเรื่องใหม่ ใช้สัตว์ประหลาดบุกเข้าโจมตีโดยอ้างอิงกับเหตุการณ์ระเบิดนิวเคลียร์ ทั้งจากยุคสงครามโลกครั้งที่สอง และผลจากการทดลองระเบิด Castle Bravo บริเวณหมู่เกาะ Bikini ที่ทำให้ลูกเรือบนเรือ Daigo Fukuryu Maruได้รับผลพิษจากรังสีแบบเฉียบพลัน (acute radiation syndrome)
จนสุดท้ายก็มีการพัฒนาบทภาพยนตร์ขึ้นมา ซึ่งระหว่างนี้ทีมสร้างภาพยนตร์ได้ Tsuburaya Eiji (ที่ภายหลังได้สร้างซีรีส์ อุลตร้าแมน) มาร่วมทีมสร้าง ช่วยพัฒนาบทและตัวสัตว์ประหลาด ซึ่งดีไซน์แรกเริ่มนั้นเป็นปลาหมึก กับสัตว์ประหลาดที่มีทรงหัวเป็นเห็ด (เหมือนกับควันระเบิดนิวเคลียร์) ก่อนจะมีการปรับดีไซน์ให้ละม้าย จระเข้ผสม ไดโนเสาร์ จนกลายเป็นดีไซน์ที่คนในยุคหลังคุ้นตาขึ้นมา
Gojira / Godzilla (1954)
ภาพยนตร์เรื่องแรกในซีรีส์ก็อดซิลล่า เล่าถึงเหตุการณ์ที่สัตว์ประหลาดลึกลับทำลายเรือหลายลำ จนกระทั่งมีคนร่ำลือว่า น่าจะเป็นฝีมือของ โกจิระ (Gojira) สัตว์ประหลาดร้ายที่มีชื่อมาจากการผสมคำว่า โกะริระ (Gorira หรือ กอริลล่า) กับ คุจิระ (Kujira หรือ ปลาวาฬ) ที่ภายหลังมีคนพบว่า มันคือสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลที่อาบกัมมันตภาพรังสีจากระเบิดนิวเคลียร์จนกลายเป็นสัตว์ประหลาดยักษ์ใหญ่สูง 50 เมตร พร้อมกับความสามารถในการพ่นไฟออกจากปาก ที่ออกอาละวาดทำลายล้างเมืองมนุษย์ จนกระทั่งมีคนพบหนทางขจัดมันได้ด้วยอาวุธที่เรียกว่า ‘Oxygen Destroyer’ แต่ชาวญี่ปุ่นที่ประสบเคราะห์ภัยจากสงครามมาก่อน ก็มองว่าหากใช้อาวุธนี้ให้โลกรู้แล้ว จะทำให้โลกทดลองการสร้างอาวุธร้ายแรงต่อไป ดร. Serizawa Daisuke ผู้คิดอาวุธนี้จึงตั้งใจสละชีพเพื่อปิดผนึกทั้งอาวุธและสัตว์ประหลาดยักษ์ไปพร้อมกัน เหลือความหวาดระแวงให้กับคนที่ยังอยู่ว่า หากคนเรายังทดลองระเบิดนิวเคลียร์ต่อไป ก็อาจจะมีสัตว์ประหลาดบุกมาอีกเรื่อยๆ ก็เป็นได้
ตัวภาพยนตร์ถูกตัดต่อเป็นสองเวอร์ชั่น นั่นคือฉบับดั้งเดิมที่ฉายในญี่ปุ่น ซึ่งเนื้อหามีสัญญะต่อต้านสงครามกับระเบิดนิวเคลียร์อยู่มาก และมีความยาว 96 นาที กับ เวอร์ชั่นที่ออกฉายในอเมริกา ที่เปลี่ยนชื่อภาพยนตร์เป็น Godzilla, King of the Monsters! ออกฉายในปีค.ศ. 1956 และมีการตัดต่อหนังให้สั้นลงเหลือ 80 นาที โดยลดพล็อตบางส่วนลงไป แต่เพิ่มฉากใหม่ที่ Raymond Burr รับบทเป็น Steve Martin นักข่าวอเมริกาที่คอยรายงานเรื่องราวการบุกโจมตีของก็อดซิลล่า
นอกจากนี้ยังมีภาพยนตร์ Gojira / Godzilla อีกฉบับหนึ่งที่ออกฉายเฉพาะประเทศอิตาลีในปีค.ศ. 1977 ตัวภาพยนตร์ฉบับนี้ Luigi Cozzi ได้ซื้อสิทธิ์จัดจำหน่ายภาพยนตร์ก็อดซิลล่าฉบับตัดต่อของอเมริกา โดยนำมา ‘ลงสี’ ให้กับฟิลม์ภาพยนตร์ขาวดำ ทั้งยังเพิ่มเติมฟุตเทจอื่นๆ รวมถึงมีการแต่งดนตรีใหม่ จนกลายเป็นฉบับสีที่พิสดารไปอีกแบบหนึ่ง และอาจจะแปลกเกินไปจนภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่เคยได้ออกฉายนอกอิตาลีอย่างถูกกฎหมาย จนมีแฟนๆ เรียกหนังฉบับนี้ว่า ‘Cozzilla’ ซึ่งอ้างอิงมาจากนามสกุลของผู้จัดทำภาพยนตร์ฉบับนี้
Gojira No Gyakusu / Godzilla Raids Again (1955)
ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็อดซิลล่า ได้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อต่อสู้กับสัตว์ประหลาด Anguirus ซึ่งถูกกล่าวว่าเป็นสัตว์ประหลาดที่เคยเป็นคู่ปรับกับก็อดซิลล่ามาตั้งแต่สมัยอดีต การต่อสู้สิ้นสุดลงในกรุงโอซาก้า โดยก็อดซิลล่าพ่นลำแสงออกมาพิฆาตศัตรู และในขณะเดียวกัน กองกำลังของมนุษย์ก็พยายามกำจัดก็อดซิลล่าอีกครั้ง ด้วยการผนึกสัตว์ประหลาดยักษ์เอาไว้ใต้ภูเขาน้ำแข็ง
ภาพยนตร์ได้รับการนำไปฉายในอเมริกาเช่นเดียวกับเรื่องก่อนหน้า และกลุ่มผู้ซื้อสิทธิ์ในอเมริกาได้ตัดสินใจที่จะปรับแก้ภาพยนตร์ให้เข้ากับผู้ชมในสหรัฐอเมริกา ทาง Toho ก็อนุญาตให้ยืมชุดของสัตว์ประหลาดทั้งสองตัวเพื่อถ่ายทำฉากใหม่เพิ่มเติม ใส่ดนตรีลงไปใหม่ และสุดท้ายก็ปรับชื่อภาพยนตร์มาเป็น ‘Gigantis The Fire Monster’ โดยทีมผู้ซื้อสิทธิ์ในอเมริกาตัดสินใจทำเช่นนี้เพราะเห็นว่า Godzilla ตัวดั้งเดิมได้ตายไปแล้ว แต่สิทธิ์การฉายภาพยนตร์ก็มีการเปลี่ยนมือไปมา จนในตอนท้ายก็กลับเข้าสู่ทาง Toho ที่เป็นบริษัทแม่
และเมื่อมีการออกหนังในรูปแบบแผ่นสำหรับรับชมที่บ้านในภายหลัง จึงมีการนำเอาภาพยนตร์ฉบับญี่ปุ่นมาจำหน่ายแล้วใช้ชื่อภาษาอังกฤษ Godzilla Raids Again มาใช้แทนในที่สุด
King Kong Tai Gojira / King Kong vs. Godzilla (1962)
หลังจากปล่อย ก็อดซิลล่า ออกมาหลายภาคแล้วทาง Toho ก็พักการสร้างภาพยนตร์ก็อดซิลล่า แล้วเริ่มขยายจักรวาลสัตว์ประหลาดของตัวเองด้วยการสร้างภาพยนตร์สัตว์ประหลาดตัวอื่นอย่าง Sora No Daikaiju Radon / Rodan (1956), Daikaiju Baran / Varan The Unbelievable (1958), Mothra (1962) ก่อนจะกลับมาสร้างภาพยนตร์ก็อดซิลล่า อีกครั้งในปีค.ศ. 1962
การกลับมาบนจอภาพยนตร์คราวนี้ก็เป็นเหมือนแมตช์ในฝันของผู้สร้างก็อดซิลล่า เพราะนี่เป็นภาพยนตร์สีเรื่องแรกของซีรีส์ก็อดซิลล่า และเป็นโอกาสอันดีที่สัตว์ประหลาดจากโลกตะวันออกกับโลกตะวันตกจะได้มาปะทะกันในภาพยนตร์ King Kong vs. Godzilla
ตัวหนังเล่าเรื่องว่า เรือดำน้ำอเมริกาได้ไปชนกับภูเขาน้ำแข็ง (ที่เดียวกับท้ายหนัง Godzilla Raids Again) ทำให้ก็อดซิลล่าคืนชีพอีกครั้ง อีกด้านหนึ่ง ชาวญี่ปุ่นที่ต้องการเพิ่มเรตติ้งให้รายการตัวเองก็ได้พบกับ คิงคอง ที่สามารถกำหราบปลาหมึกยักษ์ในเกาะห่างไกลแบบไม่ยากเย็น ซึ่งชาวญี่ปุ่นก็สามารถลากลิงยักษ์ที่หลับอยู่ขึ้นแพและพาตัวกลับไปในน่านน้ำญี่ปุ่นได้ ระหว่างที่อยู่ในเขตประเทศญี่ปุ่น ลิงยักษ์ก็ตื่นขึ้นมาแล้วปะทะกับก็อดซิลล่า แต่คิงคองตัดสินใจถอยทัพเมื่อพบกับลำแสงของก็อดซิลล่า จากนั้นกองกำลังป้องกันตัวเองของญี่ปุ่นก็ตัดสินใจที่จะหาทางกำจัดก็อดซิลล่ากันเอง ซึ่งก็ไม่สำเร็จ จนมนุษย์ค้นพบว่าทางที่พอจะรับมือสัตว์ประหลาดได้ก็คือการพาตัวคิงคองกลับมาดวลกับก็อดซิลล่า การต่อสู้ดำเนินอย่างดุเดือด จนกระทั่งฉากของการต่อสู้ย้ายไปยังใต้พื้นทะเล ซึ่งในตอนท้ายคิงคองก็ขึ้นมาเหนือน้ำแล้วว่ายน้ำกลับบ้านของตัวเอง ทิ้งให้มนุษย์ระแวงว่า ก็อดซิลล่าก็อาจจะมีชีวิตรอดก็ได้
ด้วยความที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกนำไปฉายในอเมริกาด้วย เลยเริ่มมีการเพิ่มดีกรีของความเป็นหนังแอคชั่นมากขึ้น และฉบับอเมริกาก็มีการตัดต่อใส่ดนตรีเข้าไปใหม่ กับมีเพิ่มฟุตเทจฉากความเสียหายจากข่าวต่างๆ เข้าไป รวมถึงมีการทอนรายละเอียดบางอย่างลง อย่างเช่น เสียงร้องของสัตว์ประหลาดในตอนจบนั้น ฉบับญี่ปุ่นจะมีทั้งเสียงก็อดซิลล่า และ คิงคอง แต่ฉบับอเมริกาจะมีแค่คิงคองเพียงเสียงเดียว ทำให้มีความเชื่อขึ้นมาว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้มีฉากจบสองแบบ แบบหนึ่งที่คิงคองชนะ และอีกแบบที่ก็อดซิลล่าชนะ
Mothra Tai Gojira / Mothra vs. Godzilla (1964)
Sandai Kaiju: Chikyu Saidai no Kessen / Ghidorah, The Three-Headed Monster (1964)
หลังจากดวลกับสัตว์ประหลาดจากต่างชาติแล้ว Toho ก็เริ่มสร้างจักรวาลหนังสัตว์ประหลาดของตัวเอง โดยการจับเอาสัตว์ประหลาดในสังกัดมาดวลกัน โดยเริ่มจากภาพยนตร์เรื่อง Mothra vs. Godzilla ที่พาตัวละคร Mothra กับ ภูตแฝด ซึ่งเป็นผู้สื่อสารกับสัตว์ประหลาดยักษ์ ต่อมา Toho ก็นำเอา Rodan มาร่วมศึกสัตว์ประหลาดในภาพยนตร์ Ghidorah, The Three-Headed Monster ซึ่งในหนังเรื่องนี้ยังได้แนะนำมังกรทองสามหัว King Ghidorah ก่อนที่สัตว์ประหลาดตัวนี้จะกลายเป็นตัวร้ายขาประจำของซีรีส์ไปนับแต่นั้นมา
Kaiju Daisenso / Invasion of Astro-Monster (1965)
Gojira, Ebira, Mosura Nankai No Daiketto / Ebirah, Horror of the Deep (1966)
Kaiju-to no Kessen: Gojira no Musuko / Son of Godzilla (1967)
Kaiju Soshingeki / Destroy All Monsters (1968)
หลังจากหนังเรื่องที่ 6 เป็นต้นมา ภาพยนตร์ก็อดซิลล่าก็ปรับทิศเน้นความบันเทิงมากขึ้น ก็อดซิลล่า กลายเป็นตัวเอกที่คอยช่วยเหลือโลกมากยิ่งกว่าเก่า จนบางเรื่องออกมาเป็นแนวเอาขำ บางเรื่องก็เน้นความประทับใจ และมีความเปลี่ยนแปลงอื่นๆ เกิดขึ้นอีก อาทิ ในภาพยนตร์ Invasion of Astro-Monster เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่แนะนำมนุษย์ต่างดาวจากดาวอื่นที่เริ่มกลายเป็นตัวร้ายของหนังบางเรื่อง ในขณะที่ตัวก็อดซิลล่าได้พลิกมาเป็นตัวเอกแล้ว
ใน Ebirah, Horror of the Deep เริ่มมีการแสดงให้เห็นว่ามนุษย์ก็เริ่มควบคุมสัตว์ประหลาดได้บ้าง ส่วน Son of Godzilla ก็แนะนำตัวละคร Minilla หรือ ลูกของก็อดซิลล่า ที่ออกมาเป็นเหมือนตัวชง-ตัวตบมุกสำหรับผู้ชมอายุน้อย และใน Destroy All Monsters ที่แม้พล็อตจะเล่าไปในอนาคตอันไกล แต่ก็มีการพูดถึง เกาะสัตว์ประหลาด เป็นครั้งแรก ซึ่งในอนาคตต่อมาก็การพูดถึงในหนังเรื่องอื่นๆ ด้วย
Gojira-Minira-Gabara: Oru Kaiju Daishingeki / All Monsters Attack (1969)
ถึงชื่อหนังจะบ่งบอกว่ามีสัตว์ประหลาดออกมาตีกันเต็มไปหมด แต่เรื่องหลักของหนังคือเรื่องของเด็กชาย Mitsuki Ichiro ที่ฝันเห็น Minilla ถูกกลั่นแกล้งในลักษณะคล้ายๆ กับชีวิตของตัวเด็กชาย นอกจากนั้นพวกเขาทั้งสองก็ได้เฝ้าดูการต่อสู้ของก็อดซิลล่า จนทำให้เด็กชายค่อยๆ รับความมั่นใจจนกล้าเผชิญหน้ากับปัญหาและเติบโตขึ้นในตอนท้าย
Gojira Tai Hedora / Godzilla vs. Hedorah (1971)
Chikyu Kogeki Meirei: Gojira Tai Gaigan / Godzilla vs. Gigan (1972)
Gojira Tai Megaro / Godzilla vs. Megalon (1973)
หนังช่วงนี้แสดงให้เห็นถึงความร่วมมือของมนุษย์กับก็อดซิลล่า และสัตว์ประหลาดตัวอื่นในการต่อสู้กับศัตรูมากขึ้น ที่น่าพูดถึงเป็นพิเศษก็คงไม่พ้น Godzilla vs. Megalon ที่มีการใส่หุ่นยนต์ Jet Jaguar ซึ่งมนุษย์สร้างขึ้นเพื่อใช้ป้องกันตัวเองและสามารถขยายร่างตัวเองให้ใหญ่โตเพื่อรับมือกับสัตว์ประหลาดได้ก่อนที่ก็อดซิลล่าจะมาปิดเกม นอกจากนี้ ฉากแอคชั่นก็เริ่มมีอะไรเหนือจริงมากขึ้น อย่างการกระโดดเตะขาคู่ของก็อดซิลล่า
Gojira Tai Mekagojira / Godzilla vs. Mechagodzilla (1974)
Mekagojira no Gyakushu / Terror of Mechagodzilla (1975)
Mechagodzilla หรือหุ่นยนต์ที่ทำรูปทรงเลียนแบบก็อดซิลล่า เริ่มออกอาละวาดในภาพยนตร์ Godzilla vs. Mechagodzilla เป็นครั้งแรก ก่อนจะมีภาพยนตร์ Terror of Mechagodzilla ที่เป็นเรื่องราวภาคต่อ และกลายเป็นภาพยนตร์ชุดสุดท้ายในยุคโชวะก่อนที่จะมีการปล่อยให้สัตว์ประหลาดยักษ์ตัวนี้จำศีลจากจอเงินเป็นเวลา 10 ปี
ภาพยนตร์ Godzilla 7 เรื่อง ในยุคเฮย์เซย์ (1984-1995)
หลังจากหยุดทำภาพยนตร์ก็อดซิลล่าไป 10 ปี อาจจะเพราะอาการตุปัดตุเป๋ทางด้านตัวตน หรือเพราะในช่วงหลังหนังสัตว์ประหลาดเริ่มไม่ป๊อปแล้วก็ตามที ในที่สุด Toho ที่เป็นเจ้าของผลงานต้นฉบับก็กลับมาสร้างภาพยนตร์สัตว์ประหลาดยักษ์อีกครั้ง และการกลับมาครั้งนี้ก็ใช้วิธีการ Reboot ซีรีส์แบบอ่อนๆ โดยถือว่า หนังจะเดินเรื่องต่อจากภาพยนตร์ภาคแรกสุดเท่านั้น แล้วทิ้งความเกี่ยวพันของตัวละครต่างๆ ในภาคอื่นๆ ทั้งหมดไป เพื่อให้ก็อดซิลล่ากลับมาน่ากลัวและเป็นเหมือนภัยธรรมชาติสำหรับมนุษย์อีกครั้งหนึ่ง และหนังในยุคนี้ยังเชื่อมโยงเรื่องราวทุกภาคเข้ากันโดยไม่ได้เว้นวรรคหรือข้ามเนื้อหาบางส่วนอย่างที่เคยเกิดขึ้นในภาพยนตร์ยุคโชวะ แต่มีตัวละครมนุษย์ที่มีพลังจิตสามารถสื่อสารกับสัตว์ประหลาดยักษ์ที่กลายเป็นผู้เชื่อมโยงความเกี่ยวพันของภาพยนตร์ภาคต่างๆ ด้วย
Gojira / The Return of Godzilla (1984)
หนังกลับมาเล่าเรื่องญี่ปุ่นในช่วงปีค.ศ. 1980 โดยให้ตัวละครบางตัวเป็นผู้รับผลกระทบจากการรุกรานของก็อดซิลลาในปีค.ศ. 1954 ผสมกับกลิ่นอายของสงครามเย็นที่กำลังเป็นกระแสในช่วงนั้น และไม่มีสัตว์ประหลาดยักษ์ตัวอื่นปรากฏในเรื่อง (เว้นแต่ถ้าจะนับ Shockirus หรือ เหาทะเลขนาดยักษ์ ที่ปรากฎตัวในต้นเรื่อง) กลายเป็นศึกระหว่างมนุษย์กับภัยขนาดใหญ่อย่างก็อดซิลล่าอีกครั้งหนึ่ง และภาพยนตร์จบลงด้วยการที่มนุษย์สามารถล่อให้ก็อดซิลล่าไปตกอยู่ในปล่องภูเขาไฟและขังมันไว้ในนั้น แต่ก็ยังไม่ใช่การกำจัดมันจนสิ้นฤทธิ์ได้
ภาพยนตร์ถูกนำไปฉายในอเมริกาอีกครั้ง ด้วยชื่อ Godzilla 1985 พร้อมกับการตัดต่อใหม่ ในลักษณะเดียวกันกับหนัง Godzilla, King of the Monsters! และยังได้ Raymond Burr มารับบท Steve Martin นักข่าวอเมริกาเช่นเดิม การตัดต่อหลายซีนส่งผลกระทบกับหนังจนทำให้มีความสั้นลงเหลือแค่ 87 นาที จากเดิมที่หนังต้นฉบับมีความยาว 105 นาที ซึ่งฉากที่มีการเปลี่ยนแปลงมากที่สุดก็คือฉากที่นายพลรัสเซียตัดสินใจยิงจรวดนิวเคลียร์ ซึ่งต่างจากภาพยนตร์ฉบับญี่ปุ่นที่นายพลคนนี้ตัดสินใจสละชีวิตเพื่อที่จะหยุดยั้งการยิง และผลจากการตัดต่อครั้งนี้ทำให้ Godzilla 1985 ถูกมองว่าเป็นภาพยนตร์ที่ด้อยกว่าต้นฉบับ การตัดต่อเพื่อฉายในอเมริกาจึงดูจางหายไป
Gojira vs. Biorante / Godzilla vs. Biollante (1989)
หนังภาคที่สองของยุคเฮย์เซย์ที่เดินเรื่องจริงจังและซีเรียสตามรอยภาครีบู๊ต และแนะนำสัตว์ประหลาด Biollante ที่มีร่างต้นแบบมาจาก ต้นกุหลาบ ที่รวมกับเซลล์ของมนุษย์ แต่เรื่องราวก็ยังโฟกัสอยู่กับความขัดแย้งในการชิงอำนาจเชิงการเมืองอีกครั้ง ตัวภาพยนตร์ไม่ได้รับการตอบรับที่ดีนัก ทำให้ในการสร้างภาพยนตร์อีกสามภาค จึงกลับมาใช้สัตว์ประหลาดที่คนดูก็อดซิลล่าคุ้นเคยมากขึ้น
Gojira vs. Kingu Gidora / Godzilla vs. King Ghidorah (1991)
ภาพยนตร์ภาคนี้เล่าเรื่องของมนุษย์ที่เดินทางมาจากอนาคต มาขอความร่วมมือกับชาวญี่ปุ่นที่ตอนนี้มีประสบการณ์ไม่ดีกับก็อตซิลล่ามาหลายครั้ง เพื่อแก้ไขโลกในอดีตไม่ให้ไดโนเสาร์พันธุ์ ‘Godzillasaurus’ กลายเป็นก็อดซิลล่าที่ถูกอาบกัมมันตภาพรังสี ซึ่งแผนงานก็เหมือนจะเป็นไปด้วยดีจนกระทั่งมีการเปิดเผยว่า มนุษย์จากอนาคตตั้งใจทิ้ง Dorats สัตว์ประหลาดดัดแปลงพันธุกรรมที่ถูกสร้างเพื่อให้อาบกัมมันตภาพรังสี แล้วจะกลายเป็น King Ghidorah เพื่อมาสร้างอำนาจเป็นต่อให้กับอเมริกาและชาติอื่นๆ ในอนาคต ทว่าเกิดผิดแผนขึ้นมาก็คือ ก็อดซิลล่า นั้นไม่ได้โดนลบไปจากประวัติศาสตร์ แต่กลายพันธุ์เป็นก็อดซิลล่าเร็วกว่าเดิม และการแก้ไขอดีตทำให้ก็อดซิลล่าแข็งแกร่งกว่าเดิมจนสามารถเอาชนะ King Ghidora ได้โดยง่าย ทำให้ชาวอนาคตที่ยอมหักหลังเพื่อนพ้องไปนำเอา Mecha-King Ghidorah มาจากอนาคต เพื่อต่อสู้กับก็อดซิลล่า
หนังเรื่องนี้นำเอาพล็อตเรื่องการเดินทางข้ามเวลามาใช้เป็นครั้งแรกในซีรีส์ และนำเอา Mecha-King Ghidorah พร้อมด้วยความงงในเนื้อเรื่องมากมายเพราะการเดินทางข้ามเวลาส่งผลเสียต่อพล็อตไม่น้อย
Gojira vs. Mosura / Godzilla vs. Mothra (1992)
หนังเดินเรื่องต่อจากภาคก่อน โดยมีเหตุการณ์อุกกาบาตตกลงบนโลก ทำให้ก็อตซิลล่าต้องตื่นขึ้นมาอีกครั้ง และในขณะเดียวกันก็ทำให้ไข่ของ Mothra กับ ภูตแฝด ที่ในภาคนี้เรียกตัวเองว่า Cosmos กลายเป็นผู้ปกป้อง ซึ่งภูตแฝดก็เล่าว่าครั้งหนึ่งโลกเคยสร้าง Battra เพื่อมาคุ้มกันโลกแต่สัตว์ประหลาดทรงผีเสื้อดำตนนี้ได้ทำลายอุปกรณ์ควบคุมธรรมชาติ และอาละวาดเกินเบอร์จนเกือบทำลายมนุษยชาติทั้งหมด ทำให้ Mothra ต้องเข้าไปต่อสู้และถูกผนึกมานานนม จนกระทั่งตอนนี้ที่สัตว์ประหลาดยักษ์กำลังจะลืมตาตื่นมาต่อสู้กันอีกครั้ง การต่อสู้ชิงอำนาจระหว่างมนุษย์กับสัตว์ประหลาดก็ถูกก็อดซิลล่าเข้ามาแทรกแซงอีกครั้ง ทว่าในครั้งนี้ก็อดซิลล่าไม่สามารถต้านทานผีเสื้อยักษ์ทั้งสองตัวได้ จึงถูกจับกุมไว้ในรังไหม แต่ก็อดซิลล่าก็ยังไม่ยอมเสียท่าจนสามารถคร่าชีวิตของ Battra สำเร็จก่อนที่ Mothra จะผนึกก็อดซิลล่าไว้ใต้ทะเลอีกครั้ง และเดินทางจากโลกนี้เพื่อไปป้องกันอุกกาบาตขนาดยักษ์ที่อาจจะพุ่งเข้าชนโลกได้
ถึงหนังจะเล่าเรื่องใหม่แต่ก็ยังคงมีเรื่องที่ย้อนอ้างอิงภาพยนตร์ภาคดั้งเดิมอยู่มาก อาทิ ภูตแฝด ที่สื่อสารกับมนุษย์ให้ Mothra รวมถึงการออกมาเป็นผู้ปกป้องโลกมากกว่าเป็นผู้ทำลายล้าง และมีตัวละครใหม่อย่าง Battra ที่ทำให้คนดูเห็นว่าถ้า Mothra โหดจะเป็นอย่างไร
Gojira vs. Mekagojira / Godzilla vs. Mechagodzilla II (1993)
หนังภาคนี้จับประเด็นที่ Mecha-King Ghidorah เคยโดนทำลายไว้ และทางหน่วยงาน United Nations Godzilla Countermeasures Center หรือ UNGCC ของสหประชาชาติได้นำซากของ Mecha-King Ghidorah มาสร้างใหม่เป็นเรือเหาะ Garuda กับหุ่น Mechagodzilla ก่อนที่จะมีการพบไข่ขนาดยักษ์ที่ภายหลังทราบกันว่าเป็น ไข่ของก็อดซิลล่า กับ Rodan กองทัพมนุษย์จึงพยายามศึกษาลูกของสัตว์ประหลาด และล่อให้สัตว์ประหลาดทั้งสองตัวมาต่อสู้กับ Mechagodzilla ที่สามารถรวมร่างกับเรือเหาะ Garuda เป็น Super-Mechagodzilla ที่แข็งแกร่งขึ้นได้ ทว่า Rodan ที่เหมือนจะถูกจัดการได้แล้วกลับใช้แรงเฮือกสุดท้ายช่วยฟื้นฟูสมองที่สองของก็อดซิลล่า ที่อยู่ภายในลำตัว ทำให้ก็อดซิลล่าทำลายหุ่น Super-Mechagodzilla ได้สำเร็จก่อนจะพาลูกน้อยลงทะเลไป
ทั้งนี้ถึงแม้ว่าชื่อหนังฉบับภาษาอังกฤษจะใส่เลข 2 ในชื่อหนัง แต่ไม่มีหุ่น Mechagodzilla II แต่อย่างไร เลขตัวนั้นหมายถึงหุ่น Mechagodzilla ตัวที่สองมากกว่า เพราะหุ่นตัวแรกปรากฏตัวในหนังยุคโชวะไปแล้วสองภาคนั่นเอง
Gojira vs. SupaesuGojira / Godzilla vs. SpaceGodzilla (1994)
จากการต่อสู้กับ Biollante กับ Mothra ในภาคก่อนหน้า ทำให้มีเซลล์ของก็อดซิลล่าลอยออกไปนอกอวกาศ ซึ่งเซลล์ดังกล่าวได้รับรังสีรุนแรงจากหลุมดำก่อนจะบินย้อนกลับมายังโลกในฐานะ SpaceGodzilla ซึ่ง Cosmos ภูตแฝดของ Mothra ก็ได้ส่งข้อความกลับมาเตือนมนุษย์ทำให้กองทัพมนุษย์ส่งหุ่น M.O.G.U.E.R.A จากซาก Mechagodzilla ไปรับมือ แต่ก็ไม่สามารถเอาชนะได้ SpaceGodzilla ได้กลับมาโจมตีลูกของก็อดซิลล่าบนโลกและขังลูกสัตว์ประหลาดไว้ ฝ่ายก็อดซิลล่าก็ไม่สามารถเอาชนะแฝดจากนอกพิภพได้ สัตว์ประหลาดกับหุ่นยนต์ยักษ์จึงมาเปิดศึกใหญ่บนแผ่นดินญี่ปุ่น และ M.O.G.U.E.R.A. ก็ร่วมมือกับก็อดซิลล่าจนกำจัด SpaceGodzilla ได้ ก่อนจะกลับไปอยู่กับลูกน้อยอีกครั้ง
Gojira vs. Destoroyah / Godzilla vs. Destoroyah (1995)
ภาพยนตร์สุดท้ายของก็อดซิลล่าในยุคเฮย์เซย์ที่กองกำลังของ UNGCC พบว่าเกาะที่ก็อดซิลล่าอาศัยอยู่นั้นได้แปรสภาพเป็นเกาะที่เต็มไปด้วยลาวา ทำให้ก็อดซิลล่าออกมาอาละวาดอีกครั้ง ซึ่งเป็นผลพวงมาจากการที่หัวใจของก็อดซิลล่าที่ทำหน้าเหมือนเตาปฏิกรณ์กำลังเกิดการหลอมละลาย ประจวบกับที่สิ่งมีชีวิตที่อยู่ในพื้นที่ปล่อยอาวุธ Oxygen Destroyer (เหตุการณ์ในภาพยนตร์ภาคแรกสุด) เกิดเติบโตขึ้นมาพอดิบพอดี ทำให้มันกลายเป็นสัตว์ประหลาด Destroyah ที่แข็งแกร่งกว่าสิ่งมีชีวิตพิสดารที่เคยปรากฏตัวมาก่อนหน้านี้ และสัตว์ประหลาดตัวใหม่ก็ทำการสังหารลูกของก็อดซิลล่า ทำให้ก็อดซิลล่าที่อยู่ในภาวะใกล้เสียชีวิตพยายามช่วยลูกน้อยให้ฟื้นคืน ทว่าการกระทำแบบนั้นกลับทำให้ร่างกายของก็อดซิลล่าเกิดการหลอมละลายเร็วขึ้น ศึกสุดท้ายระหว่าง Destroyah กับก็อดซิลล่าจึงเริ่มขึ้น โดยกองทัพมนุษย์ก็ช่วยยิงอาวุธแช่แข็งจนสามารถทำให้ก็อดซิลล่ายิงลำแสงปิดเกมก่อนจะเสียชีวิต และอาวุธแข่แข็งก็ทำให้ก็อดซิลล่าไม่ระเบิดออกจนทำลายโลกอย่างที่คนกลัว แล้วก็เป็นจังหวะนี้เองที่ลูกของก็อดซิลล่าฟื้นขึ้นมารับพลังงานจากก็อดซิลล่าตัวที่จากไป และบ่งชี้ว่าสัตว์ประหลาดน้อยจะกลายเป็นสัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่งในอนาคต
ภาพยนตร์ Godzilla 6 เรื่อง ในยุคมิลเลนเนียม (1999-2004)
ก็อดซิลล่ากลับมาในช่วง Y2K หลังจากที่ไปเปิดตัวในฉบับฮอลลีวูดเมื่อปีค.ศ. 1998 (ซึ่งเราจะพูดถึงส่วนนี้ในช่วงต่อๆ ไป) คราวนี้ภาพยนตร์ออกมาในลักษณะภาคใครภาคมัน (เว้นแต่ Godzilla Against Mechagodzilla ที่จะเชื่อมโยงกับ Godzilla: Tokyo S.O.S.) และจะอ้างอิงเหตุการณ์กับภาคแรกเป็นหลักเท่านั้น ดังนั้นสำหรับหลายๆ คนอาจจะติดตามหนังในช่วงนี้ได้อย่างง่ายดายขึ้นเพราะเรื่องแทบจะไม่ต่อกันเลย
Gojira Nisen: Mireniamu / Godzilla 2000: Millennium (1999)
เหตุการณ์ตีความให้ก็อดซิลล่าเป็นภัยธรรมชาติจนต้องมีหน่วยงาน Godzilla Prediction Network – GPN ที่คอยทำนายว่าก็อดซิลล่าจะบุกมาตรงไหน ต่อมาก็พาไปทำความรู้จักกับวัตถุลึกลับซึ่งตั้งใจบุกมาบนโลก โดยพบว่า UFO ดังกล่าวสามารถดูดกลืน DNA ของก็อดซิลล่า จนพัฒนาเป็นสัตว์ประหลาดยักษ์ Orga ที่เกือบจะกลืนก็อตซิลล่าได้ แต่กลับกลายเป็นว่าจังหวะที่จะกลืนร่างนั้น Orga โดนยิงลำแสงใส่เสียเอง และหนังก็จบลงโดยที่ชาวญี่ปุ่นก็ต้องเรียนรู้การใช้ชีวิตกับสัตว์ประหลาดยักษ์ต่อไป
Gojira x Megagirasu G Shometsu Sakusen / Godzilla vs. Megaguirus (2000)
ภาคนี้ตีความว่า หนังภาคแรกไม่เคยใช้ Oxygen Destroyer ทำให้ญี่ปุ่นต้องย้ายเมืองหลวงไปโอซาก้า และมีการพัฒนาพลังงานพลาสม่ามาใช้แทนนิวเคลียร์เพื่อเลี่ยงการโจมตีจากก็อดซิลล่า และมีการพัฒนาปืนยิงหลุมดำขนาดจิ๋ว แต่ปืนดังกล่าวกลับดึงเอาแมลงจากต่างมิติที่ภายหลังสามารถดูดกลืนพลังงานของก็อตซิลล่าเข้ามา ก่อนจะพัฒนาร่างเป็น Megaguirus แต่สุดท้ายก็โดนก็อดซิลล่ากำจัดไปอีกหนึ่งตัว
Godzilla, Mothra and King Ghidorah: Giant Monsters All-Out Attack (2001)
ภาคนี้ยังเป็นการตีความว่าหลังจากก็อดซิลล่าบุคมาครั้งแรกในปีค.ศ. 1954 แล้ว ญี่ปุ่นก็เตรียมพร้อมรับมือการโจมตีของสัตว์ประหลาดยักษ์ จนมีข่าวว่ามีสัตว์ประหลาดยักษ์ Mothra, King Ghidorah และ Baragon ออกอาละวาดเพราะพวกมันรู้ว่าก็อดซิลล่ากำลังจะบุกเข้ามา และมีการตีความว่า ก็อดซิลล่า ในภาคนี้มีวิญญาณของคนตายจากยุคสงครามโลกครั้งที่สองสิงสู่อยู่ภายในร่างด้วย และสุดท้าย King Ghidorah ที่คืนชีพจากการรวมวิญญาณกับ Mothra และจรวดสว่าน D-03 ของกองทัพมนุษย์ก็สามารถล้มก็อดซิลล่าได้ แต่หัวใจที่เหลืออยู่ของมันก็ยังคงเต้นอยู่
หนังมีการแซะถึง ‘การโจมตีของสัตว์ประหลาดในนิวยอร์กช่วงปี 1998’ แต่ตัวละครในเรื่องจะระบุว่าชาวญี่ปุ่นที่มีประสบการณ์มาก่อนนั้นไม่เชื่อว่าเป็นก็อดซิลล่าหรอก
Gojira X Mechagodzilla / Godzilla Against Mechagodzilla (2002)
Gojira x Mosura x Mekagojira Tokyo S.O.S / Godzilla: Tokyo S.O.S. (2003)
ภาพยนตร์สองภาคต่อกันของก็อดซิลล่ายุคมิลเลนเนียม คือ Godzilla Against Mechagodzilla ที่กองกำลังป้องกันตัวเองของญี่ปุ่น ได้พัฒนา Mechagodzilla ที่ใช้ชื่อว่า Kiryu ที่สร้างขึ้นโดนอิงจากกระดูกของก็อดซิลล่าที่ตายไปแล้วในปีค.ศ. 1954 ซึ่งหุ่นตัวใหม่นี้สามารถรับมือกับก็อดซิลล่า (อีกตัว) ได้ก็จริง แต่เพราะความจำของก็อตซิลล่าตัวดั้งเดิมทำให้หุ่นออกอาละวาดแบบที่ไม่มีใครควบคุมได้ สุดท้ายจึงให้นักบินมาขับ Mechagodzilla จนสามารถให้เอาชนะก็อดซิลล่าได้
ภาคต่อเริ่มขึ้นหลังจากเหตุการณ์ผ่านไปหนึ่งปี ภูตแฝดของ Mothra ได้เตือนให้รัฐบาลญี่ปุ่นเอากระดูกของก็อดซิลล่าตัวดั้งเดิมไปทื้งไว้ท้องทะเล ไม่เช่นนั้น Mothra จะเข้าทำการห้ำหั่นกับมนุษย์ แน่นอนว่ากองทัพมนุษย์ปฏิเสธ และก็อดซิลล่าก็กลับมาอีกครั้ง ทำให้ Mothra ต้องสู้กับก็อดซิลล่า และ Kiryu ไปด้วย แต่สุดท้าย Mothra ก็เสียชีวิตไปเพื่อปกป้องตัวอ่อนของ Mothra เอง และกองทัพมนุษย์ก็ตัดสินใจส่ง Kiryu ลงใต้ทะเลเพื่อผนึกก็อดซิลล่า แต่มีทิ้งท้ายว่ากองกำลังป้องกันของญี่ปุ่นกำลังจะสร้างอาวุธชีวภาพจากสัตว์ประหลาดตัวอื่น แต่เนื่องจากหนังจบลงโดยไม่มีภาคต่อจึงไม่มีอะไรเกิดขึ้น
Godzilla: Final Wars (2004)
เรื่องราวภาคนี้ จับประเด็นว่าก็อดซิลล่าในหนังภาคแรกสุดถูกฝังไว้ใต้ภูเขาน้ำแข็งในแอนตาร์กติกาแทน และเมื่อสัตว์ประหลาดมากมายกับเหล่ามิวแทนต์ที่มีพลังเหนือมนุษย์ปรากฎตัวออกมา จนเกิดเหตุวุ่นวายและมีการเปิดเผยว่ามีมนุษย์ต่างดาว X เป็นคนบงการและจำเป็นต้องปลุกก็อดซิลล่า และสัตว์ประหลาดลึกลับอย่าง Monster X ที่มีร่างจริงเป็น Keizer Ghidorah ร่างอัพเกรดของ King Ghidorah ซึ่งการต่อสู้จบลงด้วยชัยชนะของก็อดซิลล่า
ภาคนี้ได้ Kitamura Ryuhei ผู้กำกับญี่ปุ่นที่ถนัดทำหนังแอคชั่นแบบสุดโต่งมาทำ หนังเลยออกมาตามรูปแบบที่ผู้กำกับถนัด โดยหลักแล้วหนังภาคนี้เป็นการที่สัตว์ประหลาดบุกออกมาโจมตีทั่วโลก และกองกำลังมนุษย์ก็ออกมาบู๊ในสไตล์หนัง The Matrix และมีฉากหนึ่งที่ก็อดซิลล่าฉบับญี่ปุ่น สามารถกำจัด ก็อดซิลล่า ฉบับอเมริกาของปีค.ศ. 1998 ให้กลายเป็นฝุ่นในชั่วพริบตา
และภาพยนตร์ยุคมิลเลนเนียมของก็อดซิลล่าก็จบลง ณ จุดๆ นี้
ภาพยนตร์ Godzilla 4 เรื่อง ในยุคหลังมิลเลนเนียม (ที่มีกำหนดฉายแล้ว)
ก็อดซิลล่าของทาง Toho หายจากภาพยนตร์จอเงินไปราวๆ 10 ปี ก่อนที่จะมีข่าวว่าพวกเขากำลังพัฒนาภาคใหม่กันอยู่และทิศทางการพัฒนาภาคใหม่ก็เป็นอะไรที่น่าแปลกใจสำหรับคนดูไม่น้อยเสียด้วย
Shin Godzilla / Godzilla: Resurgence (2016)
ภาพยนตร์ภาคนี้เป็นการรีบู๊ตเพื่อตีความใหม่ ที่เอาแนวคิดของโลกยุคสื่อสังคมออนไลน์เฟื่องฟู กับ เหตุภัยพิบัตินิวเคลียร์ฟุกุชิมะ และ เหตุการณ์แผ่นดินไหวกับคลื่นสึนามิในเขตโทโฮกุ ที่เกิดขึ้นในปีค.ศ. 2011 มาผสมกับการวิพากษ์การเมืองของญี่ปุ่น และได้ Anno Hideyuki ที่สร้างชื่อจากอนิเมะเรื่อง ‘Neon Genesis Evangelion’ มากำกับหนังร่วมกับ Higuchi Shinji ที่เคยรับผิดชอบการดูแลด้านสเปเชียลเอฟเฟกต์ของภาพยนตร์ Gamera ไตรภาค เลยทำให้ได้หนังก็อดซิลล่าฉบับใหม่ ที่นอกจากสัตว์ประหลาดยักษ์จะกลับมาเป็นภัยอย่างสมบูรณ์ ยังมีการแซะเรื่องราวหลายอย่างบนโลกแบบถึงลูกถึงคนด้วย
หนังตีความว่ามีสิ่งมีชีวตที่กลายพันธุ์เพราะรับสารกัมมันตรังสีมาขึ้นฝั่งที่อ่าวโตเกียว แต่รัฐบาลญี่ปุ่นกลับมองว่าไม่ใช่เรื่องจริงและตัดสินใจอย่างเชื่องช้าในการรับมือจนก็อดซิลล่าสามารถพัฒนาร่างใหญ่ยักษ์ได้สำเร็จ และในขณะเดียวกันกลุ่มข้าราชการการเมืองกลุ่มเล็กๆ ก็หาทางรับมือเพื่อช่วยเหลือประชาชน และเมื่อถึงจุดที่ก็อดซิลล่าโตเต็มตัว กองกำลังจากต่างชาติก็ตัดสินใจจะใช้นิวเคลียร์เพื่อทำลายก็อดซิลล่า แต่กลุ่มข้าราชการที่ยังรอดอยู่ ได้ทำการรับมือสัตว์ประหลาดตัวนี้ตามแผนการของนักวิจัยทุกฝ่าย จนสุดท้ายสามารถแช่แข็งก็อดซิลล่าได้ และทิ้งท้ายหนังด้วยว่า สุดท้ายชาวญี่ปุ่นหรือชาวโลกก็ต้องปรับตัวเพื่อระวังไม่ให้สัตว์ประหลาดแบบนี้วิวัฒนาการมาทำร้ายมนุษยชาติได้อีก
Godzilla: Planet of the Monsters (2017) / Godzilla: City on the Edge of Battle (2018) / Godzilla: The Planet Eater (2018)
ภาพยนตร์อนิเมชั่นที่ตีความไปไกลว่าหากก็อดซิลล่าสามารถยึดครองโลกไปได้จะเกิดอะไรขึ้น และมีการตีความสัตว์ประหลาดให้เป็นรูปแบบใหม่ ข้อเสียของตัวหนังก็คือการใช้เวลาเล่าเรื่องที่ค่อนข้างช้า และบทสรุปที่ชวนงงเบาๆ ภาพยนตร์ออกฉายในโรงภาพยนตร์เฉพาะในประเทศญี่ปุ่น และออกฉายทั่วโลกผ่านทาง Netflix
ภาพยนตร์ Godzilla 4 เรื่อง ที่สร้างโดยฝั่งฮอลลีวูด
ส่วนนี้เป็นภาพยนตร์ที่ทาง Toho เคยขายสิทธิ์ในการจัดทำให้กับฮอลลีวูด อย่างเช่นภาพยนตร์ Godzilla ฉบับปีค.ศ. 1998 ที่เราพูดถึงไปคร่าวๆ แล้ว กับภาพยนตร์ชุดใหม่ที่ถูกเรียกว่า MonsterVerse ซึ่งเป็นการร่วมมือกันระหว่าง Toho กับ Legendary Pictures ที่เราจะพูดถึงกันแบบคร่าวๆ ในส่วนนี้
Godzilla (1998)
กล่าวกันว่า ระหว่างที่กองทัพฝรั่งเศสได้ทดลองระเบิดนิวเคลียร์ในหมู่เกาะเฟรนช์โพลินิเชีย มีอีกัวน่าตัวหนึ่งได้กลายพันธุ์จากการอาบกัมมันตรังสี จนเวลาผ่านไปหลายปี สัตว์ประหลาดตัวนั้นได้ข้ามน้ำข้ามทะเลบุกเข้าโจมตีเกาะแมนแฮตตันและออกอาละวาดไปทั่ว จนกระทั่งกองกำลังของอเมริกามารวมพลังถล่มสัตว์ประหลาดตัวนี้ และสุดท้ายก็สามารถล่อมันไปยืนบนสะพารบรูคลิน แล้วยิงมิสไซล์ถล่มจนก็อตซิลล่าตัวนี้ตายลงไป ความสงบกลับมาเยือนอีกครั้ง แต่กลับไม่มีใครรู้ตัวว่า ยังมีไข่ฟองหนึ่งซ่อนตัวอยู่บนเกาะแมนแฮตตันและมันกำลังจะฟักออกมา
เพราะก็อดซิลล่ามีความนิยมอยู่ระดับหนึ่งจากการที่มีหนังภาคก่อนๆ ที่ตัดต่อสำหรับผู้ชมชาวอเมริกา ทำให้ก็อดซิลล่าเคยไปเล่นโฆษณาในอเมริกามาบ้างแล้ว จึงไม่แปลกที่ผู้สร้างภาพยนตร์ในฮอลลีวูดอยากจะสร้างหนังจากสัตว์ประหลาดเรื่องนี้ ซึ่งความจริงก็มีการพยายามสร้างก็อดซิลล่าก่อนหนังฉบับนี้มาแล้วในช่วงยุค 1980 โดยมีการสร้างทรีตเมนต์ของหนังที่ใช้ชื่อว่า Godzilla: King Of The Monsters in 3D แต่หนังก็ถูกปล่อยผ่านเพราะไม่มีคนกล้าลงทุนด้วย
ต่อมาในช่วงต้นของยุค 1990 ผู้กำกับอย่าง Jan de Bont (จากหนังเรื่อง Speed) ก็เคยร่วมมือกับ Stan Winston มือสเปเชียลเอฟเฟกต์ระดับโลก พยายามออกแบบหนังก็อดซิลล่า ที่ดีไซน์ออกมาคล้ายกับต้นฉบับในญี่ปุ่นอย่างมาก แต่สุดท้ายทางค่ายหนังก็ตัดสินใจที่จะสร้างหนังก็อดซิลล่าอย่างที่เราเห็นกัน
หนังเรื่องนี้อาจจะเป็นหนังที่พอดูได้ แต่สำหรับแฟนก็อดซิลล่าแล้ว ต่างสาปส่งและมองว่ามันช่างไม่มีความ God อยู่ในตัวก็อดซิลล่าตัวนี้เอาเสียเลย และนั่นทำให้ Toho ทำการแซะก็อดซิลล่าเวอร์ชั่นนี้ในหนังของตัวเองตามที่กล่าวถึงไปแล้ว
Godzilla (2014)
ภาพยนตร์ฉบับรีบู๊ตสำหรับฝั่งฮอลลีวูด ที่ยึดพล็อตเรื่องตามพล็อตดั้งเดิมที่กล่าวว่า มีการทดลองระเบิดนิวเคลียร์หลังจากจบสงครามโลกครั้งที่สองนับครั้งไม่ถ้วน จนกระทั่ง ในปี ค.ศ. 1954 รัฐบาลสหรัฐอเมริกา ได้พบกับสิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์และใช้นิวเคลียร์ระเบิดหมดเพื่อทำลายทิ้ง แน่นอนว่าสัตว์ประหลาดตัวดังกล่าวมีชีวิตอยู่ดีและกลับมาอีกครั้งในปีค.ศ. 2014 ก็อดซิลล่า และ MUTO ได้คืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง และพวกมนุษย์ก็คำนวณหนทางในการรับมือ จนตัดสินใจให้มันต่อสู้กันเองเพื่อตัดสินผลแพ้ชนะ และระหว่างนั้นกองทัพมนุษย์ก็คอยสนับสนุนก็อดซิลล่า จนสัตว์ประหลาดยักษ์เป็นฝ่ายชนะและยอมกลับไปในท้องทะเลอีกครั้ง
ก็อดซิลล่าฉบับฮอลลีวูดเรื่องนี้ถือว่าได้รับการตอบรับที่ดีกว่าฉบับเดิมมาก (ยกเว้นในส่วนที่มีคนดูเห็นว่าก็อดซิลล่ามาโผล่น้อยเกินไปหน่อย) เมื่อหนังได้รับกระแสตอบรับที่ดีจึงมีการจัดทำแผนงานหนังสัตว์ประหลาดตีกันหรือที่เรียกในภายหลังว่า Monsterverse ซึ่งมีการยืนยันในปีค.ศ. 2015 ว่า หนัง Kong: Skull Island จะเป็นเรื่องที่สองในจักรวาลนี้
นอกจากนี้ ผู้ชมทั่วโลกก็จะได้ชมการตีกันระหว่าง ก็อดซิลล่า, Mothra, Rodan และ King Ghidorah ในภาพยนตร์ Godzilla: King of the Monsters (2019) ก่อนที่สัตว์ประหลาดที่เหลือรอดจะต้องไปประจันหน้ากันในภาพยตร์ Godzilla vs. Kong ในปีค.ศ. 2020 ซึ่งนั่นคงทำให้แฟนๆ หนังสัตว์ประหลาดที่ห่างหายหนังแนวนี้ไปนานจะต้องสาแก่ใจกับสิ่งยักษ์ใหญ่ที่อาจจะไม่ปรานีให้กับมนุษย์ที่เข้าไปยุ่มย่าม แต่การดวลของมันต้องมันส์สนั่นทุกหน้าจออย่างแน่นอน
อ้างอิงข้อมูลเพิ่มเติมจาก
Youtube Channel: Cinemassacre – 1, 2
Youtube Channel: NowThis Nerd – 1, 2