ว่ากันว่า คนน่ากลัวกว่าผี ไม่แน่ใจว่าจริงไหม แต่เดี๋ยวนี้ เราเริ่มมีความสัมพันธ์ ‘แบบผีๆ’ ที่ดูไม่แน่ไม่นอน จะเอายังไงกันแน่ เป็นความสัมพันธ์ชวนหลอกหลอน ทำเอานอนไม่หลับ และเป็นความสัมพันธ์ที่ใช้ผีมานิยามจริงๆ
เพื่อเป็นการต้อนรับวันฮาโลวีน The MATTER จึงรวบความ ‘ความสัมพันธ์สุดผี’ ทั้งจากที่มีการนิยามความสัมพันธ์ยุคใหม่ เช่นการ Ghosting ภาวะคุยกันอยู่ดีๆ ก็หาย ตายจากไปเหมือนคุยกับผีวิญญาณ ภาวะซอมบี้ ที่จากหายไปจนคิดว่าหมดใจแล้ว ก็กลับมาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ภาวะแวมไพร์ที่ดูดกลืนความรู้สึกของเราจนแห้งเหี่ยว ไปจนถึงการเทียบเคียงความสัมพันธ์ผีๆ ซึ่งจริงๆ ไม่แน่เหมือนกันว่าคนที่ผี จริงๆ แล้วอาจเป็นเราก็ได้
และนี่คือ 6 ผี ที่เอาจริง บางทีน่ากลัวกว่าผีจริงๆ หลายครั้งทำเราปวดใจ นอนไม่หลับ ภาวะรักเป็นพิษ หรือกระทั่งความรักที่ทำให้เราเป็นพิษเอง ซึ่งตรงนี้ก็ยอมรับว่าการปราบ จริงๆ อาจจะยากหน่อย เรื่องผีๆ หลอนๆ บางทีเป็นซีรีส์ยาวนานไม่จบสิ้น
Ghost

โกสติ้ง (Ghosting) หนึ่งในสุดยอดปัญหาความสัมพันธ์ของยุคปัจจุบัน ภาวะการ ‘ถูกหลอกผี’ คือการที่ ‘คนคุย’ ของเราอยู่ดีๆ ก็มลายหายไป เรียกอย่างลำลองว่า ‘การถูกเท’ คือการที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเลือกที่จะยุติการสานสัมพันธ์และปฏิสัมพันธ์โดยสิ้นเชิง เลิกคุย เลิกแชต กระทั่งบล็อก ทิ้งให้อีกฝ่ายได้แต่คิดแล้วก็สงสัยว่าที่ผ่านมาคืออะไร เราเป็นอะไร ทำผิดอะไร พร้อมอีกสารพัดความรู้สึกที่ถาโถมเข้ามาในใจ ความหวัง ความสัมพันธ์ที่หายวับไปอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
ฟังดูอาจเป็นเรื่องธรรมดากับการเทใครซักคน ในโลกการเดทออนไลน์ เราอาจมีความสัมพันธ์แบบทดลองงาน เราคุย แล้วก็เลิก เป็นเรื่องที่ง่ายดายกว่าเดิม แต่ทว่า การ ‘โกสต์’ มักจะสร้างความรู้สึกว่างเปล่าเสมอ อย่างแรกคือการโกสต์ เป็นการตัดสินใจตัดสัมพันธ์ที่ไม่เสมอภาคกัน คือคนที่ถูกตัดความสัมพันธ์มักจะเป็นฝ่ายที่แบกรับคำถามและความรู้สึกต่างๆ ทั้งความรู้สึกไม่ดีพอ ความอึดอัดคับข้อง ซึ่งความรู้สึกที่ถูกละทิ้งนี่แหละ เป็นปัญหาที่สุด
วิธีการปราบผี ความสัมพันธ์ผีหลอก คิดว่าเรียบง่ายที่สุดคือการตัดใจ ทำความเข้าใจว่าการถูกตัดความสัมพันธ์เป็นการตัดสินใจจากอีกฝ่าย เป็นความตั้งใจในการตัดการสื่อสารจากอีกฝ่าย ความผิดไม่ได้อยู่ที่เรา กระทั่งอาจจะไม่ได้อยู่ที่ฝ่ายไหนเลย การตัดใจที่เด็ดขาดอาจต้องอาศัยการตัดการสื่อสาร การไม่รับรู้ความเป็นไปของอีกฝ่าย กลับมาโฟกัสที่ตัวเราเอง เลิกคิดหาคำตอบในสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ รวมถึงเลิกจินตนาการหรือมองหาปัญหาของวันก่อนที่จะเกิดเหตุ
ทุกอย่างล้วนอยู่นอกเหนือความควบคุม และเราเป็นแค่มนุษย์ มนุษย์ตัวเล็กๆ แบบเรา ไม่ต้องมีคำตอบกับทุกอย่าง ไม่ต้องเข้าใจ หรือรับรู้ทุกเรื่อง
Zombie

ภาวะซอมบี้ (Zombieing) เป็นภาวะต่อเนื่องจากภาวะโกสติ้ง ค่อนข้างตรงตามลักษณะของการเป็นซอมบี้ คือคนที่เราคิดว่าตายจากชีวิตและความสัมพันธ์เราไปแล้วด้วยการเป็นผีไปจากเรา ดั้น กลับมามีชีวิต หวนกลับมาพูดคุย มาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีการขอโทษ ไม่มีคำอธิบาย ทำเฉยๆ งงๆ สภาพแบบนี้เหมือนซอมบี้เปี๊ยบ ไม่หือไม่อือ ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร
อย่างไรก็ตาม ภาวะซอมบี้อาจสะท้อนความซับซ้อนในปัญหาความสัมพันธ์และการจัดการความสัมพันธ์ กรณีการโกสติ้งเป็นอีกภาวะตัดคนออกจากชีวิต เทคนออกจากความสัมพันธ์ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วคนที่โกสต์คนอื่นก็อาจจะมีความรู้สึกผิด ไม่เข้าใจตัวเอง ดังนั้นการกลับมาก็อาจสะท้อนความยุ่งยากใจ ความไม่เข้าใจความรู้สึกที่ซับซ้อน หรือง่ายกว่านั้นคือเป็นคนเฮงซวยเฉยๆ ที่คิดจะคุยก็คุย เลิกคุยก็ไม่สนใจอะไร
ดังนั้น การเจอกับภาวะผีคืนชีพ ถ้าพูดอย่างซับซ้อนและเป็นธรรมที่สุด คือในความสัมพันธ์และบริบทการสานสัมพันธ์ในโลกออนไลน์ ไปจนถึงโลกที่ผู้คนจัดการความรู้สึกและมีปฏิสัมพันธ์อย่างซับซ้อน ผู้พบซอมบี้ต้องลองอ่านใจดูว่า บางครั้งอีกฝ่ายอาจเจออะไรบางอย่างมาจริงๆ อยากจะแก้ตัวจริงๆ เปลี่ยนใจจริงๆ หรือเป็นคนห่วยๆ คนหนึ่งจริงๆ
ซึ่งคำว่าจริงๆ ที่ว่าก็อาจจะไม่ได้หมายถึงสัจธรรมจริงแท้ แต่เป็นภาวะที่เราทำความเข้าใจ และรับกับการหายไปได้ไหม รับกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับใจได้ไหม กระทั่งรับกับสิ่งที่อาจเกิดขึ้นต่อไปได้ไหม
Dementor

คุณเคยมีใครซักคนที่โอเค ก็อาจจะเป็นคนรักหรือเพื่อน แต่เวลาที่เราไปใช้เวลาด้วย ไปพบปะ พูดคุยแล้ว ท้ายที่สุด แทนที่จะได้พลังความรู้สึกดีๆ เรากลับกลายเป็นเหนื่อยหน่าย เหมือนถูกดูดเอาความรู้สึก เอาอารมณ์เชิงบวกออกไปจนตัวจนแห้งเหี่ยว จากวันดีๆ ความรู้สึกดีๆ ที่มีต่อตัวเอง กลับกลายเป็นความรู้สึกลบๆ ไปซะหมด
ภายใต้นิยามการดูดพลัง โดยทั่วไปคนที่ดูดพลังความรู้สึกคนอื่น จะนิยามว่าเป็น ‘แวมไพร์ทางอารมณ์ (emotional vampire)’ คนที่อาจจะเป็นคนดีแหละ เป็นห่วงเป็นใยเรา แต่ด้วยวิธีคิด วิธีการพูดคุย คนเหล่านี้มักมาพร้อมปัญหา มาพร้อมกับการตำหนิสิ่งต่างๆ รอบตัว มองไปก็มีแต่เรื่องเลวร้าย บางครั้ง ความหวังดีที่มอบให้ คำถามที่เหมือนถามไถ่ กลับกลายเป็นคำพิษๆ ที่อาจจะชี้ปมของเรา ทำให้เราเสียความรู้สึกหรือความมั่นใจในตัวตนของเราไป โดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม
คนเหล่านี้จึงเป็นเหมือนหลุมดำทางอารมณ์ เราจึงเลือก ‘ผู้คุมวิญญาณ’ มาเป็นตัวแทนความสัมพันธ์แบบหลุมดำนี้ เป็นคนที่อาจจะเจอเรื่องแย่ๆ มา พูดจาเหมือนให้กำลังใจ ก็แต่ลอบทำร้ายเราอย่างแนบเนียน หลายอย่างทำในนามของความหวังดี และหลายครั้ง คนเหล่านี้อาจมีปมบางอย่างที่ใหญ่โต และต้องการดูดซึมสิ่งดีๆ เข้าไปถมความรู้สึกที่ว่างเปล่าของตัวเองให้เต็ม และคนเหล่านี้มักมี ‘ตัวเอง’ เป็นศูนย์กลางของสิ่งต่างๆ
การเจอกับผู้ดูดกลืนวิญญาณ การเอาชนะด้วยเรื่องดีๆ เหมือนที่แฮร์รี่ พอตเตอร์ก็ทางหนึ่ง อาจจะต้องเปิดใจแล้วพูดกันไปตรงๆ ว่า สิ่งที่พูด สิ่งที่ทำอยู่เป็นการพลังงานลบที่ไม่จำเป็น โลกไม่ได้แย่ขนาดนั้น ก็อาจเป็นทางหนึ่ง แต่สำหรับผู้เขียน บางครั้งพบว่า แม้เราจะตั้งท่ารับมือ หรือเข้าใจหลุมดำมากแค่ไหน แต่การมองไปที่หลุมหรือหุบเหวนานๆ พลังงานลบทั้งกลายก็ซึมเซาะเข้ามาในใจเราได้ ไม่วันก็วันหนึ่ง ไม่มากก็น้อย
ดังนั้น การหลีกเลี่ยงหลุมดำหรือผู้คุมวิญญาณ อาจจะเป็นอีกหนทางในปกป้องตัวเอง
Frankenstein

ด๊อกเตอร์ แฟรงเกนสไตน์ เป็นนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่อง ผู้นำร่างของแม่ที่ตายไปแล้ว มาปะติดรวมกัน ซากศพอื่นๆ และใช้พลังของวิทยาศาสตร์ในการสร้างชีวิตขึ้นมาให้กับสิ่งที่ตัวเองสร้างขึ้นใหม่
ดังนั้น ในหลายความสัมพันธ์ เราอาจเป็นแฟรงเกนสไตน์ ผู้ที่พยายามจะนำสิ่งที่สิ้นสุดหรือตายไปแล้ว ความทรงจำ ความคาดหวัง บาดแผลเก่าๆ กลับมาปะติดในสิ่งใหม่ หรือความสัมพันธ์ในอนาคตที่เรากำลังก้าวไปข้างหน้า ในแง่นี้อาจหมายถึงการที่เรายังไม่ละทิ้งอดีตที่ผ่านพ้นไปแล้ว
ฟังดูอาจเป็นเรื่องไกลตัว แต่เชื่อสิว่า การก้าวไปสู่ความสัมพันธ์ใหม่ๆ หลายครั้งเราอาจยึดติดกับบางสิ่งที่คุ้นเคย มองหาอะไรบางอย่างที่เราสูญเสียไป หรือเอาความคาดหวังบางอย่าง คุณสมบัติบางอย่างที่อยู่ในตัวอีกคน เข้าไปวางไว้ในอีกคน เป็นการมองเห็นในสิ่งที่เรายังไม่ก้าวให้พ้น แน่นอนว่า การยังเอาบาดแผลและความทรงจำไปไว้ในคนอื่นๆ ในปัจจุบัน และในอนาคต กลายเป็นมุมมองที่บิดเบี้ยวต่อความสัมพันธ์
กรณีของการก้าวไม่พ้นอดีต เป็นอีกเรื่องที่ค่อนข้างยากและซับซ้อน การค่อยๆ พักใจและทบทวนความรู้สึกก่อนจะก้าวไปสู่ความสัมพันธ์ใหม่ การทำความเข้าใจว่าเราไม่ได้แสวงหาความสัมพันธ์ใหม่ โดยต้องการสิ่งที่มาทดแทนสิ่งที่สูญเสียไป อาจจะเป็นวิธีสำคัญในการป้องกันการสร้างความคาดหวังที่บิดเบี้ยวได้
Doppelgänger

ความสัมพันธ์ข้อนี้อาจไม่นับเป็นความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ แต่อาจจะนับว่าเป็นอีกหนึ่งปรากฏการณ์ที่เราเจอคือ เราอาจจะรักชอบกับคนที่เหมือนกับเรา หมายถึงเหมือนตั้งแต่หน้าตา ท่าทาง รสนิยม และที่แปลกขึ้นคือเราอาจพบว่ายิ่งมีความสัมพันธ์กันไปเรื่อยๆ ใช้เวลากันไปเรื่อยๆ คนสองคนเริ่มจะยิ่งเหมือนกันมากขึ้น มีความ ‘ใจตรงกัน’ มากขึ้นเรื่อยๆ
ภาวะ Doppelgänger Dating คือการที่คู่รัก กลายเป็นคู่แฝด ในหลายๆ ระดับ เป็นอีกหนึ่งข้อสังเกตด้านความสัมพันธ์ รวมถึงมีความพยายามในการอธิบายว่า ทำไมเราถึงตกหลุมรักกับคนที่คล้ายกับตัวเราเอง บ้างก็พูดไปถึงระดับยีนส์ ว่าเราอาจจะสืบทอดลักษณะบางอย่างที่พ้องกัน ทำให้เราอาจจะแสวงหาคนที่มีลักษณะ รวมถึงรูปลักษณ์ที่พ้องกับเราเพื่อส่งต่อลักษณะต่างๆ ต่อไป
บ้างก็อธิบายด้วยมิติทางจิตวิทยา เรามักมองหาคนที่คล้ายกับเราเพราะรู้สึกคุ้นเคยและไว้ใจ หรือบางครั้งเป็นการทำงานของจิตไร้สำนึก ที่คนสองคนเมื่อใช้เวลา ใช้ชีวิตด้วยกัน จะได้รับอิทธิพลหรือลอกเลียนกันไปโดยปริยาย
ในแง่นี้อาจจะเป็นความสัมพันธ์ที่น่ารักดี อาจจะรู้สึกแปลกใจที่เราไปคล้ายกับเขาหรือเขามาคล้ายกับเรา
The Mourning Ghost

ผีสุดท้ายคือผีคลาสสิกของความสัมพันธ์ คือผีที่ยังมีห่วง วิญญาณที่ยังยึดติดกับอะไรบางอย่าง เชื่อว่าผีที่แฝงมาในรูปแบบของความทรงจำ การที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก้าวเข้าสู่ความสัมพันธ์โดยที่ยังลืมคนเก่าไม่ได้ เดินผ่านที่ไหนๆ ก็เต็มไปด้วยมิติของเวลา พูดจาอะไรก็ต้องอ้างอิงไปที่ความสัมพันธ์เดิมๆ คนเดิมๆ เรื่องเดิมๆ กระทั่งมองคาดหวังให้อีกฝ่ายทำ หรือเป็นในสิ่งที่อดีตเคยเป็น เก็บข้าวของเรื่องราวเก่าๆ ไว้ ไม่ทิ้งไปไหน
การยึดติดกับอดีตเป็นอีกหนึ่งสุดยอดผีหลอกวิญญาณหลอน จะเดินหน้าก็ไม่ได้ ถ่วงตัวเองไม่พอ เอาความสัมพันธ์และการยึดติดกับอดีตมาสร้างความยุ่งยากให้คนอื่นอีก การปราบผีที่ยังมีห่วง อาจจะต้องเด็ดขาด ขีดเส้นตาย กระทั่งขอให้ไปผุดไปเกิดให้เรียบร้อย ทำการชำระใจ ชำระอดีตก่อน ค่อยมาเดินหน้าต่อไปด้วยกัน
อ้างอิงจาก