ยุคนี้เราต่างเป็นเจ้าของความบันเทิงได้ง่ายๆ แค่ปลายนิ้วคลิก
ถ้าอยากซื้อหนังในดวงใจเก็บไว้ดูสักเรื่องก็แค่เข้าไปเลือกเอาใน Apple TV ไม่ต้องซื้อแผ่นหรือต้องมีเครื่องเล่นดีวีดีติดบ้าน (เดี๋ยวนี้ใครยังมีอยู่บ้าง) ถ้าอยากเล่นเกม Steam และเครื่องคอนโชลต่างๆ ก็มีแพลตฟอร์มของตัวเองให้ผู้บริโภคอย่างเราสามารถจ่ายเงินและเล่นได้แทบจะทันที เพียงแค่ต้องรอเกมดาวน์โหลดสักหน่อย สำหรับนักอ่าน ถ้าไม่สะดวกก็ไม่จำเป็นต้องไปถึงร้านหนังสือ เพราะเดี๋ยวนี้ e-book ซื้อหาง่ายและอ่านได้สะดวก
อินเทอร์เน็ตและโลกออนไลน์มันทำให้ชีวิตเราง่ายขึ้นแบบนี้นี่เอง
แต่จะรู้สึกอย่างไร ถ้าวันหนึ่งหนังที่เราซื้อเก็บไว้ในคลังของ Apple TV กว่า 100 เรื่อง จู่ๆ ก็เกิดหายไปเหลือไม่ถึงครึ่ง หรือ e-book หนังสือเล่มโปรดที่เคยซื้อเอาไว้ แต่เมื่อกลับมาอ่านอีกครั้ง ดันมีเนื้อหาบางส่วนผิดแปลกไปจากที่จำได้?
ไม่นานมานี้เอง ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2025 ผู้ใช้งาน Kindle ที่ใช้สำหรับอ่านหนังสือ e-book ต้องเจอกับอุปสรรคอีกขั้นในการเข้าถึงและครอบครองหนังสือของตัวเอง เมื่อ Amazone ผู้ให้บริการตลาดหนังสือ e-book ที่ใหญ่ที่สุดของโลกและเป็นผู้ผลิต Kindle มีประกาศให้ระงับการดาวน์โหลดไฟล์หนังสือที่มีผ่าน USB และหลังจากนี้จะทำได้ผ่านระบบ Wifi เท่านั้น
เรื่องที่เกิดขึ้นอาจกลายเป็นเรื่องเล็กน้อย หากเทียบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับหญิงสาวชาวนอร์เวย์ในปี 2012 ในตอนนั้นเธอพบว่า Amazon ได้ลบหนังสือ e-book ทั้งหมดเคยซื้อไว้ออกไปจากคลังของ Kindle เป็นการถาวร และทั้งหมดนี้เกิดขึ้นโดยไม่การอธิบายและเธอไม่ได้ยินยอมเลยแม้แต่น้อย เป็นเธอเองที่ต้องส่งอีเมลถึงบริษัทเพื่อถามถึงเหตุผล รวมถึงยื่นเรื่องให้ได้หนังสือทั้งหมดกลับคืนมา
ไม่ว่าจะเพลง หนัง หรือเกม การครอบครองเนื้อหาดิจิทัล (digital content) นับว่าสะดวกสบายขึ้นเป็นกองเมื่อเทียบกับสิบหรือยี่สิบปีก่อน ทว่ามันก็แลกมาด้วยข้อจำกัดที่ต่างไปจากการซื้อของที่หยิบจับได้เป็นชิ้นเป็นอัน
เพราะ ‘การซื้อ’ อาจไม่ได้หมายถึง ‘การเป็นเจ้าของ’ (ownership)
การซื้อ ที่เหมือนไม่ซื้อ
อันดับแรกต้องย้ำให้ชัดก่อนว่า เรากำลังพูดถึงเฉพาะเนื้อหาดิจิทัลในแง่ความบันเทิง (entertainment) เป็นหลัก เช่น หนังสือ เกม หนัง เพลง ในขอบเขตนี้ก็มักจะเป็นที่เข้าใจตรงกันคือ การซื้อ (buy/purchasing) สิ่งของที่เป็นกายภาพ เช่น ดีวีดีหนัง ซีดีเพลง หนังสือเป็นเล่มๆ ที่จ่ายเงินซื้อได้ตามห้างร้านนั้น เราที่เป็นคนซื้อจะมีสิทธิในการเป็นเจ้าของอย่างเด็ดขาดเมื่อได้มา
ในอีกกรณีหนึ่งที่ใกล้เคียงกับประเด็นที่กำลังกล่าวถึงคือบริการสตรีมมิ่ง (streaming service) เช่น การจ่ายค่าบริการดูหนังแบบรายเดือนบน Netflix, Apple TV+, Max, Disney+ หรือฟังเพลงบน Spotify และ Apple Music บริการประเภทนี้จะข่าย ‘การเช่า’ เพื่อเข้าถึงเนื้อหา และเชื่อว่าผู้ใช้งานรู้แต่แรกว่าไม่ได้มีสิทธิ์เป็นเจ้าของเนื้อหาบนแพลตฟอร์ม
มาถึงกรณีที่ชวนสับสนและน่าตั้งคำถามนั่นคือ การที่หลายแพลตฟอร์มมักใช้คำว่า ‘ซื้อ’ คล้ายกับผู้ใช้งานมีสิทธิ์เป็นเจ้าของเนื้อหาดิจิทัลนั้นไปตลอด เหมือนกับการซื้อของที่เป็นกายภาพจริงๆ เพียงแค่อยู่ในรูปแบบออนไลน์เท่านั้น เช่น การซื้อ e-book บน Amazon Kindle หรือในบ้านเราที่คนนิยมกันก็คือ meb, การซื้อหนังบน Apple TV และ Amazon Prime และซื้อเพลงบน iTunes
ทว่าเมื่อไปดูในข้อกำหนดในการให้บริการ (Term of Service) ของแต่ละผู้ให้บริการจะพบว่า ผู้บริโภคไม่ได้มีสิทธิ์เป็นเจ้าของสินค้าของบริการที่ตัวเองซื้อไปจริงๆ แต่คือการจ่ายเพื่อให้ได้ ‘สิทธิ์ในการเข้าถึง’ หรือ ‘license’ ของเนื้อหาเหล่านั้น
เพื่อให้เห็นชัด ขอตัวอย่างข้อกำหนดในการให้บริการบางส่วนมาให้ดูกัน
- Steam
“[…] คุณได้รับอนุญาตให้เข้าถึงตัวเกม รวมถึงได้รับทราบว่าไม่มีการโอนกรรมสิทธิ์หรือความเป็นเจ้าของในตัวเกมให้แก่คุณ และข้อกำหนดเหล่านี้ไม่ควรตีความว่าเป็นการขายสิทธิใดๆ ในตัวเกม […]”
([…] “The Game is being licensed to you and you hereby acknowledge that no title or ownership in the Game is being transferred or assigned and these Terms should not be construed as a sale of any rights in the Game.” […]) - Apple
“โดยทั่วไปแล้ว คอนเทนต์ที่ซื้อแล้วจะยังคงพร้อมให้คุณดาวน์โหลด ดาวน์โหลดซ้ำ หรือเข้าถึงได้จาก Apple แม้ว่าไม่น่ามีโอกาสเกิดขึ้นก็ตาม แต่คอนเทนต์อาจถูกลบออกจากบริการของเราและไม่มีให้ดาวน์โหลดหรือเข้าถึงจาก Apple อีกต่อไป (เช่น เพราะ Apple เสียสิทธิ์จากผู้ให้บริการคอนเทนต์ในการทำให้คอนเทนต์พร้อมใช้บริการ) เพื่อให้แน่ใจว่าคุณจะสามารถเพลิดเพลินกับคอนเทนต์ต่อไปได้ เราขอแนะนำให้คุณดาวน์โหลดคอนเทนต์ที่ซื้อทั้งหมดลงในอุปกรณ์ที่คุณครอบครองและสำรองข้อมูลไว้” - Kindle
“เนื้อหาบน Kindle คือการได้รับอนุญาตให้ใช้งาน มิใช่ขายให้แก่คุณโดยผู้ให้บริการ”
“[…] Kindle Content is licensed, not sold, to you by the Content Provider. […]”
- meb ที่แม้ในข้อกำหนดและเงื่อนไขการใช้บริการไม่มีระบุว่าการซื้อคือการได้รับสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของหรือการอนุญาตให้ใช้งานเนื้อหา แต่มีการระบุว่า “2.2 e-book ของบริษัทจะอยู่ในรูปแบบสิ่งพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ จึงไม่มีการจัดส่งเป็นรูปเล่มหรือเป็นไฟล์ข้อมูลต้นฉบับที่ไม่ได้ถูกเข้ารหัส DRM ไปให้ในทุกกรณี”
การติดประกาศคำว่า ‘ซื้อ’ บนหน้าสินค้าหรือบริการจึงน่ากังวล เพราะนั่นอาจทำให้ผู้บริโภคไม่ทันระวังและเข้าใจผิดไปว่า เราได้เป็นเจ้าของสินค้าหรือบริการชิ้นนั้นโดยสมบูรณ์ และเข้าใจว่าผู้ให้บริการไม่มีสิทธิเข้ามาดัดแปลงหรือถอดสินค้าหรือบริการนั้นออกจากคลัง
แน่นอนว่าความจริงไม่ได้เป็นแบบนั้น
หากวันใดวันหนึ่ง ผู้ให้บริการต้องการเปลี่ยนหน้าปก e-book หรือเปลี่ยนเวอร์ชั่นหนังจาก director cut ไปเป็นเวอร์ชั่นปกติก็ทำได้ทันที และยิ่งกว่านั้น หากผู้ให้บริการเสียสิทธิ์จากเนื้อหา หรือรัฐบาลไทยเกิดอยากแบน (ban) หนังเรื่องไหน หนังสือเล่มใดสักเล่มหนึ่ง ต่อให้จะซื้อเก็บไว้ก่อนจะเกิดเหตุ เนื้อหานั้นก็มีสิทธิอันตรธานหายไปจากการครอบครองของเราอยู่ดี
สิทธิ์ที่ต้องรักษา
ที่เล่าไปนั้นก็ไม่ใช่เพราะต้องแปะป้ายว่าผู้ให้บริการเป็นตัวร้ายของเรื่องแต่อย่างใด ในอีกแง่หนึ่งผู้ให้บริการคือคนทำหน้าที่ฝัง DRM (Digital Rights Management) ลงในสินค้าและบริการต่างๆ เพื่อปกป้องสิทธิทางปัญญาของเจ้าของผลงาน เพื่อป้องกันการทำซ้ำ ดัดแปลง หรือขายต่อ ที่อาจทำได้ง่ายกว่าในประเภทเนื้อหาดิจิทัล
หลายครั้งสิทธิ์ที่มีนั้นก็ไม่ใช่สิทธิ์โดยตรง ผู้ให้บริการเป็นเพียงแค่ตัวกลางเท่านั้น รวมถึงเมื่อดำเนินธุรกิจในแต่ละประเทศ ผู้ให้บริการก็จำเป็นต้องทำตามกฎหมาย ถ้าเสียสิทธิ์สื่อบันเทิงไหนไป หรือรัฐบาลมีประกาศให้หยุดจำหน่าย ผู้ให้บริการก็จำเป็นต้องทำตาม
ตัวผู้ให้บริการเช่น Amazon, meb หรือ Apple เองก็เป็นบริษัทที่ทำธุรกิจและต้องมีกำไร เมื่อการให้สิทธิ์เป็นเจ้าของอาจนำไปสู่การทำซ้ำหรือส่งต่อสินค้า การให้ผู้บริโภคได้รับเพียงสิทธิใช้งานที่จำกัดจึงเป็นการป้องกันการแชร์แอคเคานต์ (account sharing abuse) และสร้าง ecosystem ให้กับบริษัทไปในตัว
แล้วผู้บริโภคเลือกอะไรได้ไหม?
แต่ละคนมีเหตุผลของการซื้อเนื้อหาดิจิทัลต่างกันไป และการแก้ปัญหาก็อาจไม่ใช้การกลับไปซื้อสินค้าแบบเป็นชิ้นเป็นอันเสียทีเดียว บางคนอาจซื้อ e-book บน meb หรือ Kindle เพราะอยู่ในห้องคอนโดเล็กๆ ไม่มีพื้นที่พอจะเก็บหนังสือ บางคนซื้อเกมบน Steam เพราะไม่อยากเก็บตลับและแผ่นเกมที่สุดท้ายจะกลายเป็นขยะพลาสติกในอนาคต แถมลดโอกาสที่แผ่นเกมจะเสียหายจนเล่นไม่ได้
และต้องยอมรับว่าเนื้อหาดิจิทัลสามารถเข้าถึงได้รวดเร็วกว่า และในหลายๆ ครั้งมีราคาที่ถูกกว่า
ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีทางพัฒนาให้ดีขึ้น แน่นอนว่าในอันดับแรก ผู้บริโภคเองจำเป็นต้องเข้าใจสิทธิ์ที่ตัวเองมี และต้องระวังถึงการละเมิดลิขสิทธิ์เป็นทุนเดิม
สำหรับฝั่งผู้ให้บริการยังมีช่องว่างให้พัฒนาและปรับปรุงในอีกหลายส่วน เช่น
- ระบุสิทธิที่ผู้ใช้งานจะได้รับให้ชัดเจนขึ้นในหน้าสินค้า ตัวอย่างที่ควรปรับปรุงคือหน้าเว็บเพจซื้อหนังสือของ Amazon ที่มีข้อความเล็กจิ๋วระบุว่า “By placing your order, you’re purchasing a license to the content and you agree to the Kindle Store Terms of Use” ซึ่งสามารถเน้นให้ชัดเจนขึ้นได้
- การเปลี่ยนไปใช้คำที่แสดงถึงสิทธิ์ที่จะได้รับต่อตัวสินค้าและบริการ ตัวอย่างที่ดีสำหรับกรณีนี้ก็เช่น Apple Store และ Windows Store ที่เปลี่ยนจากคำว่า ‘ซื้อ’ (buy) เป็นคำว่า ‘รับ’ (get)
- มีทางเลือกให้ผู้ใช้งานยอมรับ/ไม่ยอมรับ หากมีการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาในสินค้าหรือบริการที่ซื้อไปแล้ว รวมถึงมีตัวเลือกเพื่อขอเงินคืน
- อาจมีข้อตกลงที่อนุญาตให้สามารถย้ายสิทธิ์ไปยังผู้ให้บริการอื่นได้ หากผู้ให้บริการเดิมล้มละลายหรือมีเหตุให้ต้องปิดบริษัท
ย้อนกลับไปสมัยที่โลกเพิ่งรู้จักกับอินเทอร์เน็ตใหม่ๆ น่าทึ่งที่ว่าในช่วงแรกของการมาถึง ผู้คนต่างจินตนาการกันว่าอินเทอร์เน็ตคือเทคโนโลยีสำคัญ ที่จะนำเราไปสู่อนาคตที่ทุกคนสามารถเข้าถึงข้อมูล ข่าวสาร และความบันเทิงต่างๆ ได้อย่างอิสระ ไม่มีกำแพงกั้น บ้างก็ว่าอินเทอร์เนอาจนำพามนุษย์ไปสู่ยุคไซเบอร์ยูโทเปีย
มาถึงวันนี้ การจินตนาการว่าอินเทอร์เน็ตคือยูโทเปียคงเป็นความคิดที่เก่าไปแล้ว โลกออนไลน์ไม่ได้อิสระ เราไม่สามารถเข้าถึงได้ทุกอย่าง และบางครั้งการซื้ออะไรบางอย่างแบบดิจิทัล ไม่ได้แปลว่าเราจะเป็นเจ้าของมันจริงๆ
อ้างอิงจาก