ความสำเร็จ เควียร์ และแชปเปล โรน
สิ้นสุดไปเป็นที่เรียบร้อยกับ Grammy Awards ครั้งที่ 67 งานประกาศรางวัลสุดยิ่งใหญ่แห่งปีของวงการดนตรี ปีนี้เป็นอีกปีที่ศิลปินและคนในอุตสาหกรรมมาร่วมงานกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง หนึ่งในคนที่น่าจับตามองมากสุดในปีนี้คงหนีไม่พ้น แชปเปล โรน (Chappell Roan) ศิลปินเควียร์ผู้คว้ารางวัล ‘Best New Artist’ หรือ ‘ศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยม’ ไปครองได้สำเร็จ
การก้าวขึ้นไปยืนบนเวทีพร้อมถ้วยรางวัลในครั้งนี้ของแชปเปล ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จที่ศิลปินหรือคนในวงการเพลงอีกหลายคนต่างก็ใฝ่ฝัน และอยากจะได้มันมาครอบครอง แต่นั่นไม่ใช่สิ่งเดียวที่แฟนเพลงหลายคนให้ความสนใจ หากใครติดตามแชปเปลมาตลอดจะรู้กันว่า เธอมักใช้พื้นที่สื่อของเธอสะท้อนเรื่องราวความหลากหลายทางเพศ และประเด็นทางสังคมต่างๆ จนหลายคนต่างก็ยกให้ว่า เธอนี่แหละคือตัวแทนของคนรุ่นใหม่และชาวเควียร์แห่งทศวรรษ
แต่บอกเลยว่ากว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะแชปเปลถือเป็นศิลปินอีกคนที่ต้องเผชิญกับอุปสรรค และความท้าทายมากมายบนเส้นทางดนตรี วันนี้เราจึงอยากพาทุกคนมาย้อนดูถึงเรื่องราวเบื้องหลัง และสาเหตุที่ทำให้เธอกลายมาเป็นหนึ่งในศิลปินแห่งยุคที่ไม่ว่าใครต่างก็หลงรักกัน
เมื่อตัวตนที่แท้จริงไม่สามารถแสดงออกมา
คุณจะทำอย่างไร หากคุณรู้ตัวเองว่าตัวเองเป็นผู้มีความหลากหลายทางเพศ แต่ต้องเติบโตขึ้นมาท่ามกลางครอบครัวอนุรักษนิยมแถมยังเคร่งศาสนา ต้องเข้าโบสถ์ถึง 3 ครั้งต่อสัปดาห์ และถูกปลูกฝังมาโดยตลอดว่า การรักเพศเดียวกันคือสิ่งผิดบาป
ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เหตุการณ์สมมติ แต่คือชีวิตจริงยิ่งกว่าละครของเคย์ลีห์ โรส อัมสตัทซ์ (Kayleigh Rose Amstutz) หรือแชปเปล โรนที่ต้องหลบซ่อนตัวตนแท้จริงของตัวเองเอาไว้มาโดยตลอด เพื่อใช้ชีวิตตามครรลองของครอบครัว จนกลายเป็นความสับสนในชีวิต และทำให้เธอต้องเผชิญกับไบโพลาร์
ถ้าถามว่าจะมีสักอย่างหรือไม่ที่สามารถเชื่อมเธอและครอบครัวเข้าด้วยกันได้ คำตอบก็คงเป็น ‘ดนตรี’ ครอบครัวของแชปเปลสนับสนุนให้เธอเล่นดนตรีมาตั้งแต่ยังเด็ก จนมันกลายมาเป็นอีกสิ่งที่เธอชื่นชอบและอยากจะจริงจังกับมัน แม้เธอจะมีพรสวรรค์ทางด้านดนตรี แต่ถึงอย่างนั้นจุดเริ่มต้นบนเส้นทางนี้ของเธอก็ไม่ได้ราบรื่นเท่าไหร่นัก เธอเคยเข้าร่วมประกวดร้องเพลงใน America’s Got Talent แต่ก็ยังไม่ใช่เส้นทางที่ถูกต้อง จนกระทั่งเธอได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลง Atlantic Records ในวัยเพียง 17 ปี ก่อนจะเริ่มทำเพลงออกมาทำให้มีคนเริ่มรู้จักเธอมากขึ้น
การย้ายมาอยู่ที่ลอสแอนเจลิสทำให้เธอสามารถแสดงตัวตนการเป็นหญิงรักหญิงได้อย่างเปิดเผย โดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับครอบครัว และจุดนี้นี่เองทำให้เธอเริ่มเขียนเพลงในแบบตัวของตัวเองมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม การเปิดตัวของเธอในปี 2020 ไม่ได้ดีเท่าที่ควร เธอจึงถูก Atlantic Records ยกเลิกสัญญา ซึ่งประจวบเหมาะกับการระบาดของโควิด-19 ทำให้เส้นทางในวงการดนตรีของเธอค่อยๆ มืดดับลง เธอเลยหันกลับไปเป็นบาริสต้าและพี่เลี้ยงเด็ก เพื่อหารายได้มาจุนเจือตนเอง
กระทั่งเพลง Pink Pony Club ที่เธอเคยทำเมื่อครั้งยังอยู่กับค่ายเพลงเดิมกลายเป็นกระแสไวรัลบนติ๊กตอก ได้จุดกระแสให้เธอกลายมาเป็นที่รู้จักในวงกว้าง พร้อมเป็นใบเบิกทางสำคัญที่เปิดประตูให้เธอได้กลับมาเป็นศิลปินอีกครั้ง แถมเธอยังได้รับโอกาสเป็นศิลปินเปิดในคอนเสิร์ต Sour และ Guts world tours ของโอลิเวีย โรดริโก (Olivia Rodrigo) ด้วย
และแล้วพรสวรรค์ รวมถึงความพยายามบนเส้นทางดนตรีของเธอก็แสดงผลในท้ายที่สุด แชปเปลได้เซ็นสัญญากับ Nigro’s Amusement Records ค่ายเพลงใน Island Records พร้อมร่วมออกเพลงและอัลบั้มอย่าง ‘The Rise and Fall of a Midwest Princess’ ทำให้เธอกลายมาเป็นศิลปินอีกหนึ่งคนที่มีทั้งผลงานคุณภาพ และได้รับความนิยมอย่างมากบนพื้นที่โซเชียลมีเดีย
ตัวตนที่ถูกสะท้อนผ่าน The Rise and Fall of a Midwest Princess
ไม่เกินจริงเลยถ้าจะพูดว่า แชปเปล โรนนี่แหละคือหนึ่งในศิลปินที่สามารถเป็นตัวของตัวเอง ทั้งยังนำเรื่องราวของเธอมาร้อยเรียงผ่านเสียงดนตรี และเชื่อมโยงแฟนเพลงเข้าไว้ด้วยกันภายใต้เนื้อเพลงที่สะท้อนถึงความหลากหลาย
นอกจากอัลบั้ม The Rise and Fall of a Midwest Princess ที่มีชื่ออันแสนยาวนี้ จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของแชปเปลแล้ว อัลบั้มนี้ยังเป็นเหมือนกับสมุดบันทึกที่ถ่ายทอดเรื่องราวชีวิต การค้นพบตัวตน และการเดินทางบนเส้นทางดนตรีของเธอ ที่เล่าผ่านเพลงต่างๆ ซึ่งมีทั้งความสนุกและความหลากหลายของแนวดนตรี
นอกจากนี้อัลบั้มดังกล่าวยังเรียกได้ว่า เป็นตัวกลางในการสื่อสารถึงกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ ที่อาจต้องเคยประสบกับช่วงเวลาแห่งการค้นพบอัตลักษณ์ของตนเอง ความเจ็บปวดจากการแสดงออกทางตัวตน ตลอดจนความยากลำบากในการยอมรับสิ่งที่อยู่ข้างใน เพื่อให้ชาว LGBTQ+ ทุกคนผู้เคยต้องเผชิญกับเรื่องราวเหล่านี้ สามารถก้าวผ่านมันไปได้จากเสียงเพลงของเธอ
ตัวอย่างเช่นเพลง Pink Pony Club ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากการไปเที่ยวบาร์เกย์ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอสามารถปลดปล่อยความเป็นตัวเองออกมาได้อย่างเต็มที่ ซึ่งขัดกับในช่วงก่อนหน้านี้ที่เธอยังคงสับสน และไม่สามารถยอมรับตัวตนแท้จริงของตัวเอง การได้เห็นผู้คนแสดงออกอย่างงดงามและเปิดเผยในบาร์เกย์แห่งนี้ จุดประกายให้เธอแต่งเพลงนี้ขึ้นมา เพื่อต้องการถ่ายทอดให้เห็นถึงการเป็นตัวของตัวเอง โดยไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครมาตัดสินเรา เพลงนี้จึงเปรียบเสมือนการปลดปล่อยตัวตนที่ถูกซุกซ่อนไว้ข้างใน แม้ว่าจะขัดแย้งกับสังคม หรือคนรอบข้าง แต่การได้เป็นตัวเองอย่างอิสระอาจเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับเราเองได้ เพราะคงไม่มีสิ่งใดดีไปกว่าการได้เป็นในสิ่งที่ตนเองชอบ และทำในสิ่งที่ตัวเองรักแล้ว
หรือเพลง Naked in Manhattan ซึ่งนำเสนอเรื่องราวการแอบชอบผู้หญิงครั้งแรก สำหรับตัวเธอความรู้สึกนี้ราวกับการอยู่ท่ามกลางนิวยอร์กซิตี้ มันทั้งตื่นเต้นและอยากออกเดินทางค้นหามันต่อไปเรื่อยๆ เหมือนกับหลายคนที่เริ่มรู้ตัวว่าตนเองเป็นคนชอบเพศเดียวกัน ก็อาจมีความรู้สึกสับสนและตื่นเต้น แต่บางครั้งมันก็น่าค้นหา ทั้งในแง่ของตัวตนหรือความสัมพันธ์ครั้งใหม่ ซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นต่อไปหลังจากนี้
The Rise and Fall of a Midwest Princess จึงเป็นอัลบั้มที่ไม่เพียงแค่มอบความสนุกและความเพลิดเพลินในเสียงดนตรี แต่คือเรื่องราวของตัวเธอในช่วงชีวิตที่ผ่านมา และสะท้อนถึงตัวตนของผู้มีความหลากหลายทางเพศ จนทำให้หลายคนยกให้เธอกลายเป็นเควียร์ไอคอนิกแห่งยุค
อีกครั้งกับความหลากหลายและคนรุ่นใหม่บนเวทีระดับโลก
การประกาศชื่อของแชปเปล โรนบนเวที Grammy Awards ในฐานะศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยมแห่งปี เป็นเครื่องมือการันตีถึงความสำเร็จอีกขั้นหนึ่งของชีวิตศิลปิน แต่การก้าวขึ้นสู่เวทีในครั้งนี้ของเธอไม่ได้มีเพียงแค่การกล่าวขอบคุณบุคคลที่เกี่ยวข้อง แต่เธอยังเลือกใช้พื้นที่แห่งนี้ในการเรียกร้องต่อค่ายเพลง อันเป็นสิ่งที่เธอตั้งใจทำมาตลอด เพื่อพูดถึงการแสวงหากำไร และการปฏิบัติต่อศิลปินที่เปรียบเสมือนพนักงานคนหนึ่ง เพราะตัวเธอเองก็เคยถูกค่ายเพลงปฏิบัติราวกับว่าเธอไม่ใช่มนุษย์ด้วยซ้ำ
“Labels, we got you, but do you got us?”
นอกจากนี้หากย้อนกลับไปช่วงเดินพรมแดงก่อนเข้าสู่งาน เธอในฐานะตัวแทนของเควียร์ก็ได้แสดงออกถึงประเด็นเกี่ยวกับความหลากหลายทางเพศเอาไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกลุ่มคนข้ามเพศที่อาจประสบกับความยากลำบากในการใช้ชีวิตมากขึ้น หลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ประธานาธิบดีคนล่าสุดของสหรัฐอเมริกา ประกาศกฎหมายการรับรองเพศสภาพเพียง 2 เพศ อันขัดต่อช่วงก่อนหน้าที่ผู้คนสามารถเลือกใช้ X เป็นเครื่องหมายระบุเพศในหนังสือเดินทาง หรือเอกสารทางราชการต่างๆ ได้
แชปเปล โรนจึงให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า “สถานการณ์ตอนนี้โหดร้ายมาก แต่คนข้ามเพศมีอยู่เสมอมา และจะคงมีอยู่ตลอดไป” แถมเธอยังย้ำอีกว่า การที่เธอสามารถมายืนอยู่ในจุดนี้ได้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะชุมชนคนข้ามเพศ และเธอเองก็จะเป็นอีกหนึ่งเสียงที่ยืนหยัดเพื่อพวกเขาทุกคน
การที่แชปเปลใช้พื้นที่สื่อแสดงออกถึงเจตนารมณ์ และเรียกร้องประเด็นทางสังคม โดยเฉพาะเรื่องความหลากหลายทางเพศ ทำให้เธอกลายเป็นภาพแทนของคนรุ่นใหม่ ผู้กล้าพูด กล้าทำ โดยการใช้พื้นที่ที่ตนเองมีเป็นกระบอกเสียงในการนำเสนอปัญหาต่างๆ ของสังคมอย่างตรงไปตรงมา เราจึงไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมหลายคนถึงรักและยกให้เธอเป็นตัวแทนของเควียร์แห่งทศวรรษนี้ ทั้งความสามารถทางดนตรีที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ การแสดงออกต่อประเด็นทางสังคม รวมไปถึงความกล้าที่จะเป็นตัวของตัวเองอย่างแท้จริง
แชปเปล โรนจึงไม่ใช่แค่ศิลปินหรือนักร้อง แต่เธอคือแรงบันดาลใจให้กับผู้คนอีกมากมาย
อ้างอิงจาก