ช่วงนี้ชาวติ๊กต็อกมีกระแสบทสนทนาที่ก้องอยู่ในหู และรีมิกซ์จนกลายเป็นเพลงจากละครสั้นที่ว่าด้วยการลักพาตัวและเปิดเผยตัวตนในท้ายที่สุดว่า “ฉันเป็นนานุดต่างดาว” เรียกได้ว่าฟังกันจนหลอนหูเลยทีเดียว
นอกจากความน่ารักและความหลอนหูแล้ว อันที่จริงตัวเรื่องที่ถูกนำมาเล่นซ้ำ คือเรื่องเล่าของมนุษย์ต่างดาวที่ลักพาตัวมนุษย์ นับเป็นเรื่องเล่าสำคัญซึ่งเรารู้จักกันดี ภาพจินตนาการของยานยูเอฟโอทรงกลม มีเอเลี่ยนตัวสีเทามาลักพาตัว ลืมตาอีกทีก็นอนอยู่บนเขียงในห้องที่มีหน้าตาแปลกๆ ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องเล่าร่วมสมัยของมนุษย์เรา บางส่วนสัมพันธ์กับทั้งความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ของเราเอง และจากวรรณกรรมไซไฟ รวมถึงจากรายงานของผู้ที่อ้างว่าถูกมนุษย์ต่างดาวลักพาตัวไปจริงๆ
เพื่อเป็นการไขข้อข้องใจและตอบคำถามจากละครบทบาทสมมติข้างต้นว่า ‘เอเลี่ยนเป็นใคร จับมนุษย์ไปทำไม’ วันนี้ The Matter ชวนย้อนดูที่มาของเรื่องราวของมนุษย์ต่างดาวลักพาตัว จากที่มาของเอเลี่ยนตัวสีเทา รวมถึงรายงานและปรากฏการณ์ที่ผู้คนเชื่อว่าตัวเองถูกลักพา รวมถึงเหตุทางการแพทย์ที่อาจเป็นไปได้ของอาการหรือความนึกคิด
จากแกเป็นใคร่ สู่เอเลี่ยนสีเทาด้วยอิทธิพลของนิยายไซไฟ
ภาพมนุษย์ต่างดาวที่เรารู้จักสัมพันธ์กับหลายประเด็นของยุคสมัยใหม่ เริ่มตั้งแต่ช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ภาพเอเลี่ยนระดับคลาสสิกตัวสีเทา หัวโตๆ ไม่มีจมูก ถ้าย้อนไปต้นทางแล้วก็สามารถย้อนไปได้ถึงยุคที่วรรณกรรมแนวไซไฟเฟื่องฟู ส่วนหนึ่งของจินตนาการเรื่องนี้ก็สัมพันธ์กับอีกหลายบริบท ทั้งความเข้าใจเรื่องเอกภพ และแนวคิดแบบชาร์ล ดาร์วิน (Charles Darwin) ที่มนุษย์เราเป็นเหมือนยอดสูงสุดบนห่วงโซ่อาหารของวิวัฒนาการ จากการวาดโลกอีกใบขึ้นมาให้เป็นดินแดนอื่น ซึ่งเหมือนเป็นอีกชั้นของระบบนิเวศที่ใหญ่ขึ้น และมีสิ่งมีชีวิตที่อาจจะทรงภูมิเท่าเราหรือทรงภูมิมากกว่า
เจ้าเอเลี่ยนตัวสีเทาที่ว่าไปข้างต้น มีชื่อว่า Grey Aliens หรือ Zeta Reticulans ซึ่งเป็นชื่อกลุ่มดาวที่จะสัมพันธ์กับเหตุการณ์ว่าด้วยมนุษย์ถูกมนุษย์ต่างดาวลักพาตัวเป็นครั้งแรก Grey Aliens ค่อนข้างเป็นหนึ่งในภาพมนุษย์ต่างดาวที่ถูกวาดในวรรณกรรม โดยในปี 1891 เป็นปีแรกๆ ที่ปรากฏนิยายไซไฟชื่อ Meda: A Tale of the Future พูดถึงตัวละครที่พบมนุษย์ต่างดาว และบรรยายว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก มีผิวสีเทา และมีหัวโตเหมือนบอลลูน
ต่อมาในปี 1893 บทความ The Man of the Year Million ของเอช. จี. เวลส์ (H. G. Wells) มีอิทธิพลมาก โดยบรรยายภาพมนุษย์ต่างดาวในอนาคตว่า มีหน้าตาเหมือนอย่างมนุษย์ แต่ไม่มีปาก จมูก เส้นขนหรือผม และมีศีรษะขนาดใหญ่ ในช่วงนั้นมีหลายงานเขียนที่ให้ภาพมนุษย์ต่างดาวหรือมนุษย์ในอนาคตที่คล้ายกัน ซึ่งส่วนหนึ่งมักให้ภาพว่ามีหัวที่โตกว่าปกติ ด้านหนึ่งก็ค่อนข้างเชื่อมโยงต่อการบรรยายว่ามนุษย์ต่างดาวมีสติปัญญาที่เหนือกว่ามนุษย์
คำตอบชัดเจนหนึ่งของคำถามว่า มนุษย์ต่างดาวจับเราไปทำไม? จริงๆ ในจินตนาการของเราเอง รวมถึงในเรื่องเล่ามนุษย์ต่างดาวลักพาตัว เราเชื่อว่าพวกมันจะจับเราไปทดลอง โดยหนึ่งในภาพสำคัญคือปกนิตยสารแนวไซไฟ Astounding Stories ในปี 1935 แสดงภาพมนุษย์ต่างดาวจับตัวมนุษย์ที่มีร่างกายเพียงครึ่งท่อน และด้านในห้องมีภาพมนุษย์ต่างดาวอีกตนกำลังตรวจสอบมนุษย์อีกคนบนเตียงทดลอง
จินตนาการเรื่องเอเลี่ยน จึงเป็นการท้าทายต่อความเป็นมนุษย์ของเรา จากมนุษย์ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่เป็นผู้ล่าและทรงภูมิที่สุดของโลก จากที่เราเคยจับสิ่งมีชีวิตต่างๆ มาศึกษาทดลอง ทั้งหมดนั้นก็กลายเป็นมนุษย์เราเอง เมื่อเราเจอกับมนุษย์ต่างดาวหรือสิ่งมีชีวิตที่อาจทรงภูมิกว่าเราเข้ามารุกราน
Zeta Reticulans กับรายงานแรกของการถูกลักพาตัว
ไม่ว่าจะจากนวนิยาย จากภาพ หรือจากจินตนาการที่มนุษย์เราเริ่มวาดภาพอารยธรรมอื่นๆ ปรากฏการณ์มนุษย์ต่างดาวลักพาตัวกลายเป็นปรากฏการณ์ที่สำคัญ โดยเริ่มมีรูปแบบของเรื่องเล่าว่า มนุษย์ต่างดาวมีขั้นตอนการลักพาตัวยังไง จากหมุดหมายสำคัญในปี 1961 บาร์นี่และเบ็ตตี้ฮิลล์ (Barney and Betty Hill) คู่สามีภรรยาที่รายงานว่า ตนถูกลักพาตัวจากพื้นที่ชนบทในรัฐนิวแฮมเชียร์ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ถูกนับอย่างเป็นทางการว่ามนุษย์ต่างดาวมีการลักพาตัวครั้งแรก
กรณีข้างต้นนับเป็นเหตุการณ์สำคัญและค่อนข้างซับซ้อน เพราะ Zeta Reticulans คือชื่อของมนุษย์ต่างดาวที่รวมถึงหน้าตา และตัวสีเทาๆ ก็มาจากบันทึกและการสืบสวนของเหตุการณ์นี้ อันที่จริงประเด็นการพบเห็นวัตถุประหลาดเองก็ค่อนข้างมีรายงานมาบ้าง และกองทัพอากาศสหรัฐฯ เองก็มีโปรเจ็กต์ที่คอยจับตาอยู่ เพราะในส่วนของรายงานการถูกลักพาตัวนี้ ทางกองทัพอากาศ ‘Project Blue Book’ ก็เข้ามามีส่วนร่วมบันทึกและสืบสวนด้วย
เรื่องของการลักพาตัวคู่สามีภรรยาฮิลล์เริ่มต้นที่การขับรถทางไกลกลับจากการเดตที่น้ำตกไนแองการ่า เรื่องเล่าของทั้งคู่ที่ยืนยันว่าเป็นเรื่องจริงนั้นหวือหวาพอสมควร เพราะเกิดขึ้นขณะที่กำลังขับรถกลับที่พอร์ตสมัต (Portsmouth) และคาดว่าจะถึงที่หมายราว 02.00-03.00 น. ระหว่างทางทางเบตตี้ผู้เป็นภรรยา เริ่มสังเกตเห็นแสงประหลาดบนท้องฟ้า ยิ่งขับรถนาน แสงนั้นก็ยิ่งจ้ายิ่งขึ้น ไม่ว่ารถจะวิ่งไปทางไหน แสงนั้นก็ดูจะติดตามไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็อยู่ข้างหน้า เดี๋ยวก็ตามมาจากข้างหลัง จนถึงจุดหนึ่งวงแสงนั้นก็ลอยอยู่ในระยะ 100 เมตร ทำให้บาร์นีย์หยุดรถและเตรียมรับมือ โดยทั้งคู่รายงานว่าสิ่งที่เผชิญหน้าและเข้ามาหา คือยานที่ใหญ่เท่า ‘เครื่องบินเจ็ต แต่มีรูปร่างกลมและแบนเหมือนแพนเค้ก’
ในความทรงจำอันเลือนราง จุดนี้เองที่มีรายละเอียดค่อนข้างเยอะ เช่น การที่ทั้งคู่จอดรถแล้วแวะพาหมาลงไปเดิน ก่อนจะค่อยๆ นำกล้องส่องทางไกลมาส่องดูวัตถุประหลาดนั่น ทั้งความพยายามหยิบปืนขึ้นมาป้องกันตัว ไปจนการได้ยินเสียงที่ทั้งคู่สนทนากัน จนสุดท้ายเกิดเสียงดังขึ้นจากท้ายรถก่อนที่ทั้งคู่จะผลอยหลับไป และรู้สึกตัวอีกครั้งราว 35 ไมล์จากจุดเกิดเหตุพร้อมเวลาที่หายไป 2 ชั่วโมง
รูปแบบของการสะกดจิต
เรื่องราวการลักพาตัวของมนุษย์ต่างดาวอันซับซ้อน เพิ่งเริ่มต้นขึ้นทั้งตัวการถูกลักพาและความพยายามในการกู้ความทรงจำกลับขึ้นมา หลังจากเหตุการณ์ลักพาตัวบาร์นี่และเบ็ตตี้ฮิลล์ ทั้งคู่กลับบ้านและเริ่มรู้สึกแปลกๆ เบตตี้เองเป็นคนที่อ่านเรื่องเกี่ยวกับยานยูเอฟโอมาอยู่บ้าง จึงเริ่มฝันประหลาดเป็นเวลาหลายปี นับจากวันเกิดเหตุนั้น ทั้งคู่ได้ตัดสินใจเข้ารับการรักษากับจิตแพทย์ด้วยวิธีการสะกดจิต
ผลลัพธ์หลังจากการสะกดจิต ทำให้ทั้งคู่ค่อยๆ กู้คืนความทรงจำว่าถูกมนุษย์ต่างดาวสีเทาลักพาตัวขึ้นไปบนยาน โดยมีการวาดภาพมนุษย์ต่างดาว แล้ววางพิกัดชี้ไปที่กลุ่มดาว Zeta Reticulans ซึ่งเชื่อว่าเป็นดาวที่เป็นบ้านของพวกมัน บนยานเกิดเหตุการณ์สยองขวัญด้วยทั้งคู่ถูกจับแยกออกจากกัน และให้นอนลงบนโต๊ะตัวสั้นกว่าขาของมนุษย์เพื่อเก็บตัวอย่าง เช่น เส้นขน ตัดเล็บ ขูดผิวหนัง ไปจนถึงการเสียบเข็มเข้าตามแขน ขา และสยองที่สุดคือหน้าท้อง อันที่จริงทั้งคู่ได้คุยกับมนุษย์ต่างดาวด้วยว่า มนุษย์ต่างดาวมีการให้ข้อมูล วาดแผนผังกลุ่มดาวให้เบตตี้ ทำให้เขาทราบถึงบ้านพวกมัน ดังนั้น การสืบสวนทั้งหมดนี้จึงกินเวลานาน เพราะเป็นขั้นเป็นตอนและมีผู้เกี่ยวข้องหลายฝ่าย
ความน่าสนใจของผลลัพธ์จากการสะกดจิต คือทั้งคู่เล่าเรื่องค่อนข้างสอดคล้องกัน แต่ก็มีข้อโต้แย้ง เช่น ก่อนทำการสะกดจิต เคยมีซีรีส์ The Bellero Shield ฉายมาก่อน โดยมีตัวละครเป็นเอเลี่ยนตัวสีเทาเหมือนกัน บ้างก็วิเคราะห์ว่าบาร์นีย์เป็นทหารผ่านศึก ช่วงนั้นสหรัฐฯ เองก็อยู่ในภาวะตึงเครียดจากสงครามกลางเมือง ภาพจำอย่างมนุษย์สีเทาตัวไม่ใหญ่มากก็อาจสัมพันธ์กับฮิตเลอร์ และทางเบตตี้เองก็ชอบอ่านเรื่องจานบิน ซึ่งเป็นกระแสในยุคสงครามเย็นด้วย
อย่างไรก็ตามในปี 1965 หนังสือพิมพ์บอสตันโกลบ ได้นำเสนอเรื่องราวการถูกมนุษย์ต่างดาวลักพาตัวของทั้งคู่กลางที่กลายเป็นดาราดัง มีรายการโทรทัศน์ มีหนังไซไฟ และทำให้เรื่องเล่าการถูกลักพาตัวของทั้งคู่กลายเป็นกระแส และเกิดรูปแบบเรื่องเล่าของมนุษย์ต่างดาวลักพาตัวที่มักจะมีขั้นตอน คือถูกมนุษย์ต่างดาวจับตัวไปตรวจสอบร่างกายด้วยเครื่องมือต่างๆ มีการพูดคุยกัน บางเรื่องมนุษย์ต่างดาวก็ใจดีขนาดบอกเรื่องราวหรือนำชมยานยูเอฟโอ ทั้งมีการลืมสิ่งที่เกิดขึ้น และเกิดภาวะประหลาดต่อคนที่เชื่อว่าเคยถูกลักพาตัวไป
มีรายงานจากผู้คนว่าเป็นเหยื่อของการถูกมนุษย์ต่างดาวลักพาตัวมากพอสมควร เช่น ในปี 2009 มีการพบปะกันอย่างลับๆ ของกลุ่มคนที่เชื่อว่าตัวเองถูกมนุษย์ต่างดาวลักพาตัวไปที่นิวอิงแลนด์ มีสมาชิกเข้าร่วมถึง 1,500 คน ซึ่งนอกจากประเด็นว่าการลักพาตัวไปนั้นจริงไม่จริงแล้ว ปรากฏการณ์ดังกล่าวยังทำให้นักวิชาการและแพทย์ได้ทำความเข้าใจความซับซ้อนของสมองมนุษย์ ทั้งการให้ภาพความทรงจำที่หายไป การผสมผสานเรื่องเล่าต่างๆ จากประสบการณ์หรือสื่อต่างๆ ที่เข้ามามีผลต่อความคิดและความทรงจำ เช่น ในปี 1999 เสนอว่ารายงานดังกล่าวอาจสัมพันธ์กับอาการ Sleep Paralysis หรืออาการผีอำของบ้านเรา
นอกจากนี้ยังมีข้อสังเกตอีกว่า รายงานมนุษย์ต่างดาวลักพาตัวมักแพร่ขยายในบางพื้นที่ คือในสหรัฐฯ และอเมริกาเหนือ ในพื้นที่อื่นๆ ก็มักเล่าเชื่อมต่อกับเรื่องราวอื่นๆ เช่น การถูกมนุษย์ต่างดาวลักพาตัวไปยังดินแดนมหัศจรรย์ ไปยังดินแดนแม่มดหรือปีศาจ บางข้อเสนอจึงเชื่อมโยงว่า ภาพของความรู้สึกว่าตัวเองหลุดลอยออกจากร่าง และผสมผสานกันในภาวะกึ่งจริงกึ่งฝัน ก็อาจจะเป็นผลอย่างหนึ่งของภาวะ Sleep Paralysis เพราะในเรื่องเล่าข้างต้นก็พูดถึงความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง ความตึงเครียดทั้งของชีวิตส่วนตัวและบรรยากาศของสังคมในยุคนั้น รวมถึงเรื่องเล่าไซไฟที่กำลังเป็นอีกหนึ่งปรัมปราและเรื่องลึกลับร่วมสมัย
สุดท้ายจากละครติ๊กต็อกน่ารักๆ ทำให้เราเห็นว่าบางครั้งเรื่องเล่าบางชุดก็ยังคงล่องลอยอยู่ในอากาศ จินตนาการของเราที่มีต่อสิ่งมีชีวิตอื่น หรือเรื่องราวการถูกมนุษย์ต่างดาวลักพาตัวไปก็ทำให้เห็นว่าพวกเราสามารถสื่อสารกันได้ด้วย
อ้างอิงจาก