จังหวะที่ยังไม่มีหนังใหญ่ระดับ Block Buster เข้ามากวาดกระแสคนดู ช่วงนี้ภาพยนตร์สารคดีจึงมีโอกาสได้แสดงความโดดเด่นมากกว่าช่วงอื่นๆ แล้วพอมานึกแบบจริงๆ จังๆ เราก็พบว่าปี 2018 นี้มีสารคดีที่เกี่ยวข้องกับนักร้อง-ศิลปินเข้าฉายอยู่หลายเรื่องทีเดียว ทั้งภาพยนตร์สารคดีของบ้านเราเอง อย่างเรื่อง ‘2,215 เชื่อ บ้า กล้า ก้าว’ ที่เล่าช่วงเวลาที่ ตูน อาทิวราห์ นักร้องนำของวง Bodyslam ออกวิ่งจากใต้สู่เหนือของไทย หรือ BNK: Girls Don’t Cry ที่ให้สมาชิกรุ่นแรกของวงมาบอกเล่าว่าพวกเธอต้องประสบอะไรกันบ้างในช่วงเวลาทำงานหนึ่งปี
ในขณะเดียวกันก็มีภาพยนตร์นำเข้าเกี่ยวข้องกับนักร้องศิลปินมาเข้าฉายหลายเรื่อง อย่างในช่วงนี้ ก็มี Ryuichi Sakamoto: Coda เข้าฉายกันอยู่ และอีกไม่นานนัก Whitney สารคดีที่โฟกัสเรื่องการทำลายสถิติของนักร้องสาวคนนี้ก็จะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ แล้วถ้าเอาภาพยนตร์สายบันเทิงก็มีเรื่อง Bohemian Rhapsody ที่เล่าประวัติของ Freddie Mercury กับวง Queen เตรียมเข้าฉายอีกเรื่อง เพราะฉะนั้นเราขออาศัยจังหวะนี้พูดถึงภาพยนตร์สารคดีที่พูดถึงนักร้องนักดนตรีที่มีความน่าสนใจมาบอกกล่าวให้ฟังกัน
ทั้งนี้ ถ้าคิดว่ามีเรื่องไหนที่อยากแนะนำให้ทีมงาน The MATTER หรือผู้อ่านท่านอื่นมีโอกาสได้รับชมกันก็บอกกล่าวกันได้ เพราะเราเชื่อว่าสารคดีที่เกี่ยวข้องกับเสียงดนตรีนี้ มักมีอรรถรสอื่นที่น่าสนใจตามมาด้วยเสมอ
Ryuichi Sakamoto: Coda
โปสเตอร์แบบหนึ่งของภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้เป็ภาพของชายคนหนึ่งที่เอาถังพลาสติกสีน้ำเงินมาคลุมหัวไว้ ในวูบหนึ่งอาจทำให้หลายคนคิดว่า สารคดีเรื่องนี้จะพาเราไปสู่แนวคิดพิสดารของชายที่เป็นสมาชิกของวง Yellow Magic Orchestra และเจ้าของบทเพลง Merry Christmas Mr. Lawrence อย่างนั้นหรือ ?
แต่ผู้ชมหลายคนก็บอกว่าไม่ใช่แบบนั้นหรอก ดินแดนที่ภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้จะพาเราเดินทางไปถึง คือวิธีการคิดทำงานเพลง นับตั้งแต่ช่วงวัยหนุ่มของเขา ไปจนถึงจุดที่เขาป่วยเป็นมะเร็ง จนฟื้นตัวขึ้นมาใหม่ และลุกขึ้นมาต่อต้านการเปิดโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ฟุคุชิม่า แสวงหาเสียงใหม่ๆ จากห้วงธรรมชาติ เพื่อฝากผลงานที่เขาสามารถบอกได้ว่าเป็นงานที่มีความหมายต่อโลกใบนี้
เคยมีคนบอกเอาไว้ว่า สารคดีหลายเรื่องไม่จำเป็นต้องสละเวลาไปดูในโรงภาพยนตร์ก็ได้ แค่อุดหนุนแผ่นลิขสิทธิ์ก็น่าจะโอเคมากพอแล้ว แต่เมื่อทำนองแรกของเพลงในตัวอย่างภาพยนตร์ดังขึ้น เราก็คิดว่านี่น่าจะเป็นภาพยนตร์สารคดีที่ใครหลายคนน่าจะเข้าไปฟังเสียงเพลงที่หนึ่งในยอดนักคีตแห่งยุคสร้างขึ้นให้เราฟังในโรงภาพยนตร์
David Bowie: Five Years / David Bowie: The Last Five Years
พอเราได้เจอสารคดี Ryoichi Sakamoto: Coda เราก็พาลนึกถึง David Bowie ที่ร่วมงานกันในภาพยนตร์ Merry Christmas, Mr. Lawrence ต่อเนื่องขึ้นมาทันที
David Bowie เป็นทั้งศิลปินที่มากความสามารถ เล่นดนตรีหลากสไตล์ จุดประกาย รวมถึงการแต่งตัวที่หวือหวา จึงไม่แปลกนักที่ชายผู้นี้จะมีสารคดีหลายเรื่องให้รับชมกัน ใน Netflix ก็มีสารคดีเรื่อง Bowie: The Man Who Changed The World ที่ออกไปสัมภาษณ์คนที่เคยใกล้ชิดกับเขา ร่วมกับการเล่าเรื่องราวว่าเด็กชายธรรมดาได้เปลี่ยนเป็นชายผู้มาจากดวงดาวที่ปล่อยงานมหัศจรรย์ได้อย่างไร ค่อนข้างเหมาะกับคนที่ยังไม่คุ้นเคยกับ David Bowie มากนัก
ถึงอย่างนั้นเราก็อยากจะแนะนำสารคดีอีกชุดหนึ่ง ที่โฟกัสการเรื่องการทำงานของชายคนนี้แบบเฉพาะทางมากกว่า สารคดีที่ว่าก็คือ David Bowie: Five Years กับ David Bowie: The Last Five Years ผลงานการกำกับของ Francis Whately ที่เลือกหยิบจับช่วงเวลาที่ David Bowie สร้างงานในแต่ละยุค โดยในสารคดี Five Years เป็นการบอกเล่าการทำงานในหลายช่วง ตั้งแต่ ช่วงปี 1971-1972 ในช่วงทำอัลบั้ม The Rise and Fall of Ziggy Stardust and The Spiders From Mars / ช่วงปี 1974-1975 หลังจากที่โด่งดังในอเมริกา และกลายเป็นรากฐานในการทำอัลบั้ม Young Americanss / ช่วงปี 1976-1977 ที่เดินทางไปเบอร์ลินแล้วพบกับมิตรสหายทางดนตรี ก่อนจะพัฒนาอัลบั้ม ‘Heroes’ / ช่วงปี 1979-1980 ที่ Bowie ได้นำเอาตัวละคร Major Tom (จากเพลง Sapce Oddity) มาเล่าต่อในอัลบั้ม Scary Monsters (And Super Creeps) และทิ้งท้ายด้วย ช่วงปี 1982-1983 ที่ David Bowie กลับมาทำเพลงแมสๆ อีกครั้ง
ส่วน David Bowie: The Last Five Years เป็นสารคดีที่พูดถึงสองอัลบั้มสุดท้ายของ David Bowie อย่าง The Next Day กับ Blackstar ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตในปี 2016 แม้หลายคนบอกว่า ตัวสารคดีไม่ได้มีอะไรพิเศษหรือมีรายละเอียด โดยเฉพาะในตัว The Last Five Years ที่โดนติงว่าเป็นการเอาเพลงในอัลบั้มมาเปิดควบกับข่าวรอบตัวของศิลปินคนดังมากกว่า รวมถึงบอกเล่าในแต่ละช่วงวัยของ David Bowie ว่าเขาไปเจออะไรมา แล้วส่งผลกระทบต่อการสร้างงานในแต่ละยุคขนาดไหน
นอกจากนี้ Francis Whately ยังวางแผนการสร้าง David Bowie: The First Five Years มาแล้ว ซึ่งถ้าการสร้างภาพยนตร์สารคดีเรื่องสุดท้ายเสร็จลง เราก็จะมีสารคดีชุดใหญ่ที่เล่าเรื่องผลงานเพลงของ David Bowie ตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงวันที่เขาได้เดินทางกลับคืนสู่ห้วงอวกาศอีกครั้ง
Score: A Film Music Documentary
ภาพยนตร์อาจถูกจดจำได้จากดารานักแสดงที่มาร่วมเล่น บทที่ถูกเขียนขึ้นมาให้ประทับใจ เอฟเฟกต์ที่ทำให้หนังมีความตราตรึงต่อผู้ชมแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่คอยสนับสนุนให้ภาพยนตร์สื่อสารออกมาชัดเจนมากขึ้น คือ ‘ดนตรีประกอบภาพยนตร์’ ที่ภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้ตั้งใจบอกเล่าเรื่องราวของกลุ่มคนสร้างเสียงสนับสนุนภาพเคลื่อนไหวบนจอรูปแบบต่างๆ นับตั้งแต่จุดเริ่มต้น ที่หนังเงียบในยุคก่อนจำเป็นต้องมีมือเปียโนหรือมือออร์แกนที่มีไหวพริบกับความสามารถมากพอที่จะเล่นเพลงให้ตรงกับอารมณ์ของหนังที่ฉายอยู่ได้ทันท่วงที
ด้วยความที่สารคดีเลือก subject ของเรื่องเป็น ‘บทเพลง’ การนำเสนอของหนังเลยมีคนเล่าเรื่องค่อนข้างเยอะ แต่คนเหล่านั้นก็ต่างเป็นคนสำคัญของวงการภาพยนตร์ อาทิ ผู้กำกับที่ทรงอิทธิพลต่อการสร้างหนัง James Cameron ที่มาออกความเห็นว่า สำหรับผู้กำกับแล้วเพลงมีความสำคัญขนาดไหน และแน่นอนว่าต้องมีคนแต่งเพลงสำหรับภาพยนตร์ดังๆ อย่าง Hans Zimmer, Danny Elfman, John Williams, Quincy Jones, Howard Shore ฯลฯ ทั้งหมดมาแชร์ความคิดเห็นเกี่ยวกับการสร้างเพลงประกอบภาพยนตร์ที่ฝั่งนักดนตรีก็บอกว่า ส่วนหนึ่งที่คนทำเพลงให้เครดิตกับคนสร้างหนังที่บางคนนั้นเดินมาสะกิดคนแต่งเพลงว่าพวกเขาควรใช้ทิศทางไหนในการคุมโทนภาพที่อยู่ตรงหน้า นอกจากนั้นเรายังได้เห็นมุมนึกสนุกของเหล่าคนดนตรีที่หาอุปกรณ์มาเพื่อสร้างเสียงเฉพาะให้กับหนังเรื่องใหม่ แล้วถ้าอยากได้สาระจริงจังก็มีโหมดวิทยาศาสตร์เช่นกัน
หนังเรื่องนี้อาจสวนทางกับ Ryuichi Sakamoto: Coda ที่อยากให้ดำดิ่งกับวิธีการสร้างบทเพลง แถมดูแล้วเรื่องนี้ยังมีการสัมภาษณ์เยอะ แต่ใจเย็นก่อน ด้วยความที่ตัวเอกของเรื่องแท้จริงคือดนตรีประกอบภาพยนตร์ คุณก็จะได้ยินเสียงเพลงที่คุ้นเคยจากภาพยนตร์ดังมากมาย ทำให้เราเห็นภาพชัดเจนว่าท่วงทำนองสำคัญต่อภาพยนตร์ขนาดไหน
We Are X
เราเคยพูดถึงสารคดีของวงร็อกจากประเทศญี่ปุ่นมาแล้วครั้งหนึ่ง รวมไปถึงความ ‘ป๋า’ ของ YOSHIKI หัวหน้าวงที่เคยแก้ปัญหาคอนเสิร์ตเลื่อน ตั้งแต่ที่ฮ่องกงที่ให้คนซื้อตั๋วมารีฟันด์เงิน และเปิดรอบเล่นฟรีที่ให้พาเพื่อนมาร่วมนั่งดูได้อีกคน ซึ่งหลายท่านน่าจะได้เห็นการตัดสินใจเล่นคอนเสิร์ตในฮอลล์เปล่าๆ แล้วถ่ายทอดสดการแสดงนี้เพื่อให้คนดู่ผ่านอินเทอร์เน็ต เพราะพายุ ‘จ่ามี’ เข้า
หลายคนอาจจะงงๆ ว่า ที่ทำไปนี่คือ X-Japan หวังกระแสไวรัลหรือเปล่า ? ถ้ามองแบบไม่รู้อะไรเลยเราอาจพูดได้เต็มปากว่าพวกเขาอยากให้มันไวรัลจริงๆ แต่ถ้ามองแบบคนที่ดูสารคดี We Are X มาแล้ว เราจะเข้าใจได้ว่าพวกเขาไม่ได้หวังผลการตลาดเพียงอย่างเดียว แต่สมาชิกของวง X-Japan (โดยเฉพาะ YOSHIKI) มุ่งมั่นกับการอุทิศชีวิตไปให้กับการแสดง จนมีความสุดโต่งในระดับที่จะพร้อมยอมตายบนเวที
ตัวภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้ เริ่มต้นเล่าเรื่องในช่วงหลังจากกลับมารวมตัวกัน ก่อนจะย้อนไปถึงที่มาที่ไปของตัวตนแต่ละคนในวง ผ่านจุดที่วงดังเป็นพลุแตก เหตุการณ์วงแตกที่ไม่ได้มาจากการขัดแย้งกันของสมาชิก แต่มีเรื่องราวของลัทธิล้างสมองแฝงอยู่ด้วย รวมถึงเส้นทางของการกลับมารวมวงกันอีกครั้งหนึ่ง ที่ไม่ได้ง่ายแค่การกลับมาพบหน้ากันเฉยๆ เท่านั้น เพราะฉะนั้นต่อให้ไม่ได้เป็นแฟนวงก็สามารถดูหนังเรื่องนี้ได้อย่างสนุกตั้งแต่ต้นจนจบ
ตัวหนังยังทำให้เราเข้าใจมากขึ้นว่าการที่วงดนตรีจากแดนอาทิตย์อุทัยที่อายุอานามก็ไม่ใช่น้อย ยังทำการเซอร์วิสแฟนเพลงขนาดนี้ เพราะพวกเขาเองเข้าใจอย่างดีว่า แฟนผลงานดนตรีของพวกเขารอคอยมานานขนาดไหนกว่าจะได้เจอกว่าจะได้เจอ X-Japan มาแสดงแบบเต็มวงอีกครั้ง
Amy
คนส่วนหนึ่งมักเข้าใจไปเองว่า นักร้องนักดนตรีที่ได้อยู่ในแสงสีกับการมีชื่อเสียง ย่อมตามมาด้วยการมั่วสุมอยู่กับสิ่งเสพติดและหลงใหลในเงินตรา เพราะแบบนี้ เมื่อตอนที่มีข่าวว่า Amy Winehouse เสียชีวิต คนกลุ่มหนึ่งจึงฟันธงไปทันทีว่าการจากไปก่อนวัยอันควรนั้นมาจากความเสเพลกับติดบ่วงในวงการมายา แต่ก็มีคนที่เชื่อว่ากว่าที่เหตุสลดจะเกิดขึ้นมันต้องมีปมปัญหาอื่นอีกมากมาร่วม ซึ่งหนึ่งในคนที่คิดเช่นนั้นก็คือทีมสร้างภาพยนตร์สารคดีที่ Asif Kapadia ผู้กำกับ เป็นหัวหอก แล้วเริ่มหาคำตอบที่แตกต่างและเป็นตัวตนแท้จริงของนักร้องสาวผู้ล่วงลับ
ผลผลิตในความพยายามของทีมสร้างภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องของตัว Amy Winehouse จึงไม่ใช่แค่การใช้ฉากในหน้าสื่อต่างๆ มาเล่าเรื่องเท่านั้น แต่เป็นการเน้นคลิปที่มาจากครอบครัวและคนใกล้ตัวของเธอ ทำให้เราได้เห็นมากกว่าสิ่งที่สื่อเลือกนำเสนอ ซึ่งพรสวรรค์ของเธอนั้นเป็นของจริง ที่ทำให้เธอได้ชื่อเสียง ความรัก ความสำเร็จ และก็คงเป็นพรสวรรค์นี้เองที่ทำให้เธอพบกับคนมากมาย ที่บางคนก็มอบพลัง และบางคนก็ริดรอนทั้งแรงกายแรงใจ
พอหนังจบลงแล้วเราก็เข้าใจมากขึ้นว่า การที่ชีวิตของ Amy ถึงจุดสิ้นสุดก่อนวัยอันควร ส่วนหนึ่งมันมาจากความอ่อนล้าทางใจ มากกว่ายาหรือเหล้าที่เธอดื่มกินเสียอีก
Whitney: Can I Be Me
ข้ามจากฟากฝั่งนักร้องแจ๊สมาพูดคุยถึงนักร้องแนว R&B ที่อาจไม่ได้จากไปเร็วจนน่าตกใจ แต่เป็นการจากไปที่ใครต่อใครก็ต้องเสียดายของ Whitney Houseton โดยสารคดีเรื่อง Whitney: Can I Be Me ได้พาเราไปรู้จักผู้หญิงคนนี้มากขึ้น ไม่ใช่ในฐานะนักรัองดีว่าที่มีเสียงทรงพลังทำยอดขายได้หลักล้าน แต่เป็นมุมของผู้หญิงคนหนึ่งที่รักในการทำงาน โดยเธอเชื่อมั่นว่าพรที่พระเจ้ามอบให้เธอคือการเปล่งเสียงที่เธอไม่ควรสงวนไว้กับตัว และเธอก็ยังเป็นคนที่ต้องการคนรักและใส่ใจอยู่ใกล้ตัวมากกว่าใคร ซึ่งเธอต้องผ่านเรื่องราวต่างๆ อย่างที่คนทั่วไปที่คาดไม่ถึง อาทิ การที่เธอต้องถูกคนที่น่าจะเป็น ‘พวกเดียวกัน’ ส่งเสียงต่อต้านว่าตัวเธอนั้นไม่สมเป็นอเมริกัน-แอฟริกันเอาเสียเลย รวมถึงความสัมพันธ์ในครอบครัวที่มีความซับซ้อน จนบางทีเราก็รู้สึกว่าสารคดีเรื่องนี้เป็นเหมือนภาพยนตร์แนวดราม่ามากกว่า
ถ้า Amy เป็นการบอกเล่าถึงชีวิตของศิลปินที่ไม่ยอมอยู่ในกรอบ Whitney: Can I Be Me ก็เป็นสารคดีที่เล่าเรื่องของนักร้องที่อยู่ในกรอบอันหลากหลาย และพยายามอย่างมากในการเป็นตัวเองอย่างแท้จริง อันเป็นที่มาของชื่อหนังที่แปลเป็นไทยได้ว่า ‘ขอเป็นตัวฉันเองได้ไหม’ นั่นล่ะ
Woodstock, 3 Days of Peace & Music
จะบอกว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นสารคดีก็อาจไม่ถูกเสียทีเดียว หรือหากบอกว่านี่เป็นเบื้องหลังการแสดงคอนเสิร์ตก็คงไม่ค่อยถูกนัก โดยเฉพาะเมื่อคุณได้รับชมมันในฉบับผู้กำกับนั่งตัดต่อเอง หรือ Director’s Cut ที่มีความยาว 3 ชั่วโมงกว่าๆ เรื่องนี้ (จริงๆ ฉบับฉายตามโรงภาพยนตร์ก็ยาวราว 3 ชั่วโมงนิดๆ แล้ว)
หนังเริ่มต้นด้วยการเคลียร์พื้นที่โล่งกว้าง 600 เอเคอร์ เพื่อรองรับคนที่จะมาร่วมงานเทศกาลดนตรี Woodstock ในปี 1969 คอนเสิร์ตที่ไม่ได้เป็นแค่การร่วมเสพความบันเทิงจากนักร้องนักดนตรีในอเมริกาเท่านั้น แต่มันยังเป็นคอนเสิร์ตที่แสดงถึงพลังของบุปผาชนในยุคนั้นที่ต้องการแสดงพลังคัดค้านแนวทางก่อสงคราม และแสวงหาความสุขจากวิถีทางแบบอื่น จากนั้นเราจะได้เห็นการแสดงของศิลปินดังในยุคดังกล่าว สลับกับภาพผู้คน รวมถึงความวุ่นวายที่เกิดขึ้นระหว่างวันทั้งจากผู้คนและสภาพอากาศที่มีฝนตกมาระหว่างการแสดง เป็นความบันเทิงที่มีทั้งแบบสดใสและบ้าระห่ำ ความรวมใจของคนที่เดินทางมาคอนเสิร์ตแห่งนี้ ซึ่งทำให้งานคอนเสิร์ตเก็บเงินในช่วงแรก ต้องจำใจเปลี่ยนเป็นงานฟรีในช่วงหลัง และมีจำนวนคนเข้าร่วมกว่า 500,000 คน ก่อนหนังจะจบลงด้วยฉากการไล่เก็บขยะของผู้ชมหลังจากงานคอนเสิร์ตจบลง
ด้วยความที่ภาพยนตร์บอกเล่าภาพหลายๆ มุม แถมยังมีนักร้องดังจำนวนมากมาแสดง หนังเลยได้รับความนิยมตั้งแต่ตอนที่ฉาย จนชวนให้ตลกนิดหน่อยที่ภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้ถูกสร้างขึ้นเพราะเดิมทีทีมงานจัดคอนเสิร์ตขาดทุนยับกับงานเทศกาลดนตรี พวกเขาจึงสร้างหนังเรื่องนี้เพื่อหาเงินทุนมาจ่ายค่าจ้างให้ทีมงานร่วมทำคอนเสิร์ต ซึ่งก็ไม่ควรแปลกใจนักที่หนังได้กำไรมหาศาล แม้จะได้เรต R (ไม่ใช่เพราะรุนแรง แต่เพราะมีการดื่มกินสุราเมรัยกับฉากโชว์เนื้อหนังของผู้ชมในคอนเสิร์ต) และมีความยาวเกินกว่าหนังปกติไปมาก รวมถึงหนังก็ยังไปไกลจนคว้ารางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์สารคดียอดเยี่ยม
สำหรับคนที่เกิดไม่ทันคอนเสิร์ต ภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้ก็ทำให้เห็นว่า งานเทศกาลดนตรีครั้งดังกล่าวยิ่งใหญ่ขนาดไหน และหลังจากนั้นต้องปรับตัวกันอย่างไร เพราะคงไม่มีคอนเสิร์ตไหนจะจัดงานอย่างบ้าระห่ำแบบที่ Woodstock เคยจัดทำในยุคนั้นแล้ว
อ้างอิงข้อมูลจาก
Facebook Fanpage: Documentary Club