ปีไก่ ปีใหม่ ก็อยากเห็นอะไรใหม่ๆ บ้างเป็นธรรมดา
ทั้งอยากเห็นตัวเองเป็นคนใหม่ อยากเห็นแฟนใหม่ (หืม) อยากเห็นนายกใหม่ (วิ่ง!) The MATTER เลยไปชวนผู้คนจากหลายหลายอาชีพ มานั่งสนทนากันว่า ปี 2017 นี้อยากเห็นอะไร คำตอบที่ได้จะมีอะไรบ้างนั้น สไลด์จอมือถือดูกันเล้ย
แล้วคุณล่ะอยากเห็นอะไรในปี 2017 ?
1. ดวงฤทธิ์ บุนนาค
สถาปนิกและนักออกแบบ
“อยากเห็นประเทศไทยมีการเลือกตั้ง และมีรัฐบาลที่มาจากประชาชน เพราะจะเป็นรัฐบาลที่มีนโยบายมาจาก ‘การฟัง’ ที่มีให้กับประชาชน ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจของประเทศดีขึ้นอย่างรวดเร็ว
แต่ถ้ารัฐบาลนี้มีความจำเป็นต้องอยู่ไปอีกซักพัก ก็อยากเห็นผู้นำที่มี ‘การฟัง’ ให้กับประชาชนมากขึ้น ปล่อยวางการเป็นผู้ถูกและปล่อยวางทำให้คนอื่นเป็นผู้ผิด อยากเห็นผู้นำที่ ‘เลือก’ ที่จะรับผิดชอบในทุกๆสิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่ต้องกังวลว่าเขาจะเป็นผู้ผิดในเรื่องนั้นหรือไม่ อยากเห็นผู้นำที่กล้าหาญ ที่ก้าวข้ามมุมมองที่มี และเปิดรับความเป็นจริงอย่างที่มันเป็น”
2. วริษา สุขกำเนิด
นักเรียนและนักกิจกรรม
“อยากเห็นเด็กมีคุณค่ามากขึ้นในทุกๆด้าน เช่น การเชื่อมั่นในตัวเด็กว่าเด็กนั้นใช้เหตุผลเป็น ไม่จำเป็นต้องลงโทษด้วยกำลัง เชื่อมั่นในการตัดสินใจของเด็ก ให้เด็กเป็นผู้ร่วมคิดร่วมวางแผนในเรื่องต่างๆ และไม่มองเด็กเป็นแค่ ‘เด็กน้อยน่ารัก’ ค่ะ”
3. ธีพิสิฐ มหานีรานนท์
บรรณาธิการนิตยสาร Bioscope
“อยากเห็นคนทำหนังไทยกลับมาสร้างความหลากหลายและมีความกล้าหาญในเรื่องเล่าของตัวเองมากกว่านี้ คือปีทีผ่านมาอาจจะเป็นปีที่รายได้ของหนังไทยซบเซาจากหลายเหตุปัจจัย จนทำให้คนทำหนังหลายคนเข็ดขยาด บางรายก็ไม่กล้าทำอะไรที่ฉีกออกไปจากตลาด หรือไม่ก็หนีหายไปทำอย่างอื่นกันเลยก็มี แต่ส่วนตัวคิดว่า ถ้ายิ่งคนทำหนังกลัว ไม่กล้าสร้างความแตกต่างหลากหลายขึ้นมา วงการหนังไทยจะยิ่งแย่ เพียงแต่ว่าเราอาจจะต้องมองหาโมเดลใหม่ๆ ในการหาทุน สร้างสรรค์งาน โปรโมต หรือแม้แต่การจัดฉายจัดจำหน่าย เพื่อสร้างทางเลือกและหนทางรอดให้กับตัวเองมากกว่านี้ โลกเปลี่ยน คนทำหนังก็ต้องรู้จักเปลี่ยน ไม่ใช่ยอมแพ้ให้กับระบบการทำสร้างหนังไทยในแบบเดิมๆ โดยไม่คิดทำอะไรเพื่อต่อสู้ท้าทายกับมันเลย”
4. พัทธมน สวัสดิ์
Cafe Manager
“อยากเห็นเมืองไทยเฟรนด์ลี่กับสัตว์เลี้ยงมากขึ้น ทุกครั้งเวลามายุโรป จะแฮปปี้ เล่นกับหมาชาวบ้าน คือชอบที่หมาไปได้ทุกที่ ขึ้นรถเมล์ เข้าห้าง อาจจะเพราะเจ้าของมีความรับผิดชอบกับหมาตัวเองมากด้วย ไม่วุ่นวาย ที่ไหนไม่ให้หมาเข้าก็มีที่จอดหมาอยู่หน้าร้าน น้องก็จะรออย่างสงบสุข ตอนอยู่กรุงเทพฯเคยมีหมาเลี้ยงชั่วคราว พาไปไหนไม่ได้เลย แทบทุกสวนห้ามหมาเข้า เลยพาไปได้แต่ที่ซ้ำๆ”
5. เค เลิศสิทธิชัย
Influencer
“อยากเห็นเพื่อนๆ คนไทยกล้าแสดงความคิดและแสดงออกในเชิงสร้างสรรค์ เพื่อเป็นแนวทางและประโยชน์ให้กับคนอื่นๆ ได้ทำตาม เพราะในปัจจุบันนี้โลกเทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทสำคัญเป็นอย่างมาก ซึ่งสำหรับเคแล้วเทคโนโลยีนี้ก็เปรียบเสมือนโลกใบใหม่ที่สามารถสร้างประโยชน์ให้กับทุกๆ คนได้ เพราะยุคนี้เป็นยุคที่มีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ทำให้ผู้คนได้ติดต่อสื่อสารกันได้ง่ายขึ้น สังคมออนไลน์แทบจะไม่มีขีดกำจัดในการสื่อสารกันและมันเป็นประโยชน์มากๆ ถ้าเราใช้มันอย่างถูกต้องและสร้างสรรค์ มันทำให้คนอีกซีกโลกนึงได้รู้จักกับอีกซีกโลกหนึ่ง อย่างเคทำวิดีโอแชร์ประสบการณ์อยู่ที่อเมริกา แต่คนในอีกซีกโลกหนึ่งที่ประเทศไทยได้ดูวีดีโอของเคอย่างทันที มันเป็นอะไรที่สุดยอดมากเลยครับ
เทคโนโลยีเหล่านี้เข้ามามีบทบาทในสังคมของเรา เคก็เลยอยากเห็นทุกคนกล้าคิด กล้าแสดงออก และใช้เทคโนโลยีหรืออินเทอร์เน็ตให้เกิดประโยชน์ เผื่อว่าวันหนึ่ง ความคิดสร้างสรรค์เหล่านั้นจะทำให้ทุกๆ คนรู้ว่าตัวเองถนัดสิ่งใด ชอบสิ่งไหนจริงๆ หรือแลกเปลี่ยนความคิดกัน ทำให้คนหลายๆ คนได้รับประโยชน์จากสิ่งนั้นๆ ครับ”
6. พิมพิกา บุญจันทร์
PR และนักแปลอิสระ
“อุดมคติไปไหมไม่รู้นะ 555 แต่ในฐานะที่เราเป็นแม่แล้วก็อยากเห็นพ่อแม่ทุกคนเลี้ยงลูกด้วยความรักและพยายามทำความเข้าใจลูกให้มากๆ ลองใช้จิตวิทยาเชิงบวกในการสั่งสอนแทนการทุบตีหรือทำร้ายด้วยคำพูดแรงๆ ซึ่งบางครั้งมันสร้างบาดแผลลึกในใจเด็กไปจนโต ไม่อยากเห็นเลยพวกข่าวแม่ตีลูกปางตายอะไรพวกนี้ มันวนมาทุกเดือนทุกปีให้สะเทือนใจทุกครั้ง ไม่อยากเห็นการผลิตซ้ำความรุนแรงในครอบครัว เข้าใจนะมันฟังดูเหนือจริงเกินไปที่จะไม่มีการตีการดุด่ากันเลย การเป็นพ่อแม่มันไม่ได้ราบรื่นง่ายดายขนาดนั้นหรอก แต่ก็ยังหวังลึกๆ ว่าจะได้เห็นเด็กรุ่นใหม่ที่โตไปอย่างมีความสุข มีความมั่นคงทางใจและกลายเป็นคนดีของสังคม ซึ่งทั้งหมดนี้ สำหรับเราหลักๆ มันคือภารกิจของพ่อแม่ด้วยนะ”
7. ดร. ภาสกร อินทุมาร
อาจารย์สาขาการละคอน คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
“อยากเห็นการเลือกตั้ง เพราะเราอยู่ในสังคมเผด็จการมานานเกินไปแล้ว ต้องการเห็นสังคมประชาธิปไตย และความล่มสลายของเผด็จการ”