หลายๆ คน คงคุ้นชินกับหนังซอมบี้ฉบับเกาหลีใต้ ไม่ว่าจะเป็นซอมบี้บนรถไฟด่วนกับ Train To Busan หรือจะเป็นซอมบี้ในยุคโชซอนโบราณในเรื่อง Kingdom และล่าสุด เกาหลีใต้ก็กลับมาพร้อมกระแสซอมบี้เวฟอีกครั้ง กับซีรีส์ All of Us Are Dead หรือมัธยมซอมบี้ ซึ่งครั้งนี้ เป็นซอมบี้ที่แพร่ระบาดในโรงเรียนมัธยม
ซีรีส์ All of Us Are Dead มีคิวจะเข้าฉายทาง Netflix ในวันที่ 28 มกราคมนี้ พร้อมนักแสดงเยาวรุ่น ที่เรียกได้ว่าเป็นคลื่นลูกใหม่แห่งวงการบันเทิงเกาหลีใต้ ที่จะเป็นตัวหลัก หรือแนวหน้าถ่ายทอดเรื่องราวการต่อสู้ เอาตัวรอด และมิตรภาพ ในโรงเรียนมัธยมฮโยซาน ซึ่งก่อนจะฉายซีรีส์เรื่องนี้ก็มียอดเข้าชมตัวอย่างในยูทูบทะลุ 10 ล้านวิวแล้ว
แต่ก่อนจะเริ่มกดดูตอนแรก เพื่อเตรียมตัวพร้อมรับมือกับซอมบี้หลายพันที่จะดาหน้าเข้ามาเกาะหน้าจอ The MATTER ชวนมาอ่านบทสัมภาษณ์ของนักแสดงนำ และผู้กำกับของซีรีส์เรื่องนี้ เพื่อทำความรู้จักตัวละคร แบ็กกราวด์ของเรื่อง ปัญหาสังคม และสิ่งที่ผู้กำกับอยากจะสื่อสอดแทรกไปในสื่อบันเทิงเรื่องนี้ว่า มีอะไรบ้าง
หนังซอมบี้ ที่มีนักเรียนเป็นตัวหลัก
ที่ผ่านมา เราได้ดูหนัง และซีรีส์ซอมบี้ และการเอาตัวรอดกันมามากมาย รวมไปถึงหนัง ซีรีส์ที่มีตัวละครแบ็กกราวด์ในโรงเรียน อย่างเรื่องการศึกษา หรือชีวิตวัยรุ่น แต่สำหรับ All of Us Are Dead นั้นจะเป็นซีรีส์ที่ผสมผสานทั้งสองเรื่องราวมารวมกัน โดยอีแจคยู (Lee Jae-kyu) ผู้กำกับของซีรีส์เรื่องนี้เองก็บอกถึงความแตกต่างของเรื่องนี้ในงานแถลงข่าวเปิดตัวว่า “หนังซอมบี้มีมากมาย แต่น้อยนักที่จะมีนักเรียนเป็นตัวหลัก”
ผู้กำกับอีเล่าว่า ก่อนหน้านี้ ภาพยนตร์ที่ผู้ใหญ่จัดการ รับมือกับไวรัส หรือโรคระบาด แต่เขาขอบอกเลยว่าสำหรับเรื่องนี้นั้นจะพิเศษกว่าเรื่องอื่นๆ เพราะมันเกิดขึ้นในโรงเรียนที่มีพื้นที่จำกัด เราจะได้เห็นการตัดสินใจ ช้อยส์ที่วัยรุ่นเป็นคนเลือก นักเรียนมัธยมที่ยังไม่มีความเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ทั้งซีรีส์เรื่องนี้ยังจะสะท้อนให้เห็นถึงความหวัง การเป็นมนุษย์ และดราม่าที่ทำให้เราได้ดู และคิดตามด้วย
รายละเอียดและการเปลี่ยนแปลงกลายร่างเป็นซอมบี้ ก็ยังเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ผู้กำกับเล่าว่าเขาใส่ใจเป็นพิเศษ รวมถึงคิดว่าจะทำให้มัธยมซอมบี้นี้ แตกต่างจากเรื่องอื่นๆ
All of Us Are Dead เป็นซีรีส์ที่ดัดแปลงมาจากเว็บตูนที่โด่งดังของเกาหลีใต้ ซึ่งแม้ว่าจะมีคนเคยอ่าน เคยเห็นผ่านตากันมาแล้ว ซึ่งผู้กำกับเองก็บอกในช่วงให้สัมภาษณ์ว่า เขาพยายามแคสติ้งนักแสดงให้บุคลิกให้คล้ายคลึงของฉบับเว็บตูนด้วย
“ต้องเป็นนักแสดงที่สามารถแสดงและสื่ออารมณ์ได้เป็นอย่างดี ความสมจริงของการแสดงและเหตุการณ์เป็นอีกสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน การจัดเตรียมฉากถ่ายทำเป็นเรื่องที่สำคัญมากเช่นกัน แต่ความเหมือนจริงเป็นสิ่งที่พวกเราทุ่มเทอย่างมาก ทั้งกับการฝึกซ้อมเพื่อให้นักแสดงได้เข้าถึงตัวละครและสื่ออารมณ์และท่าทางต่างๆ ออกมา และถ่ายทอดให้ผู้ชมได้เห็นภาพที่สมจริง”
นอกจากบทบาทที่สมจริง และการเอาตัวรอดแล้ว All of Us Are Dead ไม่ใช่แค่ซีรีส์ซอมบี้ธรรมดาทั่วไป แต่มีการพูดถึงปัญหามากมายที่เกิดขึ้นในโรงเรียน เช่น การกลั่นแกล้ง และการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น ซึ่งผู้กำกับได้สะท้อนให้เราฟังว่า ปัญหาต่างในเรื่องไม่ใช่ปัญหาที่เกิดขึ้นเฉพาะในโรงเรียนเท่านั้น เพราะฉากหลังของเราเป็นโรงเรียนหลายคนเลยคิดว่าเป็นเรื่องที่ในโรงเรียนเท่านั้น
“ไม่ว่าคุณจะที่อยู่ที่แห่งหนใดบนโลก คุณก็สามารถประสบปัญหาเรื่องแตกต่างระหว่างชนชั้น วัย หรือ ศาสนาได้ทั่วไป All of Us Are Dead แค่รวมปัญหาเหล่านั้นมารวมไว้ในฉากหลังที่เป็นโรงเรียน ตอนเริ่มดูแรกๆ อาจจะคิดว่ามันเป็นเรื่องราวในโรงเรียน แต่ถ้าติดตามชมไปเรื่อยๆ ก็จะสัมผัสได้ว่ามันเป็นประเด็นปัญหาที่กว้างมาก และเป็นเรื่องที่สามารถเกิดได้กับพวกเราทุกคน ซึ่งผมคิดว่าผู้ชมทั่วโลกน่าจะเพลิดเพลินและสัมผัสได้ถึงความแปลกใหม่
ไม่ว่าจะเป็นตอนนี้หรือตอนผมเป็นเด็กๆ เวลามีเพื่อนตกน้ำ เราก็จะพากันกระโจนลงไปเพื่อช่วยเพื่อน เหตุการณ์เช่นนี้ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปไม่ว่าจะเป็นสิบปีก่อนหรือในตอนนี้ แต่พอเราเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เราต้องเลือกหนทางที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับครอบครัวและเพื่อนของเรา เพราะฉะนั้นถ้าเห็นใครตกน้ำก็คงไม่มีใครยอมกระโดดลงน้ำเพื่อไปช่วย
แต่เด็กๆ ไม่ใช่อย่างนั้น การกระทำมักมาก่อนความคิด มีเด็กวัยรุ่นจำนวนมากที่ยืนยันจะช่วยเหลือเพื่อนก่อนไม่ว่าในสถานการณ์ใดก็ตาม พอได้เห็นเช่นนั้นแล้วมันทำให้เราตั้งคำถามว่าวิถีของผู้ใหญ่คืออะไร และสิ่งที่เราถูกปลูกฝังนั้นส่งผลกับการใช้ชีวิตในสังคมอย่างไรบ้าง ถ้าคุณได้เห็นว่ากลุ่มวัยรุ่นใน All of Us Are Dead เลือกที่จะตัดสินใจเช่นไรเพื่อเอาชีวิตรอดและปกป้องเพื่อนๆอย่างไร คุณน่าจะให้แง่คิดอะไรหลายๆอย่างกับผู้ใหญ่ครับ” นี่คือสิ่งที่ผู้กำกับบอกกับเรา
การรับบทนักเรียนในโรงเรียนซอมบี้ การหนี และการต่อสู้เพื่อเอาตัวรอดของเหล่านักแสดง
อย่างที่ผู้กำกับเล่าว่า เขาได้รวมงานกับนักแสดงดาวรุ่งแห่งวงการ ซึ่งถึงแม้จะเป็นบทนักเรียน แต่เมื่อเป็นซีรีส์ซอมบี้แล้ว จึงมีฉากบู๊ การต่อสู้เยอะมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะตัวหลัก ซึ่งพวกเขาต่างก็ต้องเข้าคลาสฝึกสอนศิลปะการต่อสู้ก่อนถ่ายทำถึง 3 เดือน และบางฉากเองยังกินเวลาถ่ายทำนานหลายวันเพื่อฉากต่อสู้ไม่กี่ฉากด้วย
ยุนชานยอง (Yoon Chan-young) ผู้รับบทเป็นอีชองซาน เล่าว่า ปกติเขาเป็นแฟนคลับหนังซอมบี้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์เรื่อง Word War Z หรือ Train to Busan พอได้ร่วมแสดงในผลงานเกี่ยวกับซอมบี้จึงรู้สึกดีใจมาก “สำหรับการถ่ายทำฉากแอคชั่นในห้องสมุด ผมฝึกซ้อมท่าทางและแนวการแสดงก่อนถ่ายทำจริงทั้งวันร่วมกับสต๊าฟและนักแสดงคนอื่นๆ และใช้เวลาถ่ายทำนานนานถึง 4 วันสำหรับฉากนั้นฉากเดียว ฉากนั้นเป็นฉากที่ชองซาน (ตัวละครของเขา) และกวีนัม (ตัวร้าย) ต้องปะทะกัน ต่างคนต่างข่มขู่และหลบเลี่ยงกันและกัน”
ขณะที่พัคซาโรมน (Park Solomon) ผู้รับบทเป็นอีซูฮยอก ให้สัมภาษณ์เช่นกันว่า ตัวละครของเขา และชานยองมีฉากแอ็กชั่นมากกว่าคนอื่นๆ “พวกเราต้องเข้าคลาสเพื่อฝึกซ้อมก่อนเริ่มถ่ายทำจริงถึง 3 เดือน และหมั่นฝึกซ้อมกันส่วนตัวด้วย ในการแสดงผมพยายามจินตนาการอยู่เสมอว่า ถ้าผมเป็นเด็กมัธยมหรือเป็นซูฮยอกผมจะตัดสินใจยังไง แล้วโรมนในชีวิตจริงจะเลือกทางไหน ?
โชคดีที่ผมและตัวละครของผมเหมือนกันในหลายๆ เรื่อง ทำให้ผมโฟกัสกับตัวละครได้ดีขึ้นครับ ส่วนฉากที่ผมชื่นชอบมากที่สุด คือฉากแอ็กชั่นในตัวอย่างอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นฉากจากตอนที่ 2 และเป็นฉากแอคชั่นครั้งแรกของผม หลังจากที่เพียรฝึกซ้อมอย่างหนักมาสามเดือน นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เล่นผลงานแนวซอมบี้ แม้แต่เมคอัพก็ยังสมจริง ช่วยทำให้ผมแสดงได้อย่างมีชีวิตชีวา”
ไม่เพียงแค่ฉากต่อสู้ แต่เรื่องอารมณ์ และการเข้าถึงตัวละครก็เป็นสิ่งที่นักแสดงในเรื่องพยายามเข้าให้ถึง อย่างอียูมี (Lee Yoo-mi) ผู้รับบทอีนายอนที่เพิ่งโด่งดังจากซีรีส์ Squid Game ของ Netflix ก็เล่าว่าสำหรับเรื่องนี้ เธอมีฉายาในกองถ่ายว่า ‘คิวท์แองกรี้เบิร์ด’ เพราะบทบาทของเธอคือนักเรียนที่สร้างความน่ารำคาญ และปัญหาให้กับเพื่อนๆ จนเธอต้องคอยถามเพื่อนๆ ในกองว่า เธอน่ารำคาญพอหรือไม่ “กล้องจะเริ่มถ่ายฉันจะถามซ้ำๆ ว่า ‘น่าหงุดหงิดพอไหม’ ฉันพยายามที่จะกระตุ้นอารมณ์ของตัวละครออกมาให้ดูน่ารำคาญจริงๆ ค่ะ ฉันตั้งใจที่จะทำให้ตัวละครตัวนี้น่ารำคาญที่สุดเท่าที่จะทำได้” เธอเล่า
นอกจากเรื่องการแสดง การสวมบทบาทนักเรียนแล้ว เรายังได้พูดคุยกับพวกเขา จำลองถึงการเจอซอมบี้จริงๆ กันด้วย อย่างในตัวอย่างของซีรีส์เรื่องนี้เอง ยังเล่าว่าพวกเขาติดอยู่ในโรงเรียน ไม่มีอาหาร น้ำ หรือความช่วยเหลือ ด้วยแบ็กกราวด์ของความเป็นโรงเรียนนั้น เราจึงถามนักแสดงว่า ถ้าสามารถใช้สิ่งของในโรงเรียนเพื่อต่อสู้กับซอมบี้ พวกเขาจะเลือกอะไร
ซึ่งพัคจีฮู (Park Ji-hoo) ผู้รับบทเป็นนัมอนโจ ก็มองว่าทุกอย่างรอบตัวในโรงเรียนสามารถใช้เป็นอาวุธได้ทั้งหมด แต่สิ่งที่เธอเลือก คือไม้ถูพื้น เพราะน่าจะเป็นอาวุธที่ดี “เมื่อหักออกมาแล้วด้ามของมันแหลมสามารถใช้แทงซอมบี้ได้ แต่ถ้าให้เลือกฉันขอเลือกธนูกับลูกศรค่ะ เพราะใช้ยิงจากระยะไกลได้และใช้แทงเวลาซอมบี้พุ่งเข้ามาในระยะประชิดได้ ขณะที่โรอน นั้นขอเลือก “ไม้เบสบอล เพราะสามารถใช้ตีหัวก็ได้ หรือใช้ป้องกันซอมบี้กัดก็ได้”
ในซีรีส์ พวกเขาที่เป็นเพื่อนกันต่างช่วยเหลือกันเอาตัวรอด แต่ถ้าหากมีซอมบี้เกิดขึ้นจริง นักแสดงบางคนก็มองว่าเขาอาจจะตายก่อนตั้งแต่แรกเลยด้วย
ยุนชานยอง เป็นคนที่เลือกว่าตัวเองน่าจะตายก่อนเพื่อนๆ เลย “เพราะซอมบี้ว่องไวและอันตรายมากว่าที่คิดไว้มาก ถ้าสักแต่จะสู้โดยไม่ไตร่ตรองให้ดีก่อนก็อาจจะโดนกัดโดยไม่รู้ตัว ส่วนคนที่ผมคิดว่าจะรอดถึงตอนสุดท้าย ผมคิดว่าจีฮูน่าจะเอาตัวรอดได้นานที่สุดครับ เพราะเธอเฉลียวฉลาดและเรียนหนังสือเก่ง น่าจะหาทางหนีรอดได้จนถึงที่สุด
ขณะที่โจอีฮยอน (Cho Yi-hyun) ผู้รับบทชเวนัมรา มองแตกต่างจากชานยองว่าตัวเธอเอง จะรอดเป็นคนสุดท้าย “ฉันไม่แน่ใจว่าตัวละครนัมราจะเป็นยังไง แต่สำหรับโจอีฮยอนในชีวิตจริง ฉันเป็นคนขี้กลัวและคงจะแอบหลบอยู่ที่ไหนสักแห่งจนกว่าเหตุการณ์จะสงบ คงไม่คิดจะออกไปต่อสู้กับฝูงซอมบี้ ส่วนคนที่น่าจะตายเป็นคนแรกๆ เลยคิดว่าเป็นโรมน เพราะนิสัยเขาเหมือนตัวละครซูฮยอก ที่มีความเป็นผู้นำและชอบออกตัวช่วยเหลือคนอื่น ในระหว่างที่ต่อสู้กับฝูงซอมบี้อาจจะโดนกัดตายก่อนได้” เธอคาดเดา