“อยากมีความรู้ต้องอ่านหนังสือ” แต่ก่อนแต่ใดมา ใครๆ ก็บอกแบบนั้น
นับตั้งแต่อดีตนานมา ‘หนังสือ’ คือสื่อที่ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งความรู้ที่ดีที่สุด ด้วยความออริจินัลของเนื้อหาที่ผ่านการบรรณาธิการกิจมาเป็นอย่างดี กว่าจะหาข้อมูล กว่าจะเขียน กว่าจะวางเลย์เอาต์ กว่าจะพิมพ์ออกมาเป็นรูปเล่ม ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
หนังสือแต่ละเล่มส่วนมากจึงรับประกันได้ถึงความชัวร์ของเนื้อหาและคุณภาพ ชนิดที่สื่อใหม่อย่างคอนเทนต์ออนไลน์บางทีก็ยังเทียบไม่ได้ เพราะได้ถูกย่อยและดัดแปลงวิธีการเขียนและวิธีการเล่าให้เหมาะกับการอ่านในช่วงเวลาสั้นๆ มาแล้ว คนที่โตมากับหนังสือยังไงก็ต้องบอกว่า ความรู้ที่ได้จากหนังสือมาวินอยู่ดี
สำหรับบางคนที่ไม่ชอบอ่านหนังสือเลยสักนิดล่ะ จะเป็นเล่มหรือออนไลน์ก็ไม่ชอบอ่าน เห็นตัวหนังสือมาเป็นพรืดๆ เข้าหน่อยลมแทบจับ แต่ก็ยังอยากได้อยากมีความรู้รอบตัวหรืออยากมีชีวิตดีเหมือนคนที่ชอบอ่านหนังสือบ้าง จะเปลี่ยนไปดูไปฟังบางทีก็ตอบโจทย์ไม่ได้ทั้งหมด เราเลยอยากจะชวนคนที่ไม่ชอบอ่านหนังสือมาเริ่มต้นนิสัยรักการอ่านแบบง่ายๆ ด้วยคอนเทนต์สุดเอ็กซ์คลูซีฟที่รับประกันว่า สั้นกระชับ ไม่ต้องตั้งใจมากก็อ่านจบ และที่สำคัญอ่านแล้วชีวิตเปลี่ยนแน่นอน แต่ก่อนอื่นอยากให้พยายามอ่านบทความนี้ให้จบก่อนนะ ยิ่งอ่านยิ่งเกิดผลดีแน่นอน
อ่านเมนูอาหาร ยิ่งอ่านยิ่งอร่อย
เวลาที่แวะไปรับประทานอาหารร้านใหม่ที่ยังไม่เคยไปมาก่อน แน่นอนว่าเราไม่สามารถปฏิเสธการอ่านเมนูของร้านได้ เพราะเป็นเหมือนไฟต์บังคับที่ต้องเลือกเมนูที่อยากจะสั่งและดูราคาก่อน แต่รู้หรือไม่ว่า ร้านอาหารบางร้านที่พิถีพิถันใส่ใจในทุกรายละเอียด นอกจากอาหารที่ปรุงมาอย่างดีแล้ว สมุดเมนูของร้านก็ใส่ใจในการออกแบบไม่แพ้กัน เพราะนั่นหมายถึงหน้าตาของอาหารที่จะชี้ชวนให้เราอยากสั่งมาลองนั่นเอง ยิ่งร้านอาหารที่มีตำนานหรือมีชื่อเสียงมานาน แทบทุกร้านจะมีประวัติสั้นๆ ให้ได้อ่านกัน นับเป็นคอนเทนต์ที่บิลด์ความอินในการลิ้มรสอาหาร ยิ่งรู้ประวัติร้าน อาหารก็ยิ่งน่าอร่อย และที่สำคัญบางร้านจะมีแคปชั่นสั้นๆ ในแต่ละเมนูที่บอกถึงที่มาของวัตถุดิบชั้นเลิศ วิธีการปรุงด้วยความพิถีพิถัน เสิร์ฟด้วยความใส่ใจ ฯลฯ รับรองว่าแค่อ่านก็หิวแล้ว แต่ส่วนใหญ่เวลาเราสั่งอาหารเสร็จ พนักงานก็จะอนุญาตเก็บเมนูเพื่อจะได้ไม่เกะกะโต๊ะ ลองยิ้มๆ แล้วบอกไปว่า ขอเก็บไว้อ่านก่อนนะ เผลอๆ อ่านแล้วอินจนอยากสั่งเพิ่มอีกเมนูก็ได้
อ่านฉลากข้างผลิตภัณฑ์ ยิ่งอ่านยิ่งดีต่อสุขภาพ
นับเป็นหนึ่งในการรณรงค์ที่เน้นย้ำกันเสมอมา โดยเฉพาะเรื่องการอ่านฉลากข้างผลิตภัณฑ์ยารักษาโรคต่างๆ เพื่อช่วยป้องกันการใช้ยาผิดประเภทหรือยาหมดอายุ แต่ปัจจุบันน่าจะแอดวานซ์ไปกว่านั้น นั่นคือการรณรงค์ให้อ่านข้อมูลโภชนาการที่ปรากฏอยู่บนผลิตภัณฑ์อาหารทุกชนิด ว่าประกอบไปด้วยสารอาหารอะไรบ้าง ให้พลังงานกี่แคลฯ เพื่อที่จะได้ไปเบิร์นออกให้พอดีกับที่กินเข้าไป มีประโยชน์สุดๆ สำหรับคนรักสุขภาพ แต่สำหรับคนทั่วไป การอ่านข้อมูลทั่วไปอย่างส่วนประกอบว่าผลิตมาจากอะไรก็เป็นความรู้อย่างหนึ่ง ว่าขนมที่กินๆ อยู่นี่ใส่ผงชูรสเยอะนะ แถมมีสารกันบูดอีก หรือที่ได้ความรู้มากไปกว่านั้น คือสถานที่ผลิตว่าผลิตมาจากที่ไหน ไม่แน่อาจพบว่า อ๋อ ผลิตจากโรงงานใกล้บ้านที่ปล่อยมลพิษสู่ชุมชนนี่เอง ปลุกกระแสอุดหนุนเฉพาะแบรนด์ที่รับผิดชอบต่อสังคมได้เฉย
อ่านใบเสร็จ ยิ่งอ่านยิ่งคุ้ม
สำหรับใครที่เป็นสายรอบคอบคงไม่พลาดที่จะเช็คความถูกต้องของใบเสร็จที่เพิ่งจ่ายเงินไปอยู่แล้ว แต่สำหรับสายขี้เกียจ รับใบเสร็จปุ๊บคงขยำทิ้งลงถังทันที อยากให้ใจเย็น อย่าเพิ่งทิ้ง เพราะใบเสร็จสมัยนี้ไม่ได้ฟังก์ชันไว้สำหรับบอกรายละเอียดของรายการชำระเงินเท่านั้น ยังมีฟังก์ชันลับที่ซุกซ่อนโปรโมชั่นต่างๆ ของร้านค้าไว้ด้วย โดยเฉพาะพวกร้านสะดวกซื้อหรือห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ ก่อนจะทิ้งลองหยิบมาอ่านดูสักนิด แล้วจะพบกับส่วนลดที่ช่วยประหยัดเงินของเราไปได้มากโข อย่างสิทธิ์แลกซื้อของราคาพิเศษในครั้งหน้า เป็นส่วนลดเปอร์เซ็นต์สำหรับใช้ช็อปสินค้า หรือพีคสุดคือเมื่อซื้อของครบจำนวนตามเงื่อนไข สามารถนำใบเสร็จไปแลกของสมนาคุณแบบฟรีๆ ได้อีกด้วย
อ่านป้ายโฆษณา ยิ่งอ่านยิ่งคม
ใครที่เคยคิดว่าป้ายโฆษณาบิลบอร์ดตามท้องถนนเป็นสิ่งที่น่ารำคาญสายตา อยากให้ลองพลิกมุมมองดูสักนิด โอเคว่าเราอาจจะไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายที่เมื่อเห็นป้ายโฆษณาเหล่านั้นแล้วจะอยากไปซื้อสินค้า แต่ถ้าลองสวมวิญญาณการอ่านแบบนักการตลาด ไม่ได้อ่านแบบเป็นลูกค้าที่จะไปซื้อของ จะพบว่าป้ายโฆษณาเหล่านี้คือแหล่งเรียนรู้ชั้นดีของวิชา Copywriting เพราะถ้อยคำสั้นๆ หรือสโลแกนที่กระแทกสายตาเราอยู่นั้น ได้ผ่านการคิดและสร้างสรรค์มาอย่างดีแล้วว่าจะสามารถโน้มน้าวลูกค้าให้อยากไปซื้อสินค้านั้นๆ ได้ ในแวดวงโฆษณาเลื่องลือกันว่า การเขียนสั้นๆ แต่โดนใจ เขียนยากกว่าแบบยาวๆ หลายเท่านัก ลองเก็บเข้าเป็นคลังคำชั้นเลิศที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้กับการเขียนในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่ตั้งสเตตัสเฟซบุ๊ก โพสต์ทวิตเตอร์ ไปจนถึงสร้างคำคมเก๋ๆ เป็นของเราเองก็ยังได้
อ่านฉลากเบอร์ 5 ยิ่งอ่านยิ่งประหยัด
หลายคนคงคุ้นเคยกับฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 ที่ติดอยู่ตามเครื่องใช้ไฟฟ้าเป็นอย่างดี เพราะสมัยนี้ยี่ห้อไหนๆ ก็มีติดเหมือนกันหมด แต่จริงๆ แล้วแค่มีฉลากอาจยังไม่ได้การันตีว่าเครื่องใช้ไฟฟ้านั้นๆ ประหยัดไฟได้มากที่สุด เพราะข้อมูลที่อยู่บนฉลากสามารถบอกรายละเอียดได้ตั้งแต่ค่าประสิทธิภาพ ค่าการใช้พลังงานและค่าไฟต่อปี ซึ่งสามารถนำไปเปรียบเทียบกับเครื่องใช้ไฟฟ้ารุ่นใกล้เคียงกันของยี่ห้ออื่นได้ (ค่าไฟยิ่งน้อยยิ่งประหยัด)
ถ้าอ่านแล้วเห็นว่ายี่ห้อไหนทำตัวเลขได้ยอดเยี่ยมมากกว่าก็การันตีได้ว่าประหยัดค่าไฟได้มากกว่า สามารถตัดสินใจซื้อได้แบบไม่ต้องลังเลเลย ยิ่งอ่านยิ่งประหยัดจริงๆ