มนุษย์เราเรียนรู้สิ่งต่างๆ จากความผิดพลาด และความรักก็เป็นหนึ่งในเรื่องยาก ซึ่งมนุษย์เรามีเรื่องเล่าเก่าแก่ ที่ล้วนว่าด้วยเรื่องรักและความร้าวจากความรัก โดยส่วนใหญ่เรื่องเล่าว่าความรักเหล่านี้ มักเป็นงานเขียนประเภทโศกนาฏกรรม
ในความพยายามเข้าใจความรักอันยาวนานของมนุษยชาติ เรื่องเล่าเหล่านี้มักแฝงไว้ด้วยข้อคิด ข้อเตือนใจ เป็นร่องรอยให้อนุชนคนรุ่นหลังแบบเราๆ ได้เข้าใจความซับซ้อนของความรัก ได้ทดลองมองเห็นความรักในหลายรูปแบบ และได้เข้าใจความผิดพลาดในความรัก หรือเรื่องราวการรักที่สิ้นสุดลงด้วยความผิดหวังทั้งหลายเหล่านั้น
ดังนั้น เพื่อต้อนรับวันแห่งความรักจากแนวคิดผิดเป็นครู The MATTER จึงชวนปัดฝุ่นย้อนอ่านตำนานรัก และชวนตีความความหมาย ข้อคิด หรือคติสอนใจจากเรื่องรักในตำนาน ประยุกต์มาสู่บทเรียนรักในโลกสมัยใหม่ที่เราอาจจะนำมาใช้ เข้าใจ หรือรับมือกับปัญหารักร้าวจากตำนานนับพันปี ซึ่งแก่นแกนของเคล็ดลับความสัมพันธ์ก็อาจเป็นเรื่องราว หรือคำสอนอมตะที่เรายังนำมาใช้ได้อยู่
บทเรียนรักนั้นเริ่มต้นตั้งแต่ความสัมพันธ์จากตำนานกรีก เป็นความรักที่ค่อนข้างว่าด้วยความเชื่อใจ จากตำนานความรักที่ก้าวไม่พ้นตัวเองของนาร์ซิสซัส การแสวงหาคนรักอันสมบูรณ์แบบซึ่งไม่มีอยู่จริงของพิกเมเลียน ความสำคัญของการสื่อสารที่ชัดเจนทำให้ความรักนำพา การรักคนที่เขาไม่รักเรา และความรักร้อนแรงจากสุดยอดตำนานรักอย่างโรเมโอและจูเลียต
Cupid and Psyche, ความรักอยู่ไม่ได้ เมื่อไร้ความเชื่อใจ
เล่าเรื่องตำนานรักก็ต้องพูดถึงความรักของคิวปิด เทพเจ้าแห่งความรัก อันที่จริงเรื่องนี้ไม่นับเป็นโศกนาฏกรรมเท่าไหร่ แต่เป็นความรักที่ต้องพบอุปสรรคมากมาย โดยเฉพาะนางไซคี ซึ่งเป็นคนรักหลักของเรื่อง ตำนานรักของคิวปิดและไซคีอยู่ในมหากาพย์เมทามอร์โฟซีส (Metamorphoses) ว่าด้วยตำนานการเกิดขึ้นของสรรพสิ่ง ต้นไม้ ดอกไม้ นางไซคีเป็นเจ้าหญิงงามที่กันว่า งามเป็นรองแค่วีนัส นางละเลยการบูชาเทวีแห่งความรัก เทวีวีนัสเลยส่งคิวปิด เทพบุตรหนุ่มรูปงามไปเอาศรปักอก เพื่อให้นางตกหลุมรักสัตว์ประหลาดอัปลักษณ์ ทว่าเมื่อคิวปิดพบนางไซคีก็ดันตกหลุมรักซะเอง
ตามท้องเรื่องเล่าว่า นางไซคีได้รับคำพยากรณ์ว่าจะมีสวามีเป็นงูมีปีก นางจึงถูกหามไปไว้บนยอดเขา แต่ในที่สุดนางก็ถูกลมหอบไปที่วิมานแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นฝีมือของคิวปิด นางไซคีเลยได้อยู่กินกับกามเทพด้วยเงื่อนไขเดียวคือ กามเทพจะปรากฏตนในความมืดยามค่ำคืน นางจะมองไม่เห็นร่างที่แท้จริงของกามเทพ แต่ภายหลังนางไซคีได้ไปพบปะพูดคุยกับน้องสาว ผู้ซึ่งอิจฉาในคฤหาสน์อันใหญ่โตและชีวิตความเป็นอยู่นาง เธอจึงยุแยงว่าสามีของนางไซคีนั้นอาจคือภูตผีปีศาจก็เป็นได้ ยังไงนางก็ต้องมองให้เห็นหน้าค่าตากันให้จงได้
ผลคือนางไซคีตกลงจะแอบจุดตะเกียง เพื่อดูหน้าตาสามีของตน (พร้อมถือมีดไว้ในมือ เผื่อเป็นปีศาจจะได้แทงซะ) และในจังหวะที่ลงมือจุดตะเกียง นางไซคีก็ได้ประจักษ์ว่า สามีเธอเป็นเทพบุตรหนุ่มรูปงามจริงๆ แต่ตอนนั้นเอง น้ำตาเทียนกลับหยดลงบนอก และมีดที่นางถือไว้ก็หล่นลงบนพื้น คิวปิดตกใจตื่น ก่อนจะแจ้งแก่ใจว่าภรรยาของตนไม่รักษาคำสัตย์ และไม่เชื่อในตนเอง คิวปิดจึงเผยตัวตนว่าตนเป็นเทพแห่งความรัก และกล่าวอมตะวาจาว่า
“รักนั้นดำรงอยู่ได้ไม่ หากไร้ความเชื่อใจ” (Love cannot live without trust.)
นับเป็นสุดยอดวาทะ เพราะตัวความรักอย่างคิวปิดเองได้กางปีกบินหนีไป นางไซคีจึงรีบติดตามไป หลังจากนั้นนางไซคีก็ต้องเจอกับการทดสอบต่างๆ นานาจากเทวีวีนัส รอนแรมถึงขนาดลงไปในนรก แต่ก็สามารถกลับมาได้ จนในที่สุดนางก็ได้รับการให้อภัย ได้รับการยอมรับ ได้ขึ้นไปอยู่บนยอดเขาโอลิมปัส และได้รับสถานะทวยเทพครองคู่กับคิวปิด
Echo and Narcissus, ความรัก-หลงในตนเอง
ตำนานรักเรื่องเอคโค่กับนาร์ซิสซัส เป็นอีกตำนานรักร้างที่ค่อนข้างมีชื่อเสียง ทั้ง 2 ตัวละครกลายเป็นคำที่เราใช้เรียกเสียงสะท้อนและอาการหลงตัวเอง โดยตำนานความหลงตัวเองมาจากมหากาพย์เมทามอร์โฟซีส ตัวเรื่องว่าด้วยเอคโค่ นางไม้ที่ช่างพูด และไปหลอกเทวีเฮร่าจนทำให้ซุสไปมีชู้ได้สำเร็จ เฮร่าจึงสาปว่า ช่างพูดนัก งั้นขอให้พูดซ้ำถ้อยคำสุดท้ายของคนอื่นเสมอไปซะ
ในตอนนั้นมีพรานหนุ่มรูปงามนาร์ซิสซัสที่ขึ้นชื่อว่า ช่างเท คือเททุกคนที่มาชอบตัวเองในป่า ทว่าเอคโค่ดันไปชอบนาร์ซิสซัส เธอตามนาร์ซิสซัสไป แต่ด้วยคำสาปเธอจึงได้แต่ตอบคำท้ายที่นาร์ซิสซัสพูด ในที่สุดทั้ง 2 ก็เจอกัน แต่ด้วยความหยิ่งของนาร์ซิสซัส เขาเลยปฏิเสธนางเอคโค่ไป ตอนนั้นเองที่เทวีแห่งการล้างแค้น-คือการตอบแทนที่สาสมติดตามมาพอดี เห็นถึงการไม่สนองต่อความรักของนาร์ซิสซัส ก็เลยสาปให้นาร์ซิสซัสตกหลุมรักเงาของตนและจมน้ำตายไป
นาร์ซิสซัสกลายเป็นดอกนาร์ซิสซัสสีขาว ก่อนจะถูกนำตัวไปยังปรโลก และยังตกหลุมรักเงาที่ไม่มีวันรักตอบของตน ส่วนนางเอคโค่ ด้วยความเป็นอมตะ ร่างของนางจึงเสื่อมสลายไป หลงเหลือเพียงเสียงที่สะท้อนเสียงอื่นๆ ตามชื่อของนาง
ความรักของนาร์ซิสซัสจึงอาจเป็นคำเตือนอย่างเรียบง่ายเรื่องการรัก ที่ต้องก้าวให้พ้นตัวตน หรือการลุ่มหลงในตนเองก่อน
Pygmalion, ความสมบูรณ์ไม่มีจริง
พิกเมเลียน เป็นอีกตำนานชื่อดังของประติมากรที่ตกหลุมรักรูปปั้นหินอ่อนของตนเอง ตัวเรื่องอาจจะจบดี แต่นัยของเรื่องว่าด้วยการหลงรักในสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง ตำนานเรื่องพิกเมเลียน เป็นเรื่องเล่าจากสมัยกรีกโรมัน ปรากฏในมหากาพย์เมทามอร์โฟซีส เช่นกัน กล่าวคือพิกเมเลียนเป็นประติมากรหนุ่มที่ผิดหวังในความรัก และไม่ต้องการจะมีรักกับใครอีก ในความรักร้างนั้นเลยทำให้เขาหันไปทุ่มเทให้กับงาน ทว่าการสร้างผลงานนั้นกลับปั้นได้เป็นสตรี ซึ่งตัวเขาเองพบว่าเหมาะที่จะรักยิ่ง เขาเลยเริ่มหลงรักวัตถุที่ตนสร้างขึ้น เริ่มกอด จูบ ซื้อของให้ และแต่งองค์ทรงเครื่องให้ดุจคนรัก
ทว่าเรื่องนี้จะเรียกได้ว่าจบดี (ถ้าคนอ่านเรื่องนี้ไม่เลิกคิ้วตอนที่พิกเมเลียนเริ่มกอดจูบรูปปั้นหินอ่อนของตัวเอง) แต่ในที่สุด ช่วงเทศกาลความรักของเทวีอโฟรไดท์ พิกเมเลียนได้ทำการสังเวยและอธิษฐานต่อเทวี เพื่อขอให้ประทานคนรักที่เหมือนกับรูปปั้นของเขา เทวีอโฟรไดท์ได้รับฟังคำขอจึงให้สัญญาณผ่านกองไฟที่ลุกโชนขึ้น 3 ครั้ง เมื่อพิกเมเลียนกลับถึงบ้านก็พบว่ารูปปั้นเริ่มมีความอบอุ่นและมีชีวิตขึ้นมา พิกเมเลียนเลยได้อยู่กินกับรูปปั้นนั้นจนมีลูก
เรื่องเช่นพิกเมเลียน ถ้าไม่นับว่าได้พรในตอนท้าย ตัวละครพิกเมเลียนตกอยู่ในภาวะการไขว่คว้าหาสิ่งที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งอันที่จริงแล้วในแง่ความรัก คนรัก หรือความเป็นมนุษย์ ย่อมไม่มีอยู่จริง
Pyramus and Thisbe, การสื่อสารคือเงื่อนไขความเข้าใจ
พีรามัสกับธิสบี เป็นอีกตำนานรักเก่าแก่ว่าด้วยความรักต้องห้ามของ 2 ครอบครัว ตัวละครทั้ง 2 เป็นคนรักจากตำนานรักของบาบิโลเนีย และถูกเล่าในมหากาพย์เมทามอร์โฟซีส เป็นตำนานรักที่น่าจะเรียกว่า เป็นตำนานรักข้ามกำแพง และมีจุดจบอันเป็นต้นแบบของโรเมโอและจูเลียต ตัวเรื่องเล่าถึงความรักของพีรามัสและธิสบี หนุ่มสาวที่ลอบพบกันโดยมีกำแพงบ้านขวางกั้น ทั้ง 2 คนสื่อสารกันผ่านรอยแตกของกำแพง และแน่นอนว่าความรักของทั้งคู่นั้นถูกขัดขวาง ทั้งคู่จึงตัดสินใจหนีตามกัน โดยนัดเจอกันที่ใต้ต้นหม่อน
การหนีเจ้ากรรมนี้ ในวันนัดหมายธิสบีสาวเจ้ามาถึงก่อน และได้ยินเสียงคำรามของสิงโต เธอจึงได้รีบหนีไป ความเร่งรีบทำให้เธอทำผ้าคลุมหน้าตก เจ้าสิงโตตัวนั้นกินวัวมาแล้วตัวหนึ่งเลยนำเอาคราบเลือดมาเปื้อนผ้าสีขาวผืนนั้น ตัดภาพมาเมื่อพระเอกมาเจอผ้าที่ตกอยู่ก็คิดไปว่าคนรักถูกสิงโตกินแซ่บไปแล้ว เขาเลยแทงตัวเองตายตาม พอสาวเจ้ากลับมายังจุดนัดหมายก็พบว่าคนรักของตนจากไป เธอจึงฆ่าตัวตายตามอีกที โดยรอยเลือดของพีรามัสได้หยดลงบนลูกหม่อน ซึ่งเชื่อว่าแต่เดิมเป็นสีขาว แต่ปัจจุบันกลายเป็นสีดำ เพราะเทพเจ้าย้อมสีเพื่อเป็นเกียรติให้กับรักต้องห้ามในครั้งนั้น
ประเด็นความรักที่กลายเป็นความตาย หัวใจหนึ่งของเรื่องคือการสื่อสารที่คลาดเคลื่อน ความเข้าใจผิด และการตีความสัญญาณต่างๆ ไปเอง ดังนั้น ในความสัมพันธ์ ความคลุมเครือจึงอาจเป็นสิ่งที่ควรทำลาย ส่วนการสื่อสารที่ชัดเจน ตรงไปตรงมา เข้าใจได้เสมอกันนั้นถือเป็นอีกหัวใจของความรัก
Romeo and Juliet, ความรักร้อนแรง
โรเมโอและจูเลียต เป็นสุดยอดตำนานโศกนาฏกรรมความรัก ซึ่งได้อิทธิพลมาจากตำนานบาบิโลนพีรามัสกับธิสบี ในความรักและโศกนาฏกรรมของโรเมโอและจูเลียต คือการมีความรักต้องห้ามจาก 2 ตระกูลที่ขัดแย้งกัน นอกจากความรักต้องห้ามแล้ว หัวใจสำคัญหนึ่งของเรื่องคือ โรเมโอและจูเลียตตัดสินใจทำสิ่งต่างๆ ตามหัวใจไปอย่างเร่งร้อน และไม่ทันคิดหน้าคิดหลัง เช่น โรเมโอรีบลักลอบแต่งงานกับจูเลียต ไปจนถึงพลั้งมือฆ่าคนตาย หรือความเข้าใจผิดจนทำให้ทั้งคู่ต้องจบชีวิตตนเอง
สิ่งสำคัญหนึ่งของโรเมโอและจูเลียต คือการที่ทั้งคู่เป็นความรักในวัยรุ่น ซึ่งมีความพลุ่งพล่านร้อนแรง มีการประเมินว่า โรเมโอนั้นน่าจะมีอายุอยู่ในเกณฑ์วัยรุ่นราว 16-18 ปี ส่วนจูเลียตมีอายุ 14 ปี ความรักของทั้ง 2 คน มีความหุนหันพลันแล่น นี่จึงเป็นอีกเงื่อนไขสำคัญของโศกนาฏกรรมในเรื่อง
Apollo And Daphne, ความรักชนะทุกอย่าง ยกเว้นความไม่รัก
ถ้าถามว่าเทพองค์ไหนทรงอำนาจที่สุด สำหรับเทพเจ้าแห่งความรัก กามเทพอาจเป็นหนึ่งในเทพที่ทรงพลังกับใจ กระทั่งกับทวยเทพด้วยกัน รวมถึงมีจิตใจอำมหิตที่สุดองค์หนึ่ง หนึ่งในเครื่องยืนยันพลังของความรัก คือตำนานเทพเจ้าอะพอลโล่และนางแดฟเน่นี่แหละ ที่จะยืนยันว่าความรักชนะแม้แต่เทพเจ้าแห่งดวงตะวัน และแม้แต่เทพที่ทรงอำนาจก็ไม่อาจชนะความไม่รักได้
เรื่องราวโศกนาฏกรรมรัก เริ่มจากความทะนงของอะพอลโล่หลังจากสังหารงูยักษ์ด้วยศรพันดอก ในตอนนั้นเองอะพอลโล่เห็นคิวปิด ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเทพผู้มีฝีมือด้านธนู อะพอลโลได้สบประมาทว่า คิวปิดเป็นแค่เด็กน้อยที่มืออาวุธในมือ เพราะลึกๆ แล้วอะพอลโลอิจฉาคิวปิดที่ได้ชื่อว่าเป็นนักธนูที่มีชื่อและเป็นที่นิยมกว่าตนเอง เมื่อคิวปิดได้ยินดังนั้นก็ตอบอย่างรุนแรงว่า อะพอลโลสามารถยิงอะไรก็ได้ในโลกนี้ แต่ศรของคิวปิดนั้นยิงทวยเทพได้
คิวปิดจึงหยิบลูกธนูทองคำออกมาแล้วยิงไปที่หัวใจของอะพอลโล่ ทว่าธนูกลับไม่ส่งผลต่อเลือดเนื้อ คิวปิดเลยหยิบศรอันทู่อีกดอกยิงไปยังแดฟเน่ นางไม้ผู้บูชาเทวีอาร์ทีมิส เธอถือพรหมจรรย์และเป็นนักล่าสัตว์ ศร 2 แบบของคิวปิดซึ่งให้ผลตรงข้าม ศรทองคำนำความรักล้นมาให้ ส่วนศรด้านพาความเกลียดชังมาสู่หัวใจ
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคืออะพอลโล่คลั่งรักและไล่ตามแดฟเน่ไป วิ่งไล่จับกันไปมาอยู่นาน เมื่อแดฟเน่จะถูกติดตามคว้าตัวได้ เธอจึงอธิษฐานต่อบิดาที่เป็นเทพแห่งแม่น้ำก่อนจะกลายเป็นต้นรอเรล ด้วยความรักของอะพอลโล่ เขาจึงเด็ดใบของต้นรอเรลร้อยเป็นมงกุฎ และนั่นเองเป็นจุดเริ่มต้นของต้นรอเรล ซึ่งเป็นต้นไม้ประจำตัวของอะพอลโล่ และด้วยการเป็นเทพแห่งศิลปวิทยาการ เขาจึงนำเอาช่อรอเรลมาเป็นตัวแทนของชัยชนะและมหากวี
กรณีของอะพอลโล่และคำสาปแสนร้ายของความรัก นี่คืออำนาจไร้ขอบเขตของความรัก ที่กระทั่งเทพเจ้าแห่งศิลปวิทยาการผู้ครองความรู้ทั้งปวงก็ไม่อาจเอาชัยเหนือความรัก โดยเฉพาะความไม่รักได้
อ้างอิงจาก