เวียนมาบรรจบครบอีกรอบกับการประกาศรายชื่อผู้เข้าชิงรางวัลแกรมมี่ (Grammy Awards) งานมอบรางวัลทางดนตรีสุดยิ่งใหญ่แห่งปี การกลับมาของแกรมมี่ปีนี้ ก็ได้พารางวัลสาขาใหม่ อย่าง ‘Best Album Cover’ หรือ ‘ปกอัลบั้มยอดเยี่ยม’ มาเป็นอีกหนึ่งรางวัลให้คนทำเพลงได้ร่วมเข้าชิงกันด้วย
เมื่อพูดถึงสาขา Best Album Cover หนึ่งในอัลบั้มที่หลายคนให้ความสนใจกันมากในปีนี้ ก็คือ‘Debí Tirar Más Fotos’ อัลบั้มล่าสุดของ แบด บันนี่ (Bad Bunny) กับภาพเก้าอี้พลาสติกวางอยู่หน้าต้นกล้วย เชื่อว่าใครที่ไม่ใช่แฟนเพลงของนักร้องคนนี้ ก็อาจสงสัยว่าภาพปกที่ดูเหมือนไม่มีอะไรทำไมถึงเข้าชิงรางวัลในสาขานี้ด้วย แต่แท้จริงแล้ว ปกที่ดูเหมือนไม่มีอะไร กลับมีเรื่องราวที่น่สนใจซ่อนอยู่เบื้องหลัง
ก่อนจะไปดูว่าปกอัลบั้ม Debí Tirar Más Fotos มีที่มาที่ไปอย่างไร เราขอพาทุกคนไปรู้จักกับแบด บันนี่กันเสียก่อน เพราะหลายคนที่ไม่ได้ฟังเพลงจากฝั่งลาตินอเมริกา ก็อาจไม่คุ้นชื่อนักร้องคนนี้เท่าไหร่
เบนิโต อันโตนิโอ มาร์ติเนซ โอคาซิโอ (Benito Antonio Martínez Ocasio) หรือที่รู้จักกันในชื่อ แบด บันนี่ แร็ปเปอร์ นักร้อง และโปรดิวเซอร์เพลงชาวเปอร์โตริโก เจ้าของฉายา ‘ราชาเพลงลาติน’ เกิดมาท่ามกลางครอบครัวที่ชอบในเสียงดนตรี พ่อแม่ของเขามักเปิดเพลงแนวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ซัลซ่า เมอแรงเก้ หรือแม้แต่ ป๊อปบัลลาด ให้เจ้าตัวฟังอยู่เสมอ และด้วยความที่ผู้เป็นแม่เป็นคนที่ค่อนข้างเคร่งศาสนา จึงมักพาเจ้าตัวไปโบสถ์ทุกสัปดาห์ เบนิโตจึงได้ร่วมร้องเพลงอยู่ในคณะนักร้องประสานเสียงของโบสถ์ ด้วยเหตุนี้ เบนิโตจึงกลายเป็นคนที่ชื่นชอบในเสียงดนตรีนับแต่นั้นมา
เบนิโตได้เริ่มแต่งเพลงและสร้างผลงานของตัวเองเป็นครั้งแรกเมื่ออายุเพียง 14 ปี และในปี 2013 เขาก็ได้เริ่มเผยแพร่เพลงของตนเองผ่านทาง SoundCloud กระทั่งเพลง Diles (2016) ของเจ้าตัวก็ได้ไปเข้าตาดีเจลูอัน (DJ Luian) ทำให้เขาได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลง Hear This Music ด้วยทักษะด้านดนตรีที่โดดเด่น ทำให้ซิงเกิ้ล Soy Peor (2016) ไต่ขึ้นไปถึงอันดับที่ 19 บนชาร์ต Billboard Hot Latin Songs เป็นครั้งแรก จนเริ่มเป็นที่รู้จักและมีฐานแฟนเพลงในลาตินอเมริกาขึ้นเรื่อยๆ
ในปี 2017 เบนิโตได้ปล่อยเพลง Mayores ร่วมกับ เบคกี้ จี (Becky G) ถือเป็นเพลงที่ทำให้เขาเริ่มเป็นที่รู้จักนอกพื้นที่ลาตินอเมริกาเป็นครั้งแรก แถมยังได้รับความนิยมถึงขั้นขึ้นเป็นอันดับ 1 ใน US Latin Airplay หลังจากนั้นเจ้าตัวก็ได้เริ่มออกซิงเกิ้ลและอัลบั้ม รวมถึงได้ร่วมร้องกับศิลปินดังมากมาย เช่น I Like It (2018) ที่ได้ร่วมงาน คาร์ดิ บี (Cardi B) และ เจ บัลวิน (J Balvin) ซึ่งเป็นเพลงที่พาตัวเขาขึ้นสู่อันดับ 1 บน Billboard Hot 100 เป็นครั้งแรกด้วย
ส่วนชื่อ แบด บันนี่ ของเจ้าตัวมีที่มาจากสมัยเด็ก เจ้าตัวต้องร่วมทำกิจกรรมของโรงเรียน และต้องแต่งตัวเป็นกระต่าย แต่ตัวเบนิโตไม่อยากแต่ง เมื่อถึงตอนถ่ายรูป เจ้าตัวจึงโพสต์ท่าด้วยสีหน้าโกรธ เมื่อถึงวันที่เขาได้เป็นศิลปิน เบนิโตก็ต้องการชื่อบนเวทีที่ค่อนข้างแปลกและแหวกแนว ทั้งยังต้องไม่ใช่ชื่อแบรนด์หรือชื่อตัวละครที่เคยมีด้วย ตัวเขาจึงเลือกภาพถ่ายในวัยเด็กนี้ของเขา แล้วแปลงจากวลีภาษาสเปนที่ว่า ‘el conejo malo’ มาเป็นภาษาอังกฤษว่า ‘Bad Bunny’ นั่นเอง
มาถึงตรงนี้ หลายคนก็น่าจะเริ่มเห็นจุดเริ่มต้นในการทำเพลงและเป็นศิลปินของแบด บันนี่กันพอสมควรแล้ว เราขอพาทุกคนไปรู้จักกับตัวตนและความเป็นแบด บันนี่กันต่อ ผ่านสตูดิโออัลบั้ม ทั้ง 6 อัลบั้มของเจ้าตัวกัน ว่าแต่ละปกอัลบั้มของเขาได้ถ่ายทอดเรื่องราวหรือแง่มุมใดๆ ให้เราได้รู้กันบ้าง
X 100pre – ดวงตาที่มองไปสู่อนาคต

เริ่มกันที่สตูดิโออัลบั้มแรกของแบด บันนี่ กับ ‘X 100pre’ ที่มาพร้อมปกอัลบั้มสีดำขลับ มีลวดลายแขน 2 ข้างซ่อนอยู่เบื้องหลัง และกำลังโอบอุ้มดวงตากลมโตตรงกลางเอาไว้
ภาพปกของอัลบั้มนี้เกิดขึ้น ในระหว่างที่แบด บันนี่ต้องการให้ เซร์คิโอ บาซเกซ (Sergio Vázquez) ศิลปินชาวเปอร์โตริโก ออกแบบโปสเตอร์สำหรับ Homecoming Concert ที่ ซาน ฆวน ปี 2019 ซึ่งในภาพสเก็ตช์ได้มีการวาดภาพดวงตาดวงที่ 3 ลงบนหน้าของแบด บันนี่ เมื่อเจ้าตัวเห็นภาพนั้น ก็รู้สึกถูกใจเป็นอย่างมากกับคอนเซ็ปต์ตาที่ 3 หลังจากนั้นจึงได้กลายมาเป็นคอนเซ็ปต์ประจำตัวของแบด บันนี่ เรื่อยมา
สำหรับแบด บันนี่แล้ว ดวงตาที่ 3 ก็เปรียบเสมือนสายตาที่มองโลกแบบไม่เหมือนใคร สะท้อนการมองเห็นความจริงในมุมที่แตกต่างไปจากกรอบเดิม และแสดงออกถึงอิสรภาพทางศิลปะกับตัวตนที่แตกต่างของเจ้าตัว ถือเป็นแนวคิดสำคัญในการทำเพลงของนักร้องคนนี้นับตั้งแต่แรกเริ่ม เรื่อยไปจนถึงอนาคต
ทั้งนี้ ภาพสะท้อนของความไม่ยอมจำกัดตัวเองให้อยู่ในกรอบของแบด บันนี่ ก็ได้ถูกถ่ายทอดออกมาผ่านเพลงและดนตรีในอัลบั้มนี้ด้วยเช่นกัน โดยเรามักจะคาดหวังและตีกรอบให้ศิลปินจากฝั่งลาตินนำเสนอเพลงสไตล์ลาติน แทร็ป หรือ เรกเก้ตอน แต่เจ้าตัวได้ทลายภาพจำนี้ด้วยการแทรกความเป็น อัลเทอร์เนทีฟ ป๊อป ซินธ์-ป๊อป ฯลฯ ลงไปในแต่ละเพลง เช่น Tenemos Que Hablar ที่เป็นดนตรีแนวซินธ์-ป๊อป และป๊อป-ร็อค หรือ La Romana ที่ผสานดนตรีแนวลาติน แทร็ป กับ เดมโบว (Dembow) ซึ่งเป็นสไตล์ดนตรีเฉพาะของโดมินิกันเข้าไว้ด้วยกัน
YHLQMDLG – ฝันที่ทำได้จนสำเร็จ

มาถึงสตูดิโออัลบั้มที่ 2 ของแบด บันนี่ อย่าง ‘YHLQMDLG’ ย่อมาจาก Yo Hago Lo Que Me Da La Gana มีความหมายว่า ‘ฉันทำสิ่งที่ฉันต้องการ’ กับภาพปกอัลบั้มที่มีเด็กหนุ่ม 3 ตากำลังปั่นจักรยานพุ่งไปด้านหน้า พร้อมด้วยฉากหลังเต็มไปด้วยความโกลาหลและความพิลึกกึกกือ ราวกับเป็นฉากของซีรีส์ Stranger Things
อัลบั้ม YHLQMDLG ถือเป็นการประกาศอย่างชัดเจนถึงการเลือกทำในสิ่งที่ตนเองต้องการ อย่างการย้อนกลับไปสู่การทำดนตรีแนวเรกเก้ตันสไตล์เปอร์โตริโกที่คุ้นเคยมาตั้งแต่ยังเด็ก ภาพเด็กหนุ่ม 3 ตาบนปกจึงไม่เป็นเพียงการสานต่อคอนเซ็ปต์จากอัลบั้มก่อนหน้า แต่ยังเป็นเหมือนตัวแทนของตัวเขาในวัยเด็กที่หลงใหลในเสียงดนตรี ก่อนจะตัวเขาจะมาอยู่ในอุตสาหกรรมเพลงที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง ฉากหลังที่เต็มไปด้วยความโกลาหลนั้นจึงอาจเป็นเหมือนภาพแทนของสิ่งที่เขาต้องเผชิญ แบด บันนี่จึงต้องปั่นจักรยานไปข้างหน้าด้วยความมุ่งมั่นที่ตนเองมีมาตั้งแต่ยังเด็กนั่นเอง
เนื้อหาของอัลบั้มนี้จึงพูดถึงตัวตนของเขาอย่างตรงไปตรงมาตามที่ตัวเขาต้องต้องการ ทั้ง การวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล การต่อต้านทรานส์โฟเบีย ตลอดจนการนำเสนอตัวตนที่ไม่ได้แบ่งแยกระหว่างความเป็นชายกับหญิงชัดเจน อย่างในเพลง Yo Perreo Sola กับการนำเสนอดนตรีแบบเรกเก้ตันสำหรับการเต้นรำในปาร์ตี้ มาสื่อสารเรื่องการให้เกียรติผู้หญิง และอิสรภาพในการเต้นรำโดยปราศจากการคุกคาม รวมถึงการทลายกรอบความเป็นชายแบบดั้งเดิมด้วยแต่งตัวเป็นแดรกควีนในมิวสิกวิดีโอด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น YHLQMDLG ยังไต่อันดับขึ้นไปถึงอันดับ 2 บนชาร์ต Billboard 200 ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุดในประวัติศาสตร์สำหรับอัลบั้มภาษาสเปนทั้งหมดเหล่านี้จึงเป็นเหมือนการย้ำให้ทุกคนได้เห็นว่า ตัวเขาสามารถทำทุกสิ่งได้สำเร็จ ทั้งการเรียกร้องในประเด็นทางสังคม ตลอดจนการนำอัลบั้มที่นำเสนอวัฒนธรรมท้องถิ่นไปสู่ระดับโลกได้
El Último Tour del Mundo – จากรถบรรทุกของครอบครัวสู่เวิลด์ทัวร์

ถ้าจะพูดถึงอัลบั้มสักชุดที่สะท้อนความเป็นคนรักครอบครัวของแบด บันนี่ได้มากที่สุด ก็คงต้องยกให้ El Último Tour del Mundo เพราะเพียงแค่ภาพปกก็ตอบทุกสิ่งแล้ว โดยภาพปกอัลบั้มนี้คือ รถบรรทุกกึ่งพ่วงที่มีคนยืนอยู่ด้านบน อยู่บนถนนที่ว่างโล่ง ท่ามกลางบรรยากาศที่ชวนให้นึกถึงโลกอนาคต
สำหรับแบด บันนี่ รถบรรทุกถือเป็นพาหนะที่สำคัญแก่ตัวเขาเป็นอย่างมาก เพราะทั้งพ่อ ลุง และปู่ของเขาเป็นคนขับรถบรรทุก แถมรถบรรทุกยังเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ตัวเขาหลงใหลเป็นอย่างมากด้วย ทำให้ตัวเขาตั้งใจว่ารถบรรทุกคันนี้จะต้องเป็นรถที่ปรากฏอยู่ในทัวร์คอนเสิร์ตระดับโลกของเขา ตามชื่ออัลบั้มที่แปลได้ว่า การทัวร์รอบโลกครั้งสุดท้าย ซึ่งมาจากการที่ตัวเขาจินตนาการถึงการทัวร์คอนเสิร์ตครั้งสุดท้ายของเขาในปี 2030
ภาพรวมของเนื้อหาเพลงและดนตรีของอัลบั้มนี้ จึงเน้นไปที่ความเศร้า ความคิดถึง และความโดดเดี่ยว ซึ่งต่างไปจากอัลบั้มก่อนหน้าที่เป็นเพลงสไตล์ปาร์ตี้ชันเจน มาจากช่วงเวลาที่ปล่อยอัลบั้มนี้ทั่วโลกต้องเผชิญกับสถานการณ์โควิด-19 ที่มันก็ได้กระทบต่อวงการดนตรีด้วยเช่นกัน แบด บันนี่จึงปล่อยอัลบั้มนี้ออกมาเพื่อหวังให้มันได้เติมเต็มความฝันและความรู้สึกช่วงกักตัวของหลายๆ คน
Un Verano Sin Ti – ฤดูที่หลากไปด้วยอารมณ์

Un Verano Sin Ti สตูดิโออัลบั้มชุดที่ 4 ของแบด บันนี่ กับการหวนคืนสู่ความสนุกสนานอีกครั้ง อัลบั้มที่มอบความรู้สึกเหมือนเรากำลังอยู่ในงานปาร์ตี้ริมชายหาดสักแห่งในฤดูร้อน ท่วงทำนองและดนตรีของเพลงต่างๆ ในอัลบั้ม ล้วนชวนให้เราอยากขยับร่างกายและโยกไปตามจังหวะของเพลง
ภาพปกอัลบั้มสะท้อนคอนเซ็ปต์ฤดูร้อนออกมาได้เป็นอย่างดี กับ ภาพหัวใจตาเดียวที่ดูเหมือกำลังเศร้าโศก ยืนอยู่บนชายหาดที่มีชีวิตชีวา พร้อมด้วยมหาสมุทรสีฟ้าอ่อน พระอาทิตย์ตกที่สดใส ต้นปาล์มที่พริ้วไหวรับลม โลมาที่กำลังกระโดดน้ำอย่างมีความสุข และดอกไม้สีชมพูที่ผลิบานบนชายหาด
ท่ามกลางฉากที่แสนสดใส หัวใจตรงกลางภาพกลับกำลังดูเศร้า ซึ่งเป็นสิ่งที่แบด บันนี่วาดเอาไว้ช่วงกักตัว และได้ส่งต่อไอเดียนี้ให้ เอเดรียน เฮอร์นานเดส (Adrian Hernandez) หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘Ugly Primo’ ออกแบบปกอัลบั้มต่อ จนได้ออกมาเป็นภาพปกอัลบั้มอย่างที่เราเห็นกัน
แม้ดนตรีและทำนองจะดูสนุกสนาน ทว่าเนื้อหาของเพลงในอัลบั้มนี้กลับหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น Dos Mil 16 ที่พูดถึงฤดูร้อนในปี 2016 ซึ่งเป็นฤดูร้อนสุดท้ายในฐานะคนธรรมดาที่ยังไม่ได้เป็นศิลปินแบบทุกวันนี้ เขาได้เล่นสนุกกับเพื่อนๆ และนึกถึงผู้หญิงคนหนึ่งที่เคยชอบ หรือกระทั่งเพลง El Apagón ว่าด้วยการพูดชมชายหาดในเปอร์โตริโกที่ทั้งสวยและยอดเยี่ยม เพลงนี้จึงเต็มไปด้วยเนื้อหาเชิงรักชาติและภูมิใจในบ้านเกิดของตัวเอง
Nadie Sabe Lo Que Va a Pasar Mañana – อีกก้าวของการเติบโตในฐานะศิลปิน

หลังจากปล่อยอัลบั้ม Un Verano Sin Ti ในช่วงปี 2022 ก็ถือเป็นปีทองของแบด บันนี่เลยก็ว่าได้ ทั้งการทัวร์คอนเสิร์ตทั่วโลก ตลอดจนการได้ขึ้นแสดงบนเวที Coachella หลังจากนั้นเขาก็ได้ตัดสินใจพักการทำเพลง จนนำไปสู่การตั้งคำถามจากแฟนๆ ว่า หลังจากนี้แบด บันนี่จะเป็นอย่างไรต่อ? กระทั่งเขาปล่อยอัลบั้ม Nadie Sabe Lo Que Va a Pasar Mañana หรือถ้าแปลเป็นภาษไทยจะหมายความว่า ไม่มีใครรู้ว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น ในปี 2023
Nadie Sabe Lo Que Va a Pasar Mañana มาพร้อมกับภาพปกอัลบั้มที่ตัวเขากำลังขี่ม้าในชุดสีน้ำเงิน ผลงานการออกแบบโดย แมตต์ แมคคอร์มิค (Matt McCormick) ภาพรวมของปกอัลบั้ม อาจกำลังสื่อถึงตัวของแบด บันนี่ในวัย 30 ที่กำลังเผชิญหน้ากับปัญหามากมายที่มาพร้อมกับความโด่งดังอย่างรวดเร็วในเวลาอันสั้น
ม้าจึงอาจหมายถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและปัญหาที่เจ้าตัวกำลังเผชิญอยู่ ส่วนตัวเองที่กำลังควบอยู่หลังม้าเป็นเสมือนตัวแทนของการอยู่เหนือปัญหาเหล่านั้น และยังคงเติบโตและก้าวต่อไปข้างหน้าในฐานะศิลปิน
Nadie Sabe ซึ่งเป็นเพลงเปิดอัลบั้ม ก็ได้สะท้อนถึงภาพรวมของทั้งชื่ออัลบั้มและปกอัลบั้มได้เป็นอย่างดี บอกเล่าความรู้สึกโดดเดี่ยวที่เกิดจากการมีชื่อเสียง อย่างในท่อน Siempre alguien te va a amar, y siempre alguien te va a odiar (แปลเป็นไทยว่า จะมีใครสักคนรักคุณเสมอ และจะมีใครสักคนเกลียดคุณเสมอ) ก็เป็นเหมือนการชวนให้แฟนเพลงได้ตั้งคำถามว่า การอยู่บนจุดสูงสุดของตัวแบด บันนี่ในฐานะศิลปิน ยังมอบความสุขและความสนุกให้กับเจ้าตัวอยู่หรือเปล่า
DeBÍ TiRAR MáS FOToS – ภาพถ่ายแห่งความทรงจำ

มาถึงอัลบั้มล่าสุดของแบด บันนี่ และเป็นอัลบั้มที่จุดประกายให้เราพาทุกคนมารู้จักกับศิลปินลาตินคนนี้กัน อย่าง DeBÍ TiRAR MáS FOToS อัลบั้มที่มีหน้าปกเป็นภาพถ่ายเก้าอี้ 2 ตัว ตั้งอยู่หน้าต้นกล้วย ภาพถ่ายที่ดูไม่มีอะไรนี้ กลับมีความหมายที่ลึกซึ้งกว่าทุกคนคิด
เก้าอี้พลาสติกซึ่งมักปรากฏในงานเลี้ยงตามบ้านของชาวลาติน ผู้คนในครอบครัวที่มักมานั่งพูดคุยและหัวเราะ ตลอดจนต้นกล้วย ซึ่งเป็นพืชที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของเปอร์โตริโก ภาพนี้จึงเป็นตัวแทนของการหวนนึกถึงผู้คนรอบตัวที่เจ้าตัวรัก
ส่วนเก้าอี้ที่ว่างเปล่านี้ ก็อาจชวนให้เราตีความถึงช่วงเวลาที่เราไม่มีผู้คนเหล่านี้อยู่ตรงนั้นแล้ว เหลือเพียงความทรงจำที่ยังคงอยู่ในภาพถ่าย สอดรับกับชื่ออัลบั้มอย่าง DeBÍ TiRAR MáS FOToS ที่แปลได้ว่า ฉันควรจะถ่ายรูปมากกว่านี้ จึงอาจเป็นการย้ำเตือนเราถึงการให้ความสำคัญกับช่วงเวลาที่มีคุณค่าทั้งกับ ครอบครัว เพื่อนฝูง หรือแม้แต่คนรอบตัวหลายคน ซึ่งมันอาจจะหายไปเมื่อไหร่ก็ได้ในอนาคต
นอกจากนี้ DeBÍ TiRAR MáS FOToS ยังเป็นเหมือนภาพแทนของการนำเสนอตัวตนและความเป็นเปอร์โตริโกของเจ้าตัวสู่สากล ดนตรีในอัลบั้มนี้ส่วนใหญ่มีการผสมผสานจังหวะเฮาส์และเสียงดนตรีแบบดั้งเดิมของชาวเปอร์โตริโกอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น NUEVAYoL ที่พูดถึงการต่อสู้เพื่ออัตลักษณ์ของชาวเปอร์โตริโก เนื้อเพลงสื่อถึงความไม่พอใจต่อการเปลี่ยนแปลงสู่ความทันสมัย ที่กำลังคุกคามองบ้านเกิดเมืองนอนของเขา หรือกระทั่ง Lo Que Le Pasó a Hawaii ที่วิพากษ์ปรากฏการณ์คนต่างถิ่นเข้ามาเปลี่ยนโฉม และผลักคนท้องถิ่นออกจากพื้นที่ของตน ซึ่งเป็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในเปอร์โตริโก ด้วยการเปรียบเทียบผ่านบริบทของฮาวาย
ถึงแม้แต่ละปกอัลบั้มนับตั้งแต่ X 100pre จนถึง DeBÍ TiRAR MáS FOToS จะมีธีมและคอนเซ็ปต์ที่แตกต่างกัน หากแต่จุดร่วมที่ทุกปกมีร่วมกันคือการทำหน้าที่เป็นภาพสะท้อนตัวตนและความเป็นแบด บันนี่ในช่วงเวลาต่างๆ ได้อย่างชัดเจนตลอดมา
อ้างอิงจาก