225 ล้านกิโลเมตร ไม่ใช่แค่ระยะทางจากโลกไปดาวอังคาร แต่ยังเป็นระยะห่างของหัวใจของคน 2 คนด้วย
ในโลกที่เทคโนโลยีก้าวล้ำนำหน้ามนุษย์ไปไกลถึงที่ไหนๆ ทว่าความฝัน ความสัมพันธ์ หรือแม้แต่การตามหาช่วงชีวิตที่หล่นหายไประหว่างการเติบโต ยังคงเป็นหน้าที่ของมนุษย์ที่ต้องพยายามทำมันด้วยตนเองอยู่
Lost in Starlight (2025) ภาพยนตร์อนิเมชั่นโรแมนติก-ไซไฟเกาหลีจากเน็ตฟลิกซ์ พาเราไปสำรวจห้วงอวกาศอันแสนกว้างใหญ่ พร้อมเรื่องราวความสัมพันธ์และความฝันของคน 2 คน เริ่มจาก ‘จูนันยอง’ นักวิทยาศาสตร์สาว ผู้ยังคงค้างคากับเหตุการณ์ที่แม่ของตนไม่สามารถกลับมายังโลกได้เมื่อ 25 ปีก่อน ทำให้เธอใฝ่ฝันที่จะเดินทางออกไปสู่ดาวอังคาร สถานที่ที่จะทำให้เธอได้พบกับร่องรอยความสัมพันธ์ระหว่างผู้เป็นแม่อีกครั้ง
ทว่าการจะก้าวไปสู่ความฝันอันยิ่งใหญ่ไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไป เมื่อจูนันยองได้พบกับ ‘เจย์’ อดีตนักดนตรีอิสระ ผู้หันมาทำงานซ่อมแซมของเก่าเข้าโดยบังเอิญ การพบกันของทั้งคู่นำพาให้ความสัมพันธ์เริ่มก่อตัวขึ้นทีละนิด กระทั่งหัวใจถูกแต่งเติมไปด้วยสีสันแห่งรัก ท่ามกลางเส้นทางความฝันอันแตกต่างกันของทั้งสอง สู่ระยะห่างของความสัมพันธ์ที่ยิ่งเข้าใกล้กัน แต่ก็เหมือนจะไกลกันออกไป

cr.IMDb
*เนื้อหาต่อไปนี้เปิดเผยข้อมูลสำคัญของ Lost in Starlight
เป็นอีกครั้งที่อวกาศทำให้คนต้องห่างกัน
อวกาศ คือสถานที่ที่มนุษย์เฝ้ามองมาอย่างยาวนาน แม้จะพยายามทำความเข้าใจแค่ไหน แต่ในความเวิ้งว้างของจักรวาล และความลึกลับที่รายล้อมไปด้วยคำถาม จึงกลายเป็นหมุดหมายที่เราหวังจะพิชิต ทั้งในโลกความจริง ที่มนุษย์พยายามไขคำตอบด้วยเทคโนโลยีต่างๆ แม้กระทั่งในโลกภาพยนตร์ อวกาศยังถูกใช้เป็นฉากหลังอันโดดเดี่ยวให้มนุษย์ต้องเผชิญหน้ากับความเปราะบางของความสัมพันธ์
แล้วทำไมพื้นที่ห่างไกลอันไร้ซึ่งเสียงและน้ำหนักแห่งนี้ ถึงกลายเป็นตัวแทนของความพลัดพรากในหนังอยู่บ่อยครั้ง? ลองนึกภาพว่า ถ้าเป็นบนโลก ต่อให้เราอยู่กันคนละซีกโลก คนละทวีป ก็ยังมีเครื่องบินที่พร้อมพาเราเดินทางไปมาหากันได้ เพียงแค่ไม่กี่อึดใจก็ได้พบหน้า แต่อวกาศไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ การจะเดินทางไปในอวกาศเป็นเรื่องยากและลำบาก และไม่ใช่ทุกคนที่จะได้ไปอยู่ ณ สถานที่แห่งนั้น ด้วยเหตุนี้อวกาศเลยถูกเลือกให้เป็นสถานที่สำหรับพิสูจน์ความสำคัญของความสัมพันธ์อยู่บ่อยครั้ง

cr.IMDb
ก่อนหน้านี้ก็มีภาพยนตร์ไซไฟ-อวกาศเรื่อง Interstellar (2014) นำเสนอเรื่องราวความสัมพันธ์ของพ่อ-ลูกผ่านห้วงจักรวาลอันไกลโพ้น ซึ่งแยกทั้งคู่ออกจากกันด้วยภารกิจ โดยมีเรื่องเวลาที่แตกต่างมาทำให้การสื่อสารถึงกันยากขึ้น หรือแม้แต่ Ad Astra (2019) เรื่องราวของพระเอกกับการตามหาพ่อที่หายไประหว่างปฏิบัติภารกิจลับนอกระบบสุริยะจักรวาล ที่ได้นำอวกาศมาคั่นกลางความสัมพันธ์ของมนุษย์ให้อยู่ห่างไกลจากกันมากขึ้น
Lost in Starlight จึงเป็นภาพยนตร์อีกหนึ่งเรื่องที่ทำให้ผู้ชมอย่างเรารู้สึกว่า เป็นอีกครั้งที่อวกาศทำให้หัวใจของเราต้องห่างกัน และเราต้องพิสูจน์ความสำคัญของกันและกันผ่านระยะทางกว่าหลายล้านกิโลเมตร
ดังนั้น การเดินทางสู่ดาวอังคารของจูนันยอง จึงไม่ได้มีความหมายแค่การไปตามหาเศษเสี้ยวของผู้เป็นแม่ที่หายไป แต่ยังเป็นบททดสอบของความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเจย์ด้วย เพราะแม้ตัวจะห่างไกลกัน แต่ระยะห่างระหว่างดวงดาวกลับยิ่งทำให้หัวใจของทั้งคู่โคจรเข้าหากันมากขึ้น
จูนันยองและเจย์กลายเป็นตัวแทนของตัวละครจากภาพยนตร์ไซไฟอวกาศอีกคู่ ที่ช่วยพิสูจน์ให้ผู้ชมอย่างเราเห็นว่า แม้โลกและดาวอังคารจะห่างกันแค่ไหนก็ตาม แต่ระยะห่างท่ามกลางห้วงอวกาศอันแสนมืดมิด ก็มิอาจกั้นการเดินทางของความรู้สึกของคน 2 คนได้

cr.IMDb
แม้จะห่างไกล แต่ความฝันยังต้องไปต่อ
อีกประเด็นเราเห็นได้พร้อมๆ กับเรื่องความสัมพันธ์ของจูนันยองและเจย์ คือการก้าวไปสู่ความฝันของตนเอง ด้วยความเป็นผู้ใหญ่ ทั้งคู่จึงต้องแบกรับความรู้สึกอีกมากมาย
ย้อนกลับไปในวัยเด็ก เราทุกคนต่างเคยมีความฝันบางอย่างที่อยากทำให้ได้สักครั้งในชีวิต แต่เมื่อเวลาค่อยๆ เดินผ่านไป ความฝันเหล่านั้นก็ค่อยๆ ร่วงหล่นไปทีละนิด พอเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ หากความฝันนั้นไม่ได้ถูกสานต่อ มันก็อาจเลือนหายไปเป็นเพียงสิ่งที่เคยมีอยู่ ณ ช่วงเวลาหนึ่งของชีวิต
อย่างไรก็ดี จูนันยองกลับสามารถรักษาความฝัน อย่างการอยากเดินทางไปดาวอังคารไว้ได้เป็นอย่างดี กระทั่งตอนที่เธอได้มาพบกับเจย์และก่อร่างความสัมพันธ์ขึ้นมาด้วยกันแล้ว ตัวเธอก็ยังคงมุ่งมั่นที่จะไปให้ถึงหมุดหมายของตนเอง แม้มันอาจจะต้องกระทบกับความสัมพันธ์ก็ตาม
ตัดภาพมาที่ฝั่งของเจย์ ในช่วงต้นของเรื่อง ตัวเขาพับเก็บความฝันที่จะเป็นนักดนตรีลงกล่อง พร้อมหันหลังให้กับมันไปแล้ว ทว่าการได้เจอกับจูนันยอง ผู้ซึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังในการจะก้าวต่อไปบนเส้นทางความฝันของตนอย่างแน่วแน่ เจย์จึงเลือกที่จะเปิดกล่องแห่งความฝันนั้นขึ้นมาอีกครั้ง และสานต่อเส้นทางการเป็นนักดนตรีของตนเองต่อ
เรื่องความฝันของทั้งคู่ที่อนิเมชั่นเรื่องนี้นำเสนอออกมา เลยกลายเป็นอีกส่วนสำคัญของหนังที่สะท้อนให้เห็นว่า แม้ทั้งคู่จะเติบโตขึ้นมากแค่ไหน หรือความสัมพันธ์จะเบ่งบานไปแล้วเท่าไหร่ แต่ความฝันของคนเราอาจยังคงอยู่ที่เดิมไม่ได้หายไป มีเพียงแค่ตัวเราเท่านั้นที่จะเลือกทำมันต่อให้สำเร็จ หรือยอมก้าวต่อไปข้างหน้าโดยไม่มีมันต่อไป
แม้จะอยู่ในความสัมพันธ์เดียวกัน แต่ก็ใช่ว่าเราจะมีปลายทางเดียวกันเสมอไป นอกจากเรื่องของความรักท่ามกลางจักรวาลอันกว้างใหญ่แล้ว Lost in Starlight ยังเป็นบทสะท้อนความพยายามในการรักษาความสัมพันธ์ ท่ามกลางการเติบโตและความฝันที่ต้องไล่ตาม
เพราะความสัมพันธ์และความฝันไม่อาจเลือนหายไปได้ในหมู่ดาว