ในยุคที่แทบจะไม่มีใครฟังวิทยุกันแล้ว ใครจะคิดว่ามีสถานีวิทยุที่เปิดแต่เพลงที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยฟังเป็นหลัก สถานีวิทยุที่ว่านี้ก็คือ Cat Radio ที่กำลังจะมีงาน Cat Expo 3D คอนเสิร์ตใหญ่ครั้งที่ 3 ที่รวมวงดนตรีทั้งในและนอกกระแสกว่า 130 วง ในวันเสาร์กับอาทิตย์นี้ที่สวนสนุก Wonder World
Young MATTER พาไปคุยกับ จ๋อง-พงศ์นรินทร์ อุลิศ หัวเรือใหญ่แห่งสถานีวิทยุนอกกระแส Cat Radio ถึงงานคอนเสิร์ต Cat Expo 3D ที่กำลังจะเกิดขึ้น หมุนคลื่นวิทยุไปที่ 94.5 FM แล้วฟังกันเลย
The MATTER : ทำไมคราวนี้ถึงเป็นคอนเซ็ปต์ 3D ช่วยเล่าให้ฟังหน่อย
จริงๆ คอนเซ็ปต์ไม่สำคัญเลย เพราะจัดงานแค่ครั้งคราว แต่พอจัดแล้วก็ต้องทำให้มันต่อเนื่องพอสมควร ธีมมันเกิดตรงนี้ ทำยังไงให้การพูดถึงงานมันไม่ดูจำเจ เราหาอะไรเล่าให้มันรู้สึกแตกต่าง ธีมไม่สำคัญหรอก แค่ทำให้คนดูไม่เบื่อ คิดว่าอะไรที่เล่าแล้วสนุกก็เลยหยิบสิ่งนั้นมา ถามว่าทำไมถึงเป็น 3D เราก็แค่เล่นกับเลข 3 เท่านั้นเอง ถ้ามันมีความหมายจริงมันต้องมีผลกับรูปแบบ แต่นี่เราคงรูปแบบไว้มันเลยเป็นแค่เปลือก เหมือนช็อกโกแลตรสเดิมที่เปลี่ยนแพ็คเกจ แกะออกมาก็หน้าตาเหมือนเดิม ซึ่งมันไม่สำคัญเลย แต่ในความไม่สำคัญนั้น เราก็ทำทุกอย่างให้มันไปด้วยกันได้มากที่สุด เช่น ตอนโชว์ก็ทำภาพ 3 มิติ ใส่แว่น ให้มันเด้งออกมาดีไหม น่าจะสนุกขึ้นสำหรับคนดู หรือทำของเล่น 3 มิติแบบโบราณๆ ที่ส่องไปเจอไดโนเสาร์ หรือเห็นพื้นยุบ หรืออะไรสูงขึ้น ก็ทำไปเพื่อความสนุก ไม่ใช่สาระอะไร เพราะสาระจริงๆ คือการแนะนำวงดนตรี
The MATTER : ความพิเศษของงานครั้งนี้คืออะไร
การที่เราได้เจอคนที่เราชอบ เจอคนที่เรารัก ได้มองตากัน ได้สนับสนุนเขา มันยังไม่พิเศษพอหรอวะ นี่มันพิเศษจะตาย ถ้าถามเรา เราก็จะพูดในมุมที่ว่าเรากำลังสร้างโลกที่มันไม่มีอยู่จริง ถ้าหันไปมองอุตสาหกรรมเพลงก็จะเห็นว่ามันเฮงซวย มันขายไม่ได้ เราทุกคนโหลดของปลอมกันหมด ย้ำ ว่าเราทุกคน ถ้าเป็นแบบนี้แล้วศิลปินมันยังจะนั่งทำเพลงกันอยู่ทำไมวะ เพราะมันรักไง มันเหมือนคนสู้บนความฝัน ยึดอุดมการณ์ มันยังโรแมนติกอยู่ แล้วดันมีคนอยากไปชื่นชมเขา ไปให้กำลังใจเขาเป็นหมื่นๆ คน มันพิเศษชิบหายเลย มันไม่เหมือนงานท่องเที่ยวที่มีโปรโมชั่นลดราคาแล้วคนอยากได้ ไม่ใช่ดีมานด์ซัพพลาย ไม่ใช่เรื่องของธุรกิจ มันเป็นเรื่องของความงดงาม ผมรู้สึกว่าสิ่งนี้โคตรพิเศษเลย
เข้าใจว่าพูดไปมันก็ดูนามธรรมมากๆ พูดยังไงคนก็เข้าใจยากว่ามันพิเศษยังไง วงที่มาเล่นนี่ไม่ได้จ้างเลยนะ ดังแค่ไหนพี่ก็ไม่ได้จ้าง ทุกวงเลย ตั้งแต่สมัย Fat แล้ว ถ้าคนอื่นทำงานสเกลเดียวนี้จะต้องเสียค่าใช้จ่ายมากกว่าไม่รู้กี่เท่า ถ้าคุณจ่ายค่าตัวเขา สมมติเฉลี่ยวงละ 100,000 บาท ทั้งหมด 130 วง ก็ 13 ล้าน แต่เราไม่มีปัญญาจ้าง ไม่ใช่ว่ามีแล้วไม่จ้างนะ ที่เราไม่มีปัญญาจ้างเพราะเราไม่อยากเก็บเงินคนดูแพง เพราะเขาจ้างไงถึงต้องขายบัตรแพง แค่นี้คนส่วนใหญ่ยังไม่ฟังกันเลย ถ้าเราไปทำแพงมันก็ไปกันใหญ่
เป็นเรื่องของความผูกพันแบบน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่าเนอะ เราเปิดเพลงให้เขา เขามาเล่นให้เรา มันคือสปิริตของวงการเพลงพี่พูดได้เลย มันไม่ใช่เรื่องของคนอยากได้เงิน สปิริตมันสำคัญนะ มันสามารถเปลี่ยนโลกได้ เท่านี้พิเศษพอไหม คนที่มางานเราน่าจะมีความสุข
เราเป็นแค่สะพาน ไม่ได้สำคัญอะไรเลย สำคัญคือคนที่อยู่บนเวทีกับคนที่อยู่ข้างล่าง ทำให้คนที่รักกันสองคนมาเจอกัน มันเป็นพลังที่สามารถส่งต่อได้
เราเห็นคนจากที่ไม่มีอะไร จนมีอะไร มันเกิดจากโอกาสนี่แหละ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้รับสิ่งนั้น ทุกคนต้องเคยไม่ดังมาก่อนไม่ใช่เหรอ ถ้าคุณช้อนแต่ครีมไปทำมาหากิน แล้วเด็กวันนี้มันจะเกิดได้ยังไง ตัวอย่างง่ายๆ สิงโต นำโชคก็เคยไม่ดังมาก่อนนะ แต่เพราะเขาดังไม่ใช่หรอ ถึงได้ไปเป็นกรรมการเดอะวอยซ์ มันจะดังได้ก็ต้องเปิดเพลงมันก่อนปะ
The MATTER : ทุกวันนี้มีวงดนตรีทั้งในและนอกกระแสเยอะมาก มีเกณฑ์การคัดเลือกวงที่จะมาเล่นในงานยังไง
หลักการคือทำให้มันหลากหลายก่อน คือใครอยากเล่นต้องได้เล่น แต่ถ้าเต็มก็คือเต็ม จนถึงตอนนี้ยังมีคนมาขอเราเล่นอยู่เลยนะ หลักการมันมีแค่นี้ หลากหลายและอยากเล่น เพราะเราไม่มีตังค์จ้างเขาแต่เราก็จ่ายบ้างไม่ใช่ไม่จ่ายเลย เราจ่ายสิ่งที่เขาต้องควักเอง ค่าตัวไม่จ่าย แต่ทีมงานเขา เขาต้องมีเทคนิเชียน มีซาวด์เอ็นจิเนียร์ แบบนี้เราจ่าย เขามาทำบุญแล้วยังให้เขาควักอีกมันก็เกินไป แต่สมัยทำ Fat ไม่เคยจ่ายเลย เลวมาก แต่ตอนนี้ก็จ่ายขึ้นมานิดนึง นิดเดียวเดียวจริงๆ
The MATTER : แล้วการเลือกสถานที่จัดงานล่ะ ทำไมถึงต้องเป็นที่นี่ มีคนพูดเยอะเลยว่ามันไกล เคยลองคิดว่าจะจัดที่อื่นมั้ย
ถ้าเป็นนักโฆษณา หรืออยากทำให้คนตื่นเต้น สร้างภาพหน่อยจะบอกว่ามันเหมาะมาก พื้นที่มันพอดี อะไรแบบนี้ใช่ปะ แต่ fact เลยคือมันถูก แล้วงานเรามันมีหลายเวที มันต้องใช้พื้นที่ใหญ่ ถ้าอยู่ใกล้กันลำโพงมันจะตีกันมันก็ฟังไม่รู้เรื่องอีก เลยต้องใช้พื้นที่ใหญ่ ซึ่งจริงๆ ไม่ได้อยากจัดงานใหญ่เลย
The MATTER : ซึ่งในเมืองมันไม่ตอบโจทย์?
ในเมืองมันไม่มี เราจะไปเอาพื้นที่ขนาดนี้มาจากไหน สมมติถ้าพี่ไปเจอพื้นที่เท่านี้ในเมือง มันก็จะมีเรื่องใกล้บ้านคน ชาวบ้านก็จะมีปัญหา ยิ่งยุคนี้ด่ากันเก่งด้วย ศาลปกครองก็มี เขตที่อนุญาตให้จัดงานโดนฟ้องได้นะ เรื่องมันเยอะมาก ก็เลยไปจัดในที่ที่เขาอนุญาตและไกลชาวบ้านหน่อย ตอนแรกเราก็จะจัดที่สวนลุม
The MATTER : แล้วทำไมถึงย้าย
ถ้าไม่เลื่อนเราก็จัดที่สวนลุมไปแล้ว มันก็เกิดจากเหตุที่ไม่มีใครอยากให้เกิด คิดแล้วประเทศชาติเสียหายกว่าเรานะ แล้วพอมาเลื่อนมันก็เลยใช้ที่เดิมไม่ได้แล้ว ก็ย้ายมาเป็น Woder World อาจจะไกลบ้านหลายคนหน่อย แต่มันก็ต้องใกล้บ้านสักใครคนนึงปะวะ มันไม่มีที่ไหนใกล้บ้านทุกคนหรอกเพราะเราไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่ก็ยอมรับว่ามันไม่ได้สะดวกมีรถไฟฟ้า ถ้าเลือกได้เราก็อยากจัดที่สวนลุม คือเราไม่ได้เซอร์ ต้องหาที่ที่ลำบากที่สุด พิสูจน์สปิริต ป่าวเลย แค่หาที่ที่ถูกที่สุด มันแค่ถูกและจำเป็นเท่านั้นเอง
The MATTER : บางคนรักพี่เสียดายน้อง วงนั้นก็อยากดู วงนี้ก็รัก แต่เวลามันจำกัด มีวิธีการแนะนำมั้ยว่าจะดูยังไงให้คุ้มที่สุด
ใช้วิธีเดียวกันกับใช้ชีวิตเลยครับ ชีวิตคุณต้องเลือกอะไรสักอย่างอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ คุณจะมีแฟนพร้อมกัน 5 คนไม่ได้ถูกปะ ชีวิตเราต้องเลือก คุณซื้อรถได้หลายคัน แต่ก็ขับได้ทีละคัน ดังนั้นมันต้องเลือก อยากดูอะไรที่สุดในเวลานั้นก็ตัดสินใจ ทำไมถึงแต่งตัวแบบนั้น ทำไมถึงเรียนที่นี่ เราเลือกเองทั้งนั้น การเลือกดูวงสักวงมันก็เหมือนกับการใช้ชีวิตแหละครับ เลือกเอง เรื่องง่ายๆ โลกไม่แตก
The MATTER : คิดว่าเสน่ห์ของ Cat Expo คืออะไร
ไม่รู้ว่าเทศกาลอื่นเขาเป็นแบบนี้ไหม เพราะก็ไม่เคยไปงานใคร แต่ว่าพูดในหลายที่แล้วก็ขอพูดในที่นี้ด้วย ว่างานเราไม่ได้เจ๋งอะไรเลย ไม่ได้ถ่อมตัวด้วย เป็นแค่สื่อกลางในการรวมตัว ใครก็ทำเหมือนงานเราได้ จริงอยู่ว่าสมัยทำ Fat มันอาจจะแปลกใหม่หน่อย แต่ตอนหลังก็มีคนที่เติบโตมากับวัฒนธรรมแบบนี้ ก็ลุกขึ้นมาทำอะไรได้หมดเลย ทำเก่งกว่าเราตั้งเยอะแยะ อยากได้ line up เหมือนเรา ก็ทำเหมือนเราได้ อาจจะต้องใช้เงินแต่ถ้าคุณมีเงินก็ทำได้ จะหาคนคิด copy คนทำ art direction เหมือนเรา ทำตลาดเหมือนเราก็ได้ ศิลปินจะมาพูดว่าฉันไปแค่งานแคทเท่านั้น งานอื่นฉันไม่ไปเหรอ ก็ไม่ คุณชวนเขาก็ไปทั้งนั้นแหละ
แต่สิ่งที่ทำให้งานเราไม่เหมือนใครก็คือ คนที่มา เรามีศิลปินที่อยากเล่นดนตรี ขออ้างชื่อ แหลม 25 Hours เขาพูดกับเราก่อนเล่นว่า “กลับมางานพี่แล้วเดินเต็มตีนดีว่ะ” คือเขารู้สึกว่ามัน belong อยู่ในที่ที่ใช่สำหรับเขา ศิลปินยิ่งน่าจะรู้สึกเยอะนะ ยิ่งดังยิ่งได้เล่นเยอะ ซึ่งการได้เล่นเยอะ ไม่ได้หมายความว่าจะเจอ audience ที่น่ารักเสมอไป บางครั้งเขาก็ต้องไปเล่นในที่ที่คนไม่รู้จักเขา
เราว่าไม่มีอะไรมีความสุขไปกว่าการเจอคนดูที่มองเขาด้วยสายตาแบบนั้น ร้องเพลงเขาได้ทุกเพลง ตื่นเต้นกับมุกฝืดๆ หรือเห็นฝีมือโซโลกีตาร์ พี่ว่านักดนตรีมีความสุขกับสิ่งนี้ ซึ่งมันคือส่วนที่โคตรดีของงาน
The MATTER : คาดหวังอะไรจากทั้งศิลปินที่มาเล่นและคนที่มาดู
พี่หวังว่าพวกเขาจะมีความสุขกัน เวลาไปไหว้พระก็นึกอย่างเดียวว่าขอให้ทุกคนมีความสุข เราจัดงานให้ทุกคนมีความสุขไม่ใช่เหรอ ไม่งั้นจะจัดไปทำไมวะ จัดไปแล้วคนไม่สนุกเลย เราต้องจัดให้คนเขามีความสุขสิ เท่านี้เอง คิดแค่นี้แหละ
Cat Expo ไม่เพียงแต่ให้ความสนุกสนานต่อคนดูเพียงอย่างเดียว แต่ยังให้ ‘โอกาส’ ในการเจริญเติบโตไปข้างหน้าของคลื่นลูกใหม่ในวงการดนตรีไทยอีกด้วย ทางเลือกที่แตกต่างของ Cat Radio ไม่ได้มาจากความคิดที่หวังทำกำไรเลยแม้แต่น้อย แต่ใจที่รักต่างหากคือเจตคติที่ขับเคลื่อนพวกเขามาจนถึงทุกวันนี้ได้
คงไม่น่าเสียหายนักหากเราจะลองอะไรใหม่ๆ เพื่อเพิ่มรสชาติให้กับชีวิตบ้าง สมมติว่าเป็นร้านอาหาร ร้านที่เรารู้อยู่แล้วว่ามันอร่อย กับร้านที่ไม่เคยกินเลย มันอาจจะอร่อยหรือไม่อร่อยก็ได้ แต่เราจะไม่ลองชิมมันหน่อยเหรอ?