อีก 4 วันงานหนังสือแล้ว หลายคนทุบกระปุกรอ หลายคนเร่งอ่านหนังสือที่ค้างจากงานหนังสือตอนต้นปีเพื่อเตรียมอ่านและซื้อหนังสือใหม่ และอีกหลายคนอยากไปแต่ไม่รู้จะซื้ออะไรดี
The MATTER สอบถามเหล่าคนในแวดวงหนังสือ ทั้งบรรณาธิการ เจ้าของร้านหนังสือ เจ้าของสำนักพิมพ์ ไปจนร้านหนังสือออนไลน์ ว่าในงานหนังสือ 13 – 24 ตุลาฯ นี้ มีหนังสือปกใหม่เล่มไหนน่าซื้อน่าอ่านบ้าง กำเงินไว้ให้มั่นแล้วไปดูกันโลด!
1. Candide Books
คำตอบ โดย ดวงฤทธิ์ บุนนาค สำนักพิมพ์ก็องดิดบุ๊กส์
หนังสือเล่มแรกของสำนักพิมพ์ก็องดิดบุ๊กส์ จุดประสงค์ของสำนักพิมพ์คือ ต้องการแนะนำศักยภาพของเหล่าครีเอทีฟแมนทั้งหลายใน The Jam Factory ซึ่งในเดอะแจมนี่ เรามีคนทำงานที่มีความคิดสร้างสรรค์ เวลาเราประชุมงานกัน เราจะเห็นความคิดอันสนุกสนานของคนเหล่านั้น เราคิดว่าอยากให้โลกรู้จักผู้คนเหล่านี้
หนังสือ ‘คำตอบ’ เป็นเล่มแรกที่เราจะทำให้รู้จัก The Jam Factory โดยเจ้าของโครงการ The Jam Factory แต่เราคิดว่าภาพของดวงฤทธิ์ บุนนาค ส่วนใหญ่ที่คนคิดถึงและรู้จักนั้น คือสถาปิกหนุ่มใหญ่ ไฮโซ และหลายๆ คนจะไม่กล้า หรือเขินอายที่จะทำความรู้จักเขา ‘คำตอบ’ จะลบภาพเหล่านี้โดยสิ้นเชิง โดยหลักๆ คำตอบ คือหนังสือรวบรวมคำถาามและคำตอบใน แอปลิเคชั่น ASK.fm แต่โดยรายละเอียดหนังสือเล่มนี้ต้องการให้เห็นว่า ดวงฤทธิ์ คือนักสื่อสารที่เฟรนด์ลี่มาก เป็นมิตรมาก ชอบสนทนากับผู้คน และชอบตอบคำถามในทุกเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องความรัก (ยิ้มกริ่ม)
หัวใจนักเขียน โดย อุทิศ เหมะมูล สำนักพิมพ์จุติ
เรารู้มาโดยตลอด และอุทิศ เองก็ทำให้เห็นว่าเขาบูชา ‘เรื่องเล่า’ บูชา ‘การเขียน’ ขนาดไหน หัวใจนักเขียน คือการตอกย้ำสิ่งเหล่านี้ โดยสรุปหนังสือเล่มนี้ คือ บันทึก บทความ คำถาม-คำตอบ และการบรรยายเกี่ยวกับการประพันธ์ ให้นักเขียนเล่าถึงการเขียนหนังสือของตัวเอง อะไรมันจะสนุกไปกว่านี้ มีทั้งความทะเยอทะยาน ความเขินอาย ความทะเล่อทะล่า ความถ่อมตน ความโอ้อวด ฯลฯ มีเลือดมีเนื้อของนักเขียนคนหนึ่ง ตั้งแต่เริ่มงานเขียนเมื่อวัยหนุ่ม จนกระทั่งมาถึงปัจจุบัน แน่นอนมันไม่ใช่คู่มือการเขียนหนังสือ แต่มันคือหัวใจแห่งการเขียน ที่คนเขียนมอบให้คนอ่าน
2. Bunbooks
Small Things Matter เรื่องและภาพโดย คัจฉกุล แก้วเกต
เลือกเล่มนี้ เพราะว่า ปกติเราไม่อยากทำหนังสือรวมอะไรจากเพจเลย แต่อันนี้มันสวย อยู่ในเพจยังสวย จนรู้สึกอยากเห็นมันเป็นหนังสือจริงๆ อยากพิมพ์ให้เขาสวยๆ มันเป็นหนังสือที่เอาเรื่องราวเล็กๆ ในใจคนเขียน มาเล่าด้วยภาพ บางอันเป็นประโยคเดียวสั้นๆ แต่วาดภาพยิ่งใหญ่มาก เป็นพวกชอบคนทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่
3. a book
Japan Vintage Village โดย ทรงกลด บางยี่ขัน
ถึงญี่ปุ่นจะเป็นประเทศที่ช้ำมาก แต่พี่ก้องก็ยังหามุมใหม่ๆ มาเล่าให้เราอ่านเพลินได้ตลอด เล่มนี้เป็นทริปที่พี่ก้องเดินทางไปหาข้อมูลสำหรับนิตยสาร a day แต่ดันได้เนื้อหาเกี่ยวกับสังคมญี่ปุ่นในยุคสร้างชาติหลังสงครามโลกผ่านการสนทนากับชาวญี่ปุ่นตามรายทาง อ่านจบแล้วบอกได้แค่ว่า พี่ก้องก็ยังคงเป็นพี่ก้อง อ้อ ส่วนปกสุดงามอลังการเป็นฝีมือพี่โอ-ธีรวัฒน์ ที่เห็นแล้วก็บอกได้แค่ว่า พี่โอก็ยังเป็นพี่โอ เหมือนกัน
ดัตช์แลนด์ แดนมหัศจรรย์ โดย Little Thoughts
อีกเล่มที่เล่าเรื่องประวัติศาสตร์ต่างชาติเหมือนกัน ในที่นี้คือชาวดัตช์ เป็นเล่มที่ข้อมูลแน่นปึ้กและเล่าสนุกชวนอ่าน สารภาพว่าผมชอบไปเที่ยวเนเธอร์แลนด์ผ่านทาง Google Street View มาก 555 ได้อ่านเล่มนี้แล้วอยากไปกว่าเดิม มีเรื่องเหวอๆ หลายเรื่องที่ทำให้เราทึ่ง สมกับที่ Little Thoughts นิยามว่าดัตช์คือชาติที่ตรงข้ามกับญี่ปุ่นอย่างสิ้นเชิง อยากยกตัวอย่างบางตอนที่ชอบเหมือนกันนะ แต่คิดว่าอ่านเองน่าจะสนุกกว่า อ่านเหอะ เชียร์
4. ไจไจบุ๊คส์
Revenge เรือนร่างเงียบเชียบ การบอกลาเย็นเยียบน่าขยะแขยง โดย Yoko Ogawa
ผมได้แผลเป็นบนหลังมือขวาราวมัธยมต้น ยังจำรสชาติของมันได้ดี ผมสนุกกับการแกล้งเพื่อนนักเรียนชายไม่สู้คนคนหนึ่ง ผมแหย่เขาจนเกิดบันดาลโทสะ เขาคว้าคัตเตอร์จากกระเป๋ามาเฉือนลึกบนหลังมือข้างที่กำลังจับหูเขา นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นสิ่งที่หนังกำพร้าห่อหุ้มไว้ เนื้อสีขาวขุ่นที่ทำให้คนเราเหมือนตุ๊กตายัดนุ่น ความเงียบจุกสองรูหู กลไกป้องกันบางอย่างคงกำลังทำงาน เวลาเชื่องช้า ไม่มีเสียงร้องออกจากปากผม รู้สึกเพียงความเย็นเยียบบนปากแผล ผมมองเนื้อสีขาวค่อยๆ เปลี่ยนเป็นอมชมพู เลือดอุ่นเริ่มเอ่อขอบแผลก่อนเจิ่งนอง
ผมมองเพื่อนคนนั้น มันยังกำคัตเตอร์ในมือแน่น ใบมีดสะอาดปราศจากเลือดเปรอะ เพราะปาดคมเร็วแรงแบบคนไม่ต้องยับยั้งชั่งใจ เราสบตากันว่างเปล่า เป็นการทำร้ายกันและกันที่บริสุทธิ์เหลือเกิน ชั่ววินาทีสั้นๆ ที่ผมจดจำตลอดมา ช่วงเวลาที่ความแค้น ความเจ็บปวด ยังเดินทางมาไม่ถึง มีเพียงความเงียบเชียบระหว่างกัน
นานแค่ไหนไม่รู้กว่าเพื่อนคนอื่นจะผ่านมาเห็น หูของผมเริ่มได้ยินเสียงอีกครั้ง มีคนหวีดร้อง มีคนตะโกนเรียกครู มีคนพาผมไปทำแผล ผมเกือบลืมรายละเอียดวันนั้นหมดแล้ว กระทั่งได้อ่าน Revenge ของ Yoko Ogawa หนังสือเล่มนี้ปลุกให้ผมหวนนึกถึงชั่วขณะที่น่าขยะแขยงแต่ก็ชวนหลงใหลในวันนั้นอีกครั้ง
5. Salmon Books
EARLY DESIRE ประวัติศาสตร์ใต้สะดือ โดย โตมร ศุขปรีชา
เล่มนี้เป็นแนวประวัติศาสตร์ผสมกับข้อมูลทางโบราณคดี โดยเรื่องที่พี่หนุ่มหยิบมาพูดคือเรื่องเซ็กซ์ที่พาย้อนกลับไปไกลถึงยุคก่อนประวัติศาสตร์ ทำให้ได้รู้ว่าเรื่องเพศๆ เช่น เซ็กซ์ทอย, ทรีซัม, ชายรักชาย หญิงรักหญิงนั้นมีมานมนานแล้ว อ่านสนุกและเพลิดเพลินได้โดยไม่เป็นตากุ้งยิง
US & THEM จากอัมสเตอร์ดัมถึงบาร์เซโลน่า และบทสนทนาของมหานคร โดย จิรัฏฐ์ ประเสริฐทรัพย์ และ ไข่มุก แสงมีอานุภาพ
อันที่จริงเล่มนี้ก็คือหนังสือบันทึกการเดินทาง แต่ด้วยความฮิปและคูลของนักเขียนทั้งสอง เล่มนี้เลยเป็นหนังสือบันทึกการเดินทางที่นอกลู่นอกทางจากเล่มก่อนๆ ที่เคยทำมา ตรงที่เล่มนี้จะเป็นการผสมผสานบทความที่พูดถึงเมืองและวัฒนธรรมที่ไข่มุกชื่นชอบ กับสารคดีที่สวิงสวายเหลือเกินของจิรัฏฐ์ การอ่านเล่มนี้จึงเหมือนการขึ้นรถไฟเหาะที่เดาไม่ถูกว่ามันจะนิ่งหรือวูบวาบตอนไหน แต่ก็เป็นประสบการณ์แปลกใหม่ที่อยากชวนให้ลอง
เพลงรักนิวตริโน โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์
เล่มนี้เป็นนวนิยายที่ชื่อผู้เขียนก็การันตีฝีมืออยู่แล้ว ซึ่งนี่เป็นเล่มแรกที่แซลมอนได้ร่วมงานกับอาจารย์ต้น และก็น่าจะเป็นเล่มแรกในบรรดาหนังสือเรื่องแต่งของเราที่ตัวเรื่องดำเนินแบบย้อนยุคและมีฮ่องกงเป็นฉากหลัง เป็นนวนิยายที่พูดถึงความรักได้ลึกลับและชวนติดตาม เหมาะแก่การอ่านยามฝนถล่มเมืองเช่นในตอนนี้ ส่วนปกเล่มนี้ ขออุบไว้ก่อนนะ
6. Readery
เมียชายชั่ว โดย Dazai Osamu สำนักพิมพ์ JLIT
หนังสือเล่มนี้เป็นผลงานการเขียนของอาจารย์ดะไซ โอซามุ ผู้เขียน สูญสิ้นความเป็นคน ซึ่งเป็นหนังสือที่ดังมากๆ ในหมู่เด็กวัยรุ่นและแฟนบอยแฟนเกิร์ลที่ชื่นชอบแอนิเมชันญี่ปุ่น มันน่าสนใจในแง่ที่ว่า ทั้งมันคลาสสิคแต่มันดูร่วมสมัย เข้าถึงคนรุ่นใหม่ได้ง่าย เหมือนมันไม่มีเวลา คนยุคไหนๆ ก็อ่านได้
เรื่องนี้จะไม่ใช่นิยายแบบสูญสิ้นความเป็นคน แต่จะเป็นเรื่องสั้นที่เขียนจากมุมมองของผู้หญิง มันจึงเป็นมากกว่าเรื่องสั้นที่ผู้ชายเขียนถึงผู้หญิง แล้วยังเป็นหนังสือที่สะท้อนเรื่องความรักความสัมพันธ์ บทบาทของผู้หญิงในโลกปิตาธิปไตย ที่สำคัญคือมันบอกเล่าเรื่องราวชีวิตรักของอาจารย์ดะไซกับบรรดาผู้หญิงของเขาด้วย
อันเดอร์กราวด์ โดย Haruki Murakami สำนักพิมพ์ กำมะหยี่
อันเดอร์กราวด์เป็นหนังสือสารคดีที่เขียนโดย ฮารูกิ มูราคามิ ซึ่งปกติเขาจะเป็นที่รู้จักในแง่ของการเป็นนักเขียนนวนิยายเศร้าๆ สะท้อนความโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาของคนญี่ปุ่น แต่คราวนี้เขาหันมาเขียนสารคดีโดยลงพื้นที่สัมภาษณ์ผู้คนในเหตุการณ์ รวบรวมและเรียบเรียงทุกอย่างด้วยตัวเอง
ในเล่มอันเดอร์กราวด์เนี่ยจะพูดถึงเหตุการณ์แก๊สพิษซารินในรถไฟใต้ดินญี่ปุ่น ซึ่งเกิดจากน้ำมือของกลุ่มหัวรุนแรงที่นับถือศาสนาโอมชินริเกียว คนที่มูราคามิไปสัมภาษณ์ก็จะเป็นคนธรรมดาสามัญทั้งหมด มันจึงน่าตื่นเต้นเพราะเขาไม่ได้เขียนหนังสือแนวนี้บ่อยนัก อีกอย่างมันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งคนที่ทันเหตุการณ์ตอนนั้นจะรู้สึกเชื่อมโยงได้ง่าย
ผู้มาเยือนหลังเที่ยงคืน โดย Patrick Ness สำนักพิมพ์ Words Wonder
ผู้มาเยือนหลังเที่ยงคืนเป็นวรรณกรรมเด็กที่ดังมากในต่างประเทศ ได้รางวัลเยอะด้วยทั้ง Carnegie ทั้ง Kate Greenaway แถมกระแสในบ้านเราก็แรงเพราะฉบับภาพยนตร์กำลังจะเข้าฉายในเมืองไทย
เนื้อเรื่องก็เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเด็กตัวเอกกับปิศาจ โดยปิศาจจะลุคดาร์คๆ แต่ไม่ได้น่ากลัวมาก นอกจากความแฟนตาซีก็ยังมี Double Meaning คือเขาเอาปิศาจมาเป็นตัวแทนสภาพจิตใจของเด็ก แล้วข้างในจะมีภาพประกอบจัดเต็มทั้งเล่ม ดังนั้นเวลาเด็กเห็นอะไร ปิศาจหน้าตาเป็นแบบไหน เราก็จะได้เห็นด้วยโดยดูจากภาพประกอบในเล่มนั่นเอง