(บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาสำคัญในสารคดี และมีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรงในครอบครัว)
“นี่อาจจะเป็นอาชญากรรมที่ไร้มนุษยธรรมที่สุด และโหดร้ายที่สุดเท่าที่ผมเคยตัดสินมาจากหลายพันคดี” คือคำพูดจากผู้พิพากษาในคดีฆาตกรรมที่สะเทือนขวัญผู้คนมากมายในปี 2018 และถูกนำมาเสนออีกครั้งผ่านสารคดีของ Netflix เรื่อง American Murder: The Family Next Door
นี่คือเรื่องราวเกี่ยวกับ ‘ครอบครัววัตต์’ ซึ่งประกอบด้วย คริสโตเฟอร์ วัตต์ ผู้เป็นสามีและพ่อ, แชนแนน วัตต์ ภรรยาและแม่, รวมถึง ลูกสาวทั้งสองคนของพวกเขาคือเบลล่ากับซีเลสต์ (ซีซี)
คดีฆาตกรรมในครอบครัววัตต์
เรื่องราวในสารคดีนี้มาจากเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ เช้าวันที่ 13 สิงหาคมปี 2018 ตำรวจในเมืองเฟรเดอริก รัฐโคโลราโด ได้รับการติดต่อมาจาก นิโคล แอตคินสัน ว่าแชนแนน-เพื่อนสนิทของเธอได้หายตัวไป เธอเป็นกังวลจึงขอให้ตำรวจเข้าไปตรวจสอบในบ้านหน่อยว่าเกิดอะไรไม่ดีขึ้นรึเปล่า
เมื่อตำรวจเดินทางไปยังบ้านของครอบครัววัตต์ พวกเขาพบกับความว่างเปล่า ไม่มีใครอยู่ที่นั่น ก่อนที่นิโคลจะพยายามเปิดประตูโรงรถด้วยรหัสที่แชนนอนตั้งไว้ ซึ่งคริส วัตต์ จะเดินทางมาหลังจากพบสัญญาณเปิดประตูนั้น
ในตอนแรก วัตต์แสดงท่าทางตกใจและเป็นกังวลกับการหายตัวไปของภรรยาและลูกๆ ของเขา อีกทั้งยังเดินไปข้อข้อมูลกล้องวงจรปิดจากเพื่อนบ้านพร้อมกับตำรวจอีกด้วย ในเวลานั้นเองที่วัตต์บอกกับตำรวจว่า แชนนอน ภรรยาของเขากำลังตั้งท้องเด็กอีกหนึ่งคน
แม้ท่าทีของวัตต์จะทำให้เห็นถึงความเป็นห่วงเป็นใยกับการหายตัวไป แต่เพื่อนบ้านก็รู้สึกแปลกๆ กับบุคลิกของวัตต์อยู่ไม่น้อย โดยบอกกับตำรวจไปว่า วัตต์ไม่เคยมีท่าทีแบบนี้มาก่อน มันดูผิดวิสัยอยู่พอสมควร
แต่ถึงอย่างนั้น วัตต์เองก็ยังแสดงออกมาถึงความเป็นห่วงต่อครอบครัวของเขา มีช่วงหนึ่งที่เขาพูดผ่านสื่อที่มาทำข่าวด้วยว่า อยากให้ภรรยาและลูกๆ ของเขากลับมาบ้านได้เสียที เพราะบ้านที่ไม่มีพวกเขาอยู่นั้น มันไม่ใช่บ้านเลย
จากนั้นตำรวจเร่งตามหาร่องรอยและหลักฐานต่างๆ จนพบว่า บุคคลที่น่าสงสัยมากที่สุดในคดีนี้ก็คือตัวคริสเองนี่แหละ ปัจจัยสำคัญมาจากการที่ตัวเขาไม่ผ่านการทดสอบเครื่องจับเท็จ (ตามรายงานข่าวระบุว่า วัตต์ทำคะแนนได้ต่ำกว่าค่ามาตรฐานไปมาก) รวมถึงภาพที่เห็นว่ามีรถคันหนึ่งขับออกไปจากตัวบ้านในช่วงเวลาที่คาดว่าแชนแนน และลูกๆ หายตัวไป
ในที่สุดแล้ว คริสก็สารภาพเรื่องราวทั้งหมดออกมาด้วยตัวเอง ในตอนแรกนั้น เขาสารภาพว่าเป็นคนลงมือฆ่าแชนนอนจริงๆ แต่อ้างเหตุผลว่า ที่ต้องฆ่าแชนนอน เพราะแชนนอนได้ทำร้ายร่างกายลูกทั้งสองคนจนเสียชีวิต ทำให้เขาต้องตัดสินใจฆ่าแชนนอน
Victim Blaming ในคดีฆาตกรรม
นี่เป็นครั้งแรกที่เราเห็นภาพของการโทษเหยื่อ (victim blaming) จากปากของคริส ซึ่งมันเป็นเหมือนข้ออ้างที่เขาใช้เพื่อเอาตัวรอดจากสถานการณ์เฉพาะหน้าในห้องสอบสวน คริสโทษว่าต้นเหตุคือแชนนอนที่ลงมือฆ่าลูกๆ ก่อน ทั้งที่ความจริงแล้ว (ความจริงที่คริสเองก็สารภาพออกมาภายหลัง) คริสเองนี่แหละคือฆาตกรตัวจริง
ในเวลาต่อมาเมื่อถูกสถานการณ์บีบต้อนจนเข้ามุม คริสสารภาพออกมาเองว่า เขาลงมือฆ่าแชนนอนและลูกสาวทั้งสองด้วยตัวเอง เรื่องราวมันเกิดขึ้นหลังจากที่แชนนอนจับได้ว่าคริสนอกใจ พวกเขาทะเลาะกันอย่างรุนแรงในเช้าวันนั้น เขาบีบคอแชนนอนจนเธอเสียชีวิต
หลังจากนั้น เบลล่า ลูกสาวคนโตเดินเข้ามาเห็นเหตุการณ์พอดี การที่ลูกสาวเดินเข้ามาเห็นร่างของแชนนอนทำให้เขาตัดสินใจทำอะไรบางอย่างที่โหดร้าย นั่นคือ ขับรถพาลูกทั้งสองและร่างของแชนนอนไปยังนอกเมือง
เขาจับลูกทั้งสองคนโยนลงในบ่อน้ำมัน จากนั้นก็ฝังศพร่างของแชนนอนในบริเวณที่ไม่ไกลจากกันนัก
“นี่อาจจะเป็นอาชญากรรมที่ไร้มนุษยธรรมที่สุด และโหดร้ายที่สุดเท่าที่ผมเคยตัดสินมาจากหลายพันคดี” เราขอหยิบคำพูดจากผู้พิพากษามาไว้ที่ตรงนี้อีกครั้งเพื่อสะท้อนถึงความรู้สึกที่ผู้คนมีต่อการกระทำของคริส โดยคดีนี้จบลงด้วยการที่ศาลตัดสินโทษจำคุกตลอดชีวิตให้กับคริส ทั้งจากความผิดฐานฆ่าภรรยาและลูกๆ รวมถึงความผิดจากการอำพรางศพ (สารคดีระบุว่า เพราะคริสรับสารภาพเขาเลยพ้นจากโทษประหาร)
คดีนี้ไม่ได้มีเรื่อง Victim blaming แค่ในตอนที่คริสให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ แต่ผลของคดีนี้ เมื่อมันกลายเป็นเรื่องใหญ่และถูกพูดถึงในวงกว้างแล้ว กลับมีความเห็นจากคนบางคนที่ออกมาพูดว่า จริงๆ แล้วทั้งหมดนี่ ถึงแม้ว่าคริสจะเป็นคนลงมือฆ่า แต่ความผิดก็ควรตกอยู่ที่แชนนอนด้วย
คนที่ออกมาให้เหตุผลทำนองนี้ อ้างว่า จากข้อมูลตามหน้าสื่อต่างๆ ทำให้เห็นว่า แชนนอนเองก็ไม่ได้เป็นแม่และภรรยาที่ดี (ซึ่งขัดกับความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนบทความมากๆ เพราะผู้เขียนเชื่อว่ามันคือการยัดเยียดความผิดให้กับเหยื่อทั้งที่เหยื่อไม่ได้ทำอะไรผิดเลย ขณะเดียวกันยังสร้างความชอบธรรมให้กับผู้ที่ใช้ความรุนแรงอีกด้วย)
บทวิเคราะห์จาก VOX พูดถึงประเด็น Victim blaming นี้ได้อย่างชัดเจนมากๆ ว่า ช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในสารคดีนี้อยู่ตรงที่การที่สารคดี เลือกที่จะตอบโต้การยัดเยียดความผิดให้กับเหยื่อโดยใช้ ‘ความจริง’ ที่ผู้ทำสารคดีได้รวบรวมมาจากทั้งผ่านสื่อและข้อมูลจากเจ้าหน้าที่
ท่ามกลางเสียงที่วิจารณ์ว่าแชนอนเป็นคนที่ไม่ดี และเป็นต้นเหตุทำให้คริสนอกใจ จนเกิดความขัดแย้งในครอบครัวนั้น บทวิเคราะห์จาก VOX บอกว่า จากภาพและเสียง คำพูด และคลิปต่างๆ ที่แชนนอนมักจะแชร์ผ่านโซเชียลมีเดียของเธออยู่เสมอมานั้น มันแทบไม่มีช่วงเวลาไหนเลยที่สะท้อนภาพลักษณ์การเป็นคนที่ไม่ดีตามข้อกล่าวหา
“เราไม่เคยได้ยินแชนนอนขึ้นเสียงกับลูกและสามีเลย มิหนำซ้ำ เรากลับได้ยินแชนนอนพูดถึงความรักและความคิดถึงที่เธอมีต่อสามีมากกว่าเสียด้วยซ้ำ รวมถึงความเสียใจที่เธอทำให้สามีต้องโกรธ ความอยากที่จะเอาเขากลับคืนมา รวมถึงความรักมากมายที่เธอมีต่อลูกๆ” บทความจาก VOX ระบุ
ความไม่แฟร์มักเกิดขึ้นกับเหยื่อเสมอมา ในหลายๆ คดีฆาตกรรม รวมถึงในความรุนแรงในครอบครัว เมื่อผู้ตกเป็นเหยื่อเป็นผู้หญิง
ตลอดสารคดีนี้ เรายังได้เห็นภาพที่แชนนอนพยายามอย่างสุดตัว เพื่อประคับประคองครอบครัวของเธอให้เดินหน้าต่อไปให้ได้ ท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจในครอบครัวที่กำลังย่ำแย่ เธอทำงานหนักเพื่อลูกๆ เธอพยายามประนีประนอมกับคริสอยู่หลายครั้ง เพื่อให้ครอบครัวนี้เดินต่อไปได้อย่างราบรื่นมากที่สุด
ในทางกลับกัน เรากลับเห็นภาพของคริส ที่พยายามจะเดินออกจากครอบครัวเพื่อไปหาคนรักใหม่ พร้อมกับ คลี่คลายเรื่องราวทั้งหมดนี้ด้วยความรุนแรง
สารคดีทิ้งท้ายข้อมูลว่าในสหรัฐฯ นั้นมีผู้หญิงถูกฆ่าโดยคู่ชีวิตคนปัจจุบันและคนรักเก่าวันละสามคน และผู้ปกครองที่ฆ่าลูกของตัวเองและคู่ชีวิตนั้น ส่วนใหญ่คนที่ลงมือฆ่าเป็นผู้ชาย
ภาพความรุนแรงที่เกิดขึ้นในครอบครัววัตต์ สะท้อนผ่านสถิตินี้ได้ไม่น้อยเลยทีเดียว เมื่อเหยื่อถูกโทษว่าเป็นต้นเหตุ และคนที่พยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อประคับประคองชีวิตคู่ให้รอดนั้น กลับกลายเป็นคนที่ต้องจากโลกนี้ไปโดยไม่มีทางหวนกลับมา