ซาซากิ มิโยะ หรือที่เพื่อนเรียกเธอว่า มูเกะ เป็นสาวน้อยคนหนึ่งที่ตกหลุมรักเพื่อนร่วมชั้นเรียนอย่าง ฮิโนเดะ เคนโตะ แบบหัวปักหัวปำ เธอมักจะพร่ำเพ้ออยู่ตลอดเวลาว่ารู้ความลับของเขา แม้ว่าเด็กหนุ่มจะดูไม่ได้ใส่ใจเธอเลยแม้แต่น้อย แต่สิ่งหนึ่งที่เด็กสาวไม่เคยบอกกล่าวให้คนอื่นรู้ก็คือ เธอนั้นได้รับหน้ากากวิเศษจาก ‘แมวขายหน้ากาก’ ซึ่งทำให้เธอแปลงร่างเป็นแมวได้ และเด็กสาวในร่างแมว ก็มักจะไปคลุกคลีกับเด็กหนุ่มในฐานะทาโร่ แมวที่กลิ่นหอมเหมือนแสงแดด ซึ่งเธอในฐานะแมวนั่นล่ะที่ได้รับรู้ความลับของเด็กหนุ่ม ทว่าในชีวิตจริง เธอกับเขากลับแทบไม่ได้พูดคุยกัน และเหตุก็วุ่นวายยิ่งขึ้นเมื่อมูเกะที่เบื่อหน่ายปัญหาครอบครัวและคนรอบตัว เธอได้บอกกับ ‘แมวขายหน้ากาก’ ว่า อยากจะทิ้งชีวิตมนุษย์ไป เธอจึงสูญเสียร่างมนุษย์ ทำให้เธอต้องรีบหาทางคืนร่างเดิมก่อนที่จะกลายเป็นแมวตลอดกาล
ที่บอกเล่าไปด้านบนคือเนื้อเรื่องโดยคร่าว ของ Nakitai Watashi Wa Neko O Kaburu หรือที่มีชื่อไทยว่า เหมียวน้อยคอยรัก ผลงานภาพยนตร์อนิเมชั่นจากญี่ปุ่นที่เดิมทีมีกำหนดเข้าฉายในประเทศบ้านเกิดช่วงเดือนมิถุนายน ปี ค.ศ.2020 แต่ถูกเลื่อนฉายแบบปกติไป เลยได้มาเปิดตัวทั่วโลกผ่านทาง Netflix แทน
ตัวภาพยนตร์ได้ ผู้เขียนบทของ Aho Hana ดอกไม้ มิตรภาพ และความทรงจํา มาเขียนบท กับได้ผู้กำกับของ Aria The Animation มากำกับ กระนั้น เรื่องที่เราอยากจะพูดถึงในครั้งนี้ ไม่ใช่เรื่องของสองท่านข้างต้นแต่อย่างใด ที่เราอยากจะพูดคุย เป็นเรื่องของสตูดิโออนิเมชั่นที่เป็นผู้ผลิตหลักของภาพยนตร์อนิเมะเรื่องนี้อย่าง ‘Studio Colorido’
ด้วยเหตุผลที่ว่า หากเทียบกับสตูดิโออีกหลายๆ เจ้าแล้ว คนทำงานในสตูดิโอแห่งนี้ค่อนข้างจะเป็นคนรุ่นใหม่ แต่ถ้าดูผลงานก่อนหน้าของพวกเขา ทั้งในอดีต และงานที่กำลังใกล้จะมาถึง ทำให้เราคิดว่าสตูดิโอแห่งนี้ เป็นสตูดิโอที่น่าจับตามองไม่ใช่น้อย
จุดเริ่มต้นของสีสัน
Studio Colorido ที่นำชื่อมาจากภาษาโปรตุเกส จากคำว่า ‘หลากสีสัน’ ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ.2011 พร้อมกับแนวคิดของทางบริษัทที่ต้องการ ‘สร้างสถานที่ให้ผู้มีความสามารถรุ่นใหม่ทำงานได้อย่างสงบสุขแต่ก็ยังมีความท้าทาย ผ่านการสร้างและพัฒนางานด้วยดิจิทัล เพื่อสร้างผลงานที่เหนือกว่าผลงานอื่น’ แนวทางของ Studio Colorido แล้วอาจดูยิ่งใหญ่เกินตัว แต่ก็สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่ไม่ได้เป็นเพียงการรวมตัวกันแบบเปล่าๆ เมื่อพวกเขาอยากผลักดันการสร้างอนิเมชั่นแบบดิจิทัลให้มีความลื่นไหล ไม่ต่างกับการเขียนงานลงบนแผ่นเซลล์แบบยุคก่อนหน้านี้
ในทางกลับกัน Studio Colorido ก็ไม่ได้ปฏิเสธการทำงานกับคนรุ่นเก๋าแต่อย่างใด เห็นได้จากผลงานทางการเรื่องแรกๆ ของสตูดิโอ อย่างเรื่อง Shashinkan อนิเมชั่นขนาดสั้นที่ออกฉายครั้งแรกในปี ค.ศ.2013 ก็เป็นการร่วมงานกับ คุณนะกะมุระ ทะกะชิ (Nakamura Takashi) ผู้กำกับรุ่นเก๋า ซึ่งเคยผ่านงานผู้กำกับด้านนิเมชั่นของภายพนตร์ AKIRA มาทำหนังสั้นที่เล่าเรื่องของร้านถ่ายรูปกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ผูกพันกับร้านนี้ตั้งแต่เล็กจนเข้าวัยชรา แม้ว่าเธอจะไม่เคยยิ้มให้กับช่างถ่ายรูปของร้านก็ตาม
แล้วก็เป็นในช่วงปี ค.ศ.2013 เช่นกันที่ทาง Studio Colorido ปล่อยให้คนรุ่นใหม่แบบคุณอิชิดะ ฮิโรยาสุ (Ishida Hiroyasu) ที่ในช่วงนั้นมีผลงานโดดเด่นในจากผลงานอนิเมชั่น Fumiko No Kokuhaku / Fumiko’s Confession กับ rain town (ที่เราเคยพูดถึงที่นี่) มากำกับผลงานอนิเมชั่นขนาดสั้น Hinata ฺNo Aoshigure ที่เล่าเรื่องของ เด็กชายฮินาตะที่หลงรัก เด็กหญิงชิงูเระแต่ว่าเด็กหญิงต้องย้ายโรงเรียน เด็กชายที่ไม่ทันได้บอกความในใจ จึงต้องรีบไล่ตามไป ไม่เช่นนั้นเด็กทั้งสองคนจะไม่ได้รับรู้เรื่องในใจไปตลอดกาล ตัวงานมีความน่ารักและยังคงความโดดเด่นในฉากเคลื่อนไหวอันหวือหวาที่ทำให้หลายคนประทับใจเช่นกัน
เรียกได้ว่าแค่การออกเริ่มเดินทาง
ก็ทำให้หลายคนจดจำผลงานของพวกเขา
ได้อย่างดีไม่น้อยเลย
ขลุกขลักในเส้นทางพาณิชย์
แม้ว่าผลงานของ Studio Colorido จะเป็นที่จดจำในงานเทศกาลอนิเมชั่น ทั้งในประเทศกับต่างประเทศ รวมถึงได้รับคำชมจากคนดังในวงการอุตสาหกรรมอนิเมะอย่าง คุณโฮโซดะ มาโมรุ (Hosoda Mamoru) ผู้กำกับและเขียนบทภาพยนตร์ Summer War แต่ในความสำเร็จกับงานเชิงพาณิชย์ของทาง Studio Colorido นั้น ก็ยังไม่ต่างกับสตูดิโออนิเมชั่นขนาดเล็กที่ต้องรับงานเขียนเบื้องหลังเป็นหลัก
แต่ด้วยความที่แนวทางทำธุรกิจอนิเมะให้มีรายได้เฟื่องฟูนั้น สตูดิโออนิเมะควรจะสร้างผลงานต้นฉบับของตัวเอง ที่สามารถแปลงผลงานไปเป็นสื่อผสม (Mix Media) เพื่อรับรายได้จากหลายทิศทาง แต่ดูเหมือนว่าทีมงานของ Studio Colorido จะยังติดขัดในการวางแผนงานและต่อรองเพื่อสร้างรายได้ให้ตัวเอง
ทาง Studio Colorido จึงได้ปรับเปลี่ยนตัวเองด้วยการยอมเข้าไปเป็นบริษัทลูกของทาง Twin Engine บริษัทที่รับงานวางแผนงานการผลิตอนิเมะโดยตรงในช่วงปี ค.ศ.2014 ด้วยความที่ตัวบริษัท Twin Engine ก่อตั้งโดยคุณยามาโมโตะ โคจิ (Yamamoto Koji) ที่มีประสบการณ์ดูแลงานสร้างอนิเมะในอุตสาหกรรมอนิเมะมานานเกินสิบปี การรวมตัวกันทำงานในครั้งนี้จึงเป็นผลดีต่อทั้งสองบริษัทแบบไม่ต้องคาดเดา โดยที่คุณยามาโมโตะ ยังรับหน้าที่เป็น CEO ของทาง Studio Colorido อีกด้วย
ทาง Twin Engine เข้ามาช่วยวางแผนงานสร้างภาพยนตร์สั้นเรื่องใหม่ให้กับ Studio Colorido จนทำให้ในปี ค.ศ.2015 สตูดิโอที่ใช้ชื่อภาษาโปรตุเกส ก็ได้ปล่อยภาพยนตร์ขนาดสั้นเรื่อง Taifuu No Noruda / Typhoon Noruda ที่เล่าเรื่องของเด็กนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาแห่งหนึ่งในช่วงที่มีไต้ฝุ่นพัดเข้าใส่ และเหมือนพายุนั้นจะเกี่ยวข้องกับเด็กสาวลึกลับที่ชื่อว่าโนรูดะ ตัวภาพยนตร์สั้นได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ชมทั้งในและนอกประเทศ ถึงขั้นที่มีคนซื้อลิขสิทธิ์ไปจัดทำแผ่นขาย แม้ว่าจะเป็นผลงานขนาดสั้น
หลังจากนั้น Studio Colorido ก็เริ่มรับงานโฆษณาให้กับสินค้าต่างๆ ที่ทำให้คนดูจดจำผลงานการสร้างได้มากขึ้น ดังเช่นงานโฆษณาให้กับทาง Marukome บริษัทผู้ผลิตซุปเต้าเจี้ยวกึ่งสำเร็จรูป, แฟรนไชส์แฮมเบอร์เกอร์เจ้ายักษ์อย่าง McDonald และการทำมินิซีรีส์ให้กับ YKK แบรนด์ซิประดับโลก
เมื่อปัญหาในการรับงานเริ่มคลายตัวไป
ก็ได้เวลาแล้วที่ Studio Colorido จะรับงานใหญ่
ที่สร้างชื่อตัวเองให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น
เดินทางสู่ความแมสผ่าน ‘เพนกวิน ไฮเวย์’
เวลาผ่านมาหลายปีแล้วตั้งแต่ Studio Colorido มีตัวตนขึ้นมา และพวกเขาก็สั่งสมประสบการณ์มานานพอจนควรจะมีโอกาสได้จับงานใหญ่สักชิ้นหนึ่ง กอปรกับการที่คุณยามาโมโตะ โคจิ เองมีแผนงานอยู่ในใจบ้างแล้ว เพราะเหมือนเขาจะยังอินกับการดัดแปลงนิยายของ คุณโมริมิ โทโมฮิโกะ (Morimi Tomohiko) หลังจากที่เคยวางแผนงานในการดัดแปลงนิยายเรื่อง Yoru wa Mijikashi Aruke yo Otome / Night Is Short, Walk On Girl กับ Yoaketsugeru Ru No Uta / Lu Over The Wall มาก่อนแล้ว
และนิยายของคุณโมริมิ เรื่องหนึ่งที่มีความเป็นนิยายไซไฟพร้อมฉากเหนือจริงตามความถนัดของผู้แต่ง แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีเส้นเรื่องที่ไม่ยากเย็นนัก และมีฉากที่สอดคล้องกับทีมงานของ Studio Colorido ที่ทำการสร้างอนิเมะซึ่งมีตัวเอกเป็นเด็ก พร้อมกับฉากเคลื่อนไหวรวดเร็วหวือหวามาหลายครั้ง
ด้วยความเหมาะสมในหลายๆ ประการ ทำให้งานผลิตภาพยนตร์อนิเมชั่น Penguin Highway กลายเป็นของ Studio Colorido และผู้กำกับที่พวกเขาใช้บริการก็ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็น คุณอิชิดะ ฮิโรยาสุ ที่กลายเป็นทีมงานคนสำคัญของสตูดิโอแห่งนี้ไปแล้ว และเพื่อนร่วมงานตั้งแต่สมัยเรียนของเขาอย่าง คุณคาวาโนะ ทาสึโร (Kawano Tatsuro) ก็มาร่วมงานในฐานะมือวาดสตอรี่บอร์ด กับดูแลคีย์อนิเมชั่น และปล่อยพลังวาดฉากเคลื่อนไหวที่เขาถนัดในแบบภาพยนตร์จอเงินที่เข้าฉายในช่วงปี ค.ศ.2018
เรื่องราวของเด็กชายอาโอยามะที่ได้เจอกับเพนกวินในเมืองเล็กๆ ของญี่ปุ่น ซึ่งไม่น่าจะมีสัตว์ประเภทนี้ และดูเหมือนการปรากฏตัวของฝูงเพนกวินเกี่ยวพันกับ ‘พี่สาว’ ที่ทำงานในร้านหมอฟัน ซึ่งอาโอยามะหลงใหล นำพาไปสู่การผจญภัยเหนือความเข้าใจด้านวิทยาศาสตร์ที่อาโอยามะเรียนรู้มา และในขณะเดียวกันก็ทำให้เด็กชายเติบโตขึ้น
แม้พลอทจะดูแปลกแถมหนังก็มีความยาวที่ขาดไปอีกสองนาทีก็จะครบสองชั่วโมง แต่ความเพลิดเพลินทางด้านภาพ ปริศนาของเรื่องราว และฉาก ‘บิน’ ในช่วงท้ายเรื่องอันตระการตา กับการที่ได้นักร้องดังระดับ คุณอุทาดะ ฮิคารุ (Utada Hikaru) มาร้องเพลงประกอบ ทำให้ภาพยนตร์อนิเมะเรื่องนี้ถูกจัดจำหน่ายในหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทยของเราด้วย
แต่ถ้าบอกว่านี่คือ การก้าวเดินที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งไหม? ก็คงต้องบอกว่ายังไม่ใช่ เพราะในเชิงรายได้จากตัวภาพยนตร์แล้ว Penguin Highway ประสบความสำเร็จในระดับกลางๆ เท่านั้น กระนั้นสิ่งที่ Studio Colorido ได้รับกลับไปอย่างมาก็คือ การที่หลายคนที่อาจคุ้นตาผลงาน แต่ยังไม่คุ้นชื่อสตูดิโออนิเมะแห่งนี้ ต้องจดจำ ‘สีสัน’ ของผลงานที่จัดจ้านแบบไม่อายผู้สร้างรุ่นพี่เลย
เรื่องราวต่อจากนั้น…
เมื่อการสร้างภาพยนตร์ Penguin Highway ทำให้ชื่อของ Studio Colorido ก้าวเข้าสู่ความ ‘แมส’ แล้ว สิ่งที่พวกเขาเผชิญหน้าต่อมาคือ การรับทำงานแบบแมสๆ ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องนี้ในแง่รายได้อยู่ไม่น้อย
ผลงานที่พวกเขารับหน้าที่เป็นผู้ผลิต นอกจากภาพยนตร์ Nakitai Watashi Wa Neko O Kaburu / เหมียวน้อยคอยรัก ที่เราพูดถึงในช่วงต้นบทความแล้ว ก็ยังมีอนิเมชั่นขนาดสั้นสำหรับฉายบนยูทูป เรื่อง Pokémon: Hakumei No Tsubasa / Pokémon: Twilight Wings ที่เป็นการขยายเนื้อหาของตัวละครจากเกม Pokémon Sword & Shield ที่เริ่มฉายไปเมื่อปี ค.ศ.2020
และในช่วงเดือนมีนาคม ปี ค.ศ.2020 ก็มีข่าวประกาศว่า Studio Colorido จะรับหน้าที่สร้างภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากมังงะเรื่อง Burn The Witch ของ อาจารย์ ไทต์ คูโบะ (Tite Kubo) ซึ่งผลงานเรื่องนี้ถูกระบุว่ามีเนื้อเรื่องอยู่ในจักรวาลเดียวกันกับเรื่อง Bleach และตัวภาพยนตร์จะได้ คุณคาวะโนะ ทาสึโร ขยับมาทำหน้าที่เป็นผู้กำกับ ที่เราพอจะคาดเดาได้ว่า การกำกับของคุณคาวาโนะ คงมีการดัดแปลงฉากแอ็กชั่นจากมังงะต้นฉบับให้หวือหวาเข้าทางตัวของเขาอย่างแน่นอน