แอบหลับในห้องเรียน จับกลุ่มเม้ามอยคุณครู แอบรักเพื่อนร่วมห้อง นี่คงเป็นประสบการณ์ในห้องเรียนที่หลายๆ คนเคยผ่านมา สมัยครั้งยังเป็นนักเรียนมัธยม
แต่ใน ‘All of Us Are Dead’ หรือมัธยมซอมบี้ ซีรีส์เกาหลีออริจินัล 12 ตอนของ Netflix ที่ดัดแปลงมาจากเว็บตูน นอกจากประสบการณ์พวกนี้แล้วนั้น เด็กนักเรียนกลุ่มหนึ่งในโรงเรียนมัธยมฮโยซาน ต่างต้องประสบชะตากรรมหนีตายจากเพื่อนร่วมโรงเรียนที่กลายเป็นซอมบี้ โดยที่ไม่รู้ว่าความช่วยเหลือจะมาถึงพวกเขาเมื่อไหร่ จนเกิดเป็นคำถามมากมาย ถึงความหวังของประเทศ และความหมายของชีวิต
หลายคนคงจะเคยดูเรื่องราวเกี่ยวกับซอมบี้มามากมาย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า เกาหลีใต้เป็นหนึ่งประเทศที่มีสื่อบันเทิง ซึ่งโด่งดังจากกระแส K-Zombie และเรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่ส่งออกความแมสของซอมบี้เกาหลีอีกครั้ง หลัง 1 สัปดาห์เมื่อออกฉาย ซีรีส์เรื่องนี้ติดอันดับ 1 ของ Netflix ถึง 91 ประเทศ และ 3 วันแรกหลังลงฉาย ก็มีผู้รับชมไปมากถึง 124,790,000 ชั่วโมง
ถึงแม้ว่าเสียงของผู้ชมจะแตกต่างกันไป ทั้งชื่นชอบ ผิดหวัง หรือไม่ประทับใจ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ซีรีส์ซอมบี้ที่มีฉากหลังของโรงเรียน และเหล่านักเรียนมัธยมในเรื่องนี้ ทำให้เราได้คิดตามในหลายๆ เรื่อง ทั้งเรื่องของความหวัง มุมมองของเด็ก และผู้ใหญ่ การให้ความสำคัญกับอนาคตของชาติ และมิตรภาพ อย่างที่ผู้กำกับอีแจคยู (Lee Jae-kyu) ได้ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า “ถ้าคุณได้เห็นว่ากลุ่มวัยรุ่นใน All of Us Are Dead เลือกที่จะตัดสินใจเช่นไรเพื่อเอาชีวิตรอดและปกป้องเพื่อนๆอย่างไร คุณน่าจะให้แง่คิดอะไรหลายๆอย่างกับผู้ใหญ่ได้”
ไวรัสโยนาส จุดเริ่มต้นการระบาดของซอมบี้
‘อ่อนแอก็แพ้ไป คนแข็งแกร่งเท่านั้นที่อยู่รอด’ ข้อความทำนองนี้ปรากฎอยู่มากมายในโลกแห่งการแข่งขัน ที่แสดงถึงชนชั้น สังคมของการแบ่งแยกคนอ่อนแอ ที่ไม่ว่าเรื่องอะไรก็จะถูกคนที่แข็งแกร่งกว่าเอาชนะไปได้
เช่นเดียวกับจุดเริ่มต้นของการระบาดของซอมบี้ในเมืองฮโยซาน ซึ่งอาจจะแตกต่างจากไวรัสอื่นๆ ที่เกิดขึ้น หรือกลายพันธุ์ตามธรรมชาติ เพราะไวรัสชนิดนี้ถูกมนุษย์ผลิตด้วยความคับแค้นใจ โดยลี บยองชาน คุณครูวิทยาศาสตร์ของโรงเรียนมัธยมฮโยซาน ที่ไม่อาจทนเห็นลูกชายอ่อนแอ จากการถูกกลั่นแกล้งมาเป็นเวลานาน จนเกิดความคิดนำความรู้ ความถนัดทางวิทยาศาสตร์ของตัวเองมาสร้างไวรัส ฉีดเข้าไปในร่างกายลูกชาย เพื่อหวังว่าลูกชายที่เคยเป็นเหยื่อ จะกลายเป็นคนแข็งแกร่ง และเอาตัวรอดบนโลกใบนี้ได้
ลี บยองชาน ไม่ได้ตัดสินใจสร้างไวรัสขึ้นมา เพราะเห็นลูกถูกรังแกอย่างเดียว แต่จะเห็นได้ว่า เขาเคยพยายามแก้ไขปัญหาในฐานะพ่อคนหนึ่ง ผ่านขั้นตอนต่างๆ ของโรงเรียน ไม่ว่าจะเป็นการแจ้งเรื่องกับอาจารย์ การแจ้งตำรวจ ซึ่งก็ทำให้มีกระบวนการไตร่สวน และคณะกรรมการหาข้อเท็จจริงเกิดขึ้น แต่สุดท้าย พวกหัวโจกในโรงเรียนก็ยังคงใช้อำนาจข่มขู่ลับหลัง รวมถึงเหล่าอาจารย์ โดยเฉพาะอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียน ที่ไม่พยายามทำให้ขั้นตอนต่างๆ โปร่งใส แต่อยากปิดเรื่องราว ที่เขามองว่าเป็นความวุ่นวายนี้ให้เร็วที่สุด โดยอ้างถึงผลกระทบต่อการประเมินโรงเรียน และมองว่าเป็นเรื่องเล็กๆ เรื่องของเด็กๆ ที่แค่ขอโทษกันก็จบไป
เราจึงเห็นได้ว่า ลูกชายของครูวิทยาศาสตร์นี้ ไม่ได้เป็นเหยื่อเพียงคนเดียวในโรงเรียน แต่ยังมีนักเรียนอีกหลายคนที่ถูกปิดปาก กลั่นแกล้ง และไม่สามารถเลือกที่จะหนีจากระบบ หรือวงจรความรุนแรงนี้ไปได้ด้วยตัวของพวกเขาเอง แม้พวกเขาจะบอกครู แต่ก็กลับโดนครูถามกลับว่า‘มาบอกครูทำไม ?’ ‘ไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่’ รวมถึงยังโทษว่าเป็นเพราะความโง่ของนักเรียนด้วย และไม่ใช่กับแค่เรื่องการบูลลี่เท่านั้น แต่ปัญหาอื่นๆ อย่างการตั้งครรภ์ของนักเรียน ก็ไม่เป็นที่สังเกตเห็นโดยคุณครูจนนักเรียนตั้งท้องใกล้คลอดด้วย

All of us are Dead Kim Byong-chul as Lee Byeong-chan in All of us are Dead Cr. Yang Hae-sung/Netflix © 2021
จนระบบทั้งหมด ทำให้ลีบยองชาน ถึงกับบอกว่า เขายอมฉีดไวรัสให้ลูก โดยเขากล่าวว่า “แทนที่จะต้องตายในคราบมนุษย์ ให้เขาอยู่รอดแบบสัตว์ประหลาดยังดีกว่า”
หากย้อนกลับมาดูต้นฉบับในเวอร์ชั่นเว็บตูนที่ชื่อว่า ‘Now at Our School’ เราจะเห็นความแตกต่างที่ชัดเจนในประเด็นเหล่านี้ที่ผู้กำกับเวอร์ชั่นซีรีส์เลือกเสริมเข้ามา โดยในฉบับเว็บตูนนั้น จุดเริ่มต้นของไวรัส ไม่ได้มาจากการสร้างของมนุษย์ หรือจากต้นเหตุอย่างการกลั่นแกล้งในโรงเรียน แต่มีจุดเริ่มต้นเมื่อครูวิทย์ไปตกปลากับลูกชาย และลูกชายติดไวรัสปริศนากลับมา ก่อนที่เขาจะนำไวรัสมาทดลอง เพื่อหาทางรักษาในแฮมสเตอร์ ซึ่งทั้งสองเวอร์ชั่นเหมือนกันตรงที่แฮมสเตอร์นั้นไปกัดนักเรียนเข้า จนเกิดการแพร่เชื้อต่อในโรงเรียน
ปัญหาการกลั่นแกล้งในโรงเรียน เป็นปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นในสังคมเกาหลีใต้ เรามักจะเห็นข่าวคนดัง ดารา นักร้อง K-Pop หรือนักกีฬา ถูกเปิดโปงพฤติกรรมการกลั่นแกล้งในอดีต ไปถึงการฆ่าตัวตายของเยาวชน ซึ่งหลายเคสมีต้นเหตุจากความรุนแรงในโรงเรียน การเปลี่ยนจุดเริ่มต้นของไวรัสเวอร์ชั่นซีรีส์ คงเป็นความตั้งใจของผู้กำกับ ซึ่งเมื่อได้บอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในโรงเรียนแล้ว เขาจึงเลือกแฝงประเด็นนี้เข้ามา เพื่อเปรียบเทียบให้เห็นการต่อสู้ของไวรัสที่แข็งแกร่งกว่า และเอาชนะร่างกายมนุษย์ ไปถึงการปกปิดเคสการกลั่นแกล้งมากมายที่เกิดในรั้วโรงเรียน จนกลายเป็นปัญหาใหญ่ในสังคมตามมา เหมือนภาพไวรัสระบาดด้วย
ผู้ใหญ่คือความรู้ เด็กคือความหวัง แล้วเด็กๆ คาดหวังในตัวผู้ใหญ่ได้มากแค่ไหน ?
ในพื้นที่โรงเรียน ซึ่งเป็นที่สร้างอนาคต กลุ่มนักเรียนกลับเจอเหตุการณ์ที่มองไม่เห็นอนาคต และท่ามกลางซอมบี้มากมายที่คอยจะกัดกินเนื้อตัว พวกเขายังต้องต่อสู้กับสภาวะทางจิตใจ และความสิ้นหวังที่กัดกินจิตใจ จนเกิดการตั้งคำถามกับผู้ใหญ่ ผู้มีอำนาจ และรัฐบาล
‘ความหวัง’ เป็นหนึ่งในคีย์เวิร์ดที่เหล่านักเรียนได้พูดคุยกันในการหาทางรอด จากวันแรกๆ ที่พวกเขาเชื่อมั่นว่าจะมีตำรวจ ทหาร ผู้ใหญ่ หรือผู้มีอำนาจมีช่วยเหลือพวกเขา
“บางประเทศจะรู้สึกเศร้ายิ่งกว่า เวลาที่ผู้ใหญ่ตาย บางประเทศจะเศร้าที่เด็กตายยิ่งกว่า คิดว่าเกาหลีเป็นประเทศแบบไหนหรอ ?” – ชเวนัมราตั้งคำถามกับเพื่อนๆ ขณะที่โอ จุนยองก็ได้ตอบกลับในการพูดคุยว่า “การที่เด็กตายแปลว่าความหวังหายไป ส่วนการที่ผู้ใหญ่ตายแปลว่าความรู้หายไป ความหวัง และความรู้ เราให้คุณค่าอะไรมากกว่ากัน”
เราได้เห็นความหวังที่พวกเขาเคยมีในตัวผู้ใหญ่ ลดน้อยถอยลงไปตามกาลเวลาที่พวกเขาถูกทอดทิ้ง และจากเหตุการณ์ต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการไม่นึกถึงการช่วยเหลือเด็กในโรงเรียน แต่กลับมีปฏิบัติการณ์ช่วยเหลือในห้างสรรพสินค้า หรือการลงจอดของเฮลิคอปเตอร์เมื่อมีคำสั่งปฏิบัติการณ์ แต่ปฏิเสธให้การช่วยเหลือพวกเขา ละทิ้งพวกเขาไว้ท่ามกลางฝูงซอมบี้ ซึ่งหากได้รับความช่วยเหลือ เพื่อนๆ ของพวกเขาคงจะอยู่รอด ทั้งยังไม่ใช่เพียงโรงเรียนมัธยมฮโยซานของตัวหลักนี้ แต่โรงเรียนอื่นๆ ในเมืองก็ถูกเพิกเฉย แม้กระทั่งเนิร์สเซอร์รี่เอง จนแทบไม่มีเด็กๆ ที่สามารถเอาตัวรอดได้
สุดท้ายพวกเขาได้เห็นว่า คนที่มาช่วยเหลือ มีเพียงแค่พ่อแม่ของพวกเขาที่มีมือเปล่า และยอมเข้าแลกด้วยชีวิต ซึ่งยิ่งทำให้พวกเขาหมดศรัทธาในตัวเจ้าหน้าที่ ผู้มีอำนาจทั้งหลาย จนขอให้เกิดการลงโทษผู้เกี่ยวข้อง เห็นได้จากตัวละคร นัม อนโจ ที่ในตอนสุดท้ายเมื่อรอดชีวิตแล้ว เธอปฏิเสธการให้ข้อมูล และปากคำกับเจ้าหน้าที่ แต่กลับตั้งคำถามกับพวกเขาว่า “ทำไมถึงทิ้งพวกเราไป ?” และ “ไม่ขอให้ผู้ใหญ่ช่วยอะไรอีกแล้ว”

All of us are Dead Park Ji-hu as Nam On-jo in All of us are Dead Cr. Yang Hae-sung/Netflix © 2021
แม้ว่าจะไม่ได้มีการเอ่ยถึง แต่เหตุการณ์และความสิ้นหวังของอนาคตของชาติในเรื่องนี้ ก็ทำให้เรานึกถึงเหตุการณ์เรือเซวอลอัปปางในทะเลเกาหลีใต้เมื่อปี 2014 ซึ่งเป็นโศกนาฎกรรมใหญ่ ที่สร้างความสะเทือนใจของประเทศ เพราะมีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์มากถึง 304 ราย โดยส่วนใหญ่เป็นนักเรียนชั้นมัธยมที่ถูกมองว่าเป็นอนาคต และความหวังของประเทศ
เหตุการณ์นี้นำไปสู่การตั้งคำถามถึงการช่วยเหลือเด็กๆ ที่ล่าช้าของรัฐบาล การติดต่อผู้นำโดยตรง ณ เวลานั้นไม่ได้ ที่แสดงให้เห็นถึงความเพิกเฉยของพัค กึนฮเย ปธน.เกาหลีใต้ในขณะนั้น จนนำมาสู่การประท้วง เปิดโปงการทุจริตของพัค และขับไล่เธอออกจากตำแหน่งในที่สุด ซึ่งแม้สุดท้ายพัค จะถูกดำเนินคดี และต้องออกจากตำแหน่ง แต่เหตุการณ์นี้ก็คงสร้างความผิดหวังให้กับคนรุ่นใหม่ และความหวังของชาติ ต่อผู้ใหญ่ และผู้มีอำนาจไม่มากก็น้อย เฉกเช่นภาพสะท้อนที่เกิดขึ้นใน All of Us Are Dead
และไม่เพียงแค่ความหวังจากการช่วยเหลือ คีย์เวิร์ดความหวัง และการไม่มีความหวังยังถูกบอกเล่า ผ่านตัวละครนักธนูสาว จาง ฮารี และพัค มีจิน นักเรียนชั้น ม.6 วัยที่กำลังจำต้องเอนทรานซ์ เข้ามหาลัย ที่ทั้งคู่มักพูดถึงโลกที่ไม่มีซอมบี้ว่า สิ้นหวังพอๆ กัน ทั้งจากการแข่งขัน และระบบการศึกษา ความกดดันมากมาย ที่เด็กมัธยมปลายปีสุดท้ายต้องเจอ อย่างมีจินที่มักพูดว่า การอยู่ ม.6 เป็นนรกที่โหดร้ายกว่าการต้องเจอฝูงซอมบี้ หรือฮารีเอง ที่ต้องแข่งขันในวงการกีฬา และเมื่อตกรอบคัดเลือกการแข่งธนู ไม่สามารถเข้าทีมชาติ หรือมหา’ลัย เธอบอกว่า เธอเพิ่งอายุ 19 ปี แต่ไม่มีความหวังเลย
ปมปัญหามากมาย ที่หนีตายจนไม่ได้แก้
ถึงในตอนจบของซีรีส์ การระบาดของไวรัสดูจะคลี่คลายลงไปได้ มีการควบคุมการแพร่เชื้อไว้แค่ในเมืองฮโยซานและโดยรอบ มีทหารที่รับผิดชอบกับการสั่งการ และปฏิบัติการณ์ที่ฆ่าประชาชนของตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้นกว่าจะยืดเยื้อมาถึงตอนจบ ประเด็นต่างๆ ที่ผู้กำกับตั้งใจใส่เข้ามากลับมีส่วนที่ย้อนแย้ง และส่วนที่ไม่ได้ถูกนำมาถกเถียงตอนท้าย พร้อมกลืนหายไปกับเนื่องเรื่องด้วย
อย่างเช่นการพูดถึงการช่วยเหลือประชาชนในภัยพิบัติ หรือวิกฤต ที่แม้นัม โซจู พ่อของอนโจ จะพยายามบอกเสมอว่าการช่วยเหลือไม่มี VIP และไม่คำนึงถึงสถานะผู้ช่วยเหลือ แม้จะเป็น ส.ส.หรือผู้มีอำนาจ แต่สุดท้ายเราก็กลับเห็นสถานะพิเศษของ ส.ส.พัค อึนฮวี ในสถานที่กักตัว ไม่ว่าจะเป็นการไม่ต้องต่อคิวรับการตรวจโรค หรือการได้ห้องพิเศษกว่าประชาชนคนอื่น ที่แม้ในเรื่อง เธอพยายามเกลี้ยกล่อมให้มีการช่วยเหลือเด็กนักเรียน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า เธอเองก็ได้รับพรีวิลเลจจากอำนาจ ส.ส.ของเธอ จนทำให้เธอรอดโดยดิ้นรนน้อยกว่าเด็กนักเรียนที่เป็นความหวังของประเทศ
ไปถึงประเด็นการตั้งครรภ์ของนักเรียนที่ไม่ได้ชวนให้มีการคิดต่อ หรือการกลั่นแกล้งในโรงเรียน การเพิกเฉย ไม่ใส่ใจนักเรียนของครูอาจารย์ ที่ผู้กำกับแทรกมาในหลากหลายตอน สุดท้ายก็กลายเป็นเรื่องที่ถูกกลบหายไป จบด้วยการเริ่มต้นชีวิตใหม่หลังไวรัสแพร่ระบาด หรือหาคำตอบของกลุ่มเสี้ยวบี้แทน ไม่ได้กลายเป็นสิ่งที่สังคมตระหนักถึง แม้จะเป็นปัจจัยของจุดเริ่มต้นของความชิบหายทั้งหมดทั้งมวล
ถึงแม้จะมีช่องโหว่ในเนื้อเรื่อง ความยืดเยื้อของบท ความน่ารำคาญของตัวละคร และฉากที่จงใจตั้งใจยัดเข้ามาให้คนดูจนเกินไปบ้าง แต่กับซอมบี้ในโรงเรียน เนื้อเรื่องก็ได้ใช้พื้นที่ และกิมมิคการเป็นสถานศึกษากับความเป็นนักเรียนได้สุดคุ้ม ไม่ว่าจะเป็นฉากในห้องเรียน ห้องกระจายเสียง ห้องดนตรี หรือสนามกีฬาหอประชุมให้เราได้เห็นอุปกรณ์ และมุมใหม่ๆ ในการเอาตัวรอดจากซอมบี้ของนักเรียน