เชื่อว่าหลายคนคงคิดถึงสามสาว Jelly Rocket กับความเป็นดรีมป๊อปและอิเล็กทรอนิกส์ร็อคของพวกเธอ ซึ่งถึงแม้ตอนนี้แต่ละคนจะแยกย้ายกันไปเติบโตในเส้นทางที่แตกต่างกัน แต่ก็ไม่ได้แปลว่าพวกเธอจะหายไปไหน เพราะแต่ละคนก็ยังคงมีผลงานที่สะท้อนการเติบโตหลังจากนั้น ออกมาให้พวกเราเห็นกันอยู่เรื่อยๆ
เช่นเดียวกับ ภัค―ณภัค นิธิพัสกร อดีตมือคีย์บอร์ด ที่ขณะนี้เธอก็กำลังมีโปรเจ็กต์เดี่ยวของตัวเอง ในนาม fluffypak โดยวันนี้เราก็ได้นั่งคุยกับภัคในบรรยากาศสบายๆ ที่เหมือนเพื่อนมานั่งจับเข่าคุย ถามไถ่กันเรื่องการทำเพลงเดี่ยว ความเปลี่ยนแปลงในชีวิตแชปเตอร์ใหม่ และไลฟ์สไตล์ที่บ่งบอกถึงความภัค ก่อนจะซ้อนมอไซเตอร์ไปซื้อกาแฟด้วยกันหลังสัมภาษณ์จบ
คำถามแรกเลย ภัคเป็นใคร แล้วทำไมต้อง fluffypak?
ชื่อวงก็ชื่อ fluffypak เราก็คือ ภัค (หัวเราะ) เรียนจบจากมหาวิทยาลัยมหิดล เอกเปียโนแจ๊ส ปกติเราเล่นคีย์บอร์ด แต่พอมาทำเดี่ยวก็เลยร้อง ส่วนที่มาของชื่อวง พอดีเราเคยมีวงที่ไปแข่งตอนเด็กๆ ที่ชื่อ fluffyfox เหมือนในการ์ตูนเรื่อง Despicable Me มีน้องคนนึงที่บอกว่า Unicorn is so fluffy แล้วมันน่ารัก เราก็เลยเอามาบวกกัน
อัลบั้มที่แล้ว Daydream Blue ส่วนใหญ่มีแต่เพลงเศร้า พอมาเพลงใหม่นี้ ‘แอบมอง’ เป็นเพลงน่ารักๆ แปลว่าอัลบั้มใหม่จะมีสดใสมากขึ้นหรือเปล่า?
เราคิดว่าทุกคนอาจจะโดนหลอกอยู่ (หัวเราะ) ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันจะสดใสขึ้นขนาดนั้นมั้ย แต่เราอาจจะคิดว่าไม่ ด้วยคาแรคเตอร์ของเราเองที่ชอบทำเพลงเศร้าซะส่วนใหญ่ แต่คิดว่าเพลงนี้เป็นการเริ่มต้นแชปเตอร์ใหม่แล้วกัน
มีเหตุผลมั้ยว่าทำไมเราถึงชอบทำเพลงเศร้ามากกว่า?
เพราะเรามักแต่งเพลงตอนที่เศร้า ส่วนใหญ่ตอนที่มีความสุขเราออกไปข้างนอก ไปกินบุฟเฟ่ต์
ไม่แน่เราอาจจะมีเพลงเกี่ยวบุฟเฟ่ต์ก็ได้
(หัวเราะ) ก็ได้นะ เดี๋ยวไว้เราจะลองดู
กลับเข้าเรื่องกันดีกว่า เพลง ‘แอบมอง’ มีที่มายังไง ใช่ประสบการณ์ส่วนตัวหรือเปล่า?
เพลงนี้เป็นเพลงที่พูดถึงช่วงยุค PM2.5 ที่จากปกติแล้วเราไม่เคยจะต้องใส่หน้ากาก ต้องมาใส่หน้ากากตลอดเวลา ทำให้เรารู้สึกว่ามันทำให้คนโสดมีชีวิตที่ลำบากในการที่จะหาแฟน เพราะมันจะส่องกันยากขึ้น ก็เลยต้องแอบมองกันไปก่อน
ใน MV จะมีฉากบนรถไฟฟ้า แล้วเราก็เห็นคนแอบปิ๊งกันบนรถไฟฟ้าบ่อยมาก ภัคเคยมีคนแอบมองหรือแอบมองใครบนรถไฟฟ้าบ้างมั้ย? (ถามงี้แล้วแอบดูน่ากลัวจัง)
ไม่ชัวร์เลยอะ ถ้าเขาแอบมอง แปลว่าเราก็ต้องไม่รู้ตัวสิ (หัวเราะ) แต่เราจะไม่ชอบสบตาใครอยู่แล้ว เพราะกลัว
ในอัลบั้มก่อนมีเพลงที่ติดหูคนฟังหลายคนอยู่เพลงหนึ่ง นั่นก็คือเพลง ‘ได้ไหม’ ทั้งเนื้อร้อง ดนตรี และ MV คือเศร้ามาก เป็นอีกเพลงที่เราก็สนใจที่มาเหมือนกัน
เพลงนี้เหมือนยก fact sheet ของความรักมาวางให้ดูเลยว่า การที่เรารักใครสักคน มันอาจจะไม่ได้มีเหตุผลอะไร เราก็แค่รักเขา หรือการที่เขาไม่ได้รักเรา ต่อให้เราทำอะไร ให้ไปเท่าไหร่ มันก็จะไม่เกิดผลเหมือนกัน เราคิดว่ามันเป็นความจริงที่พบได้ในความสัมพันธ์
ตั้งแต่ออกมาทำเพลงคนเดียว เราคิดเรื่องดนตรีเองหมดเลยใช่มั้ย?
ใช่ค่ะ ในส่วนดนตรีก็จะมีส่วนประกอบของเสียงซินธ์หรือเสียงสังเคราะห์ซะส่วนใหญ่ เราก็ใช้คีย์บอร์ดที่มีอยู่มาแต่ง
ทำไมเราถึงเลือกวางตัวเองในแนวดนตรีแบบซินธ์?
ตั้งแต่เด็กๆ แล้ว เราชอบเพลงแบบอิเล็กโทรนิกส์ที่มันมีเสียงซินธ์ผสม เราเข้าใจว่าชีวิตช่วงวัยเรียนของตัวเองน่าจะอยู่กับเปียโนมาเยอะแล้ว มันเลยโหยหาสิ่งอื่นบ้าง
พอต้องทำเพลงคนเดียว เห็นความแตกต่างหรือความท้าทายอะไรบ้าง เมื่อเทียบกับตอนที่ยังอยู่ในวง Jelly Rocket?
เราว่ามันทำให้เราต้องเป็นคนตัดสินใจอะไรมากขึ้น ซึ่งปกติเราจะไม่เก่งเรื่องการตัดสินใจเท่าไหร่ เป็นคนเลือกอะไรก็จะเลือกนาน แต่พอมาทำตรงนี้ เราก็ต้องมีความเป็นผู้นำมากขึ้น เพื่อที่จะได้ทำงานร่วมกับเพื่อนๆ นักดนตรีคนอื่นที่มาช่วยเล่นให้เรา
แล้วในส่วนของเครื่องดนตรีชนิดอื่นๆ เราเป็นคนดีไซน์เอง หรือให้คนอื่นๆ ช่วยดีไซน์ด้วย?
ก็มีทั้งสองอย่างค่ะ มีทั้งแบบที่เขาช่วยด้วย แล้วบางทีเราก็บอกว่าเราอยากได้ประมาณนี้ เขาก็จัดมาให้เลย
เราเห็นภัคไปเล่นให้กับวง Kopycat ด้วย คือไปเป็นแบ็คอัพให้ชั่วคราวหรอ?
ใช่ค่ะ เราไปช่วยเล่นเป็นแบ็คอัพให้เขา ส่วนใหญ่ถ้าเขามีงานเราก็ไปเล่นด้วย
พอเราเคยเป็นนักดนตรีในวงที่มีชื่อเสียงมาก่อน รู้สึกกดดันกับตัวเองหรือเปล่า หรือมีใครมาคาดหวังอะไรในตัวเรามั้ย?
ความจริงตอนที่เราเริ่มทำ fluffypak มันเหมือนเราแค่รู้สึกอยากทำ เพราะเราเป็นคนชอบทำเพลง พอวงมันหยุดไป เราก็รู้สึกว่ายังอยากทำเพลงอยู่ดี เราเลยทำเพราะเราอยากจะทำมากกว่า เรื่องความคาดหวังมันก็เลยอาจจะไม่ได้มากขนาดนั้น เหมือนขอแค่มีพื้นที่ได้ทำเพลง และปล่อยเพลงที่เราอยากจะทำต่อ
ถ้าเป็นคนรอบข้างหรือแฟนคลับล่ะ เขาคาดหวังมั้ยว่าเราจะต้องเป็นเหมือนตอนที่ยังทำวงอยู่?
ไม่นะคะ ไม่มีเลย (ยิ้ม)
จากตอนนั้นถึงตอนนี้ เราต่างไปจากเดิมยังไงหรือเห็นการเติบโตอะไรในตัวเองบ้าง?
เราโตขึ้นเยอะเลย พอมาทำคนเดียว เราจะต้องจัดการทุกอย่างเอง ดูแลทุกส่วน ต้องมีความรับผิดชอบที่มากขึ้น มันคืองานเดี่ยวของเราใช่มั้ย ถ้าเราไม่ทำ มันก็จะไม่เกิด เราก็จะต้องทำ ทำ ทำ ทำ แต่เรื่องนั้น อย่างที่บอกว่าเราทำเพราะเราอยากจะทำอยู่แล้ว มันเลยไม่ได้รู้สึกยากขนาดนั้น แล้วพอมีเพื่อนๆ ซัพพอร์ตที่น่ารักด้วย ก็เลยไปได้ดี
ตอนที่ยังทำวง เราเป็นแค่นักดนตรี เล่นดนตรีเฉยๆ แต่ตอนนี้เราต้องร้องเองทั้งหมดเลย ออกมายืนตรงกลางข้างหน้า ซึ่งเป็นจุดเด่นมากๆ รู้สึกเขินมั้ย?
เขินนนนนนนนนนน เราไม่ชินเลย มากๆ สุดๆ เลย ตอนนี้ก็ยังไม่ชิน เราไม่ค่อยชอบสบตาคนใช่มั้ย แต่ถ้าเป็นนักร้อง ส่วนใหญ่จะต้องมี eyes contact กับคนดู เราเลยไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่ แต่เราคิดว่าถ้าได้ร้องเพลงที่เราทำ แล้วมีคนชอบเพลงนั้นไปด้วยกัน เราว่าแค่นั้นเราก็แฮปปี้แล้ว
แล้วเรามีวิธีบูสต์ความมั่นใจขึ้นมายังไงบ้าง?
มีเพื่อนๆ แบ็คอัพนักดนตรีนี่แหละช่วยเชียร์อยู่ข้างหลัง แล้วเรามีทีมที่ดีด้วย มันก็เลยอุ่นใจมากขึ้น
หลังจากนี้มีความคิดอยากจะทำวงอีกมั้ย?
เคยคิดว่าอยากจะมีเป็นโปรเจ็กต์บ้างเหมือนกันนะ แต่ก็ยังไม่ได้วางแพลนกับมันมากมาย เพราะแค่ของตัวเองตอนนี้ก็เหนื่อยแล้ว
ถ้ามีโปรเจ็กต์จริงๆ อยากดึงใครมาร่วมบ้าง?
ก็มีพี่ๆ นักร้องที่สนิทอยู่ อย่าง มู่ The Kopycat หรือพาริม (Parim) ก็สนิทกัน ความจริงก็มีรุ่นน้องที่เคยเรียนมาด้วยกัน แล้วเขาร้องเพลงด้วย เราเลยรู้สึกว่าอยากให้เขาได้มาทำเพลงร้องด้วยกัน
ภัคเริ่มมีความฝันทางด้านดนตรีตั้งแต่เมื่อไหร่?
โห ต้องย้อนไปไกลมาก ตั้งแต่ตอนเด็กๆ ที่เรียนเปียโน จริงๆ เราโดนบังคับให้ไปเรียน แต่พอถึงจุดนึง ประมาณป.6 เราได้ไปแข่งเปียโนแล้วเข้ารอบ ไม่ได้ได้รางวัลอะไรหรอก แต่เริ่มรู้สึกว่าชอบดนตรีเข้าให้แล้ว แล้วพอตอนม.3 มันมีมหิดลดนตรี เหมือนในหนังเรื่อง Season Change ถ้าใครทัน เราก็เลยคิดว่าจะไปเรียนม.ปลายทางด้านดนตรีเลย แต่ตอนนั้นไปเรียนเปียโนคลาสสิกก่อน แล้วเหมือนเราอยากทำวง ก็เลยเริ่มๆ แข่งนู่น แข่งนี่ ตั้งแต่ตอนนั้น
ถือว่าเป็นคนที่รู้ตัวเองเร็วมั้ยนะ?
เราว่าเร็วนะ
สมัยเด็กๆ พ่อแม่หลายคนจะชอบจับลูกไปเรียนพิเศษหลายอย่างเพื่อหาความชอบ ก่อนจะรู้ว่าเราชอบดนตรี เราเคยเรียนพิเศษอย่างอื่นมั้ย?
เราเคยเรียนวาดรูปนะ แต่ก็ไม่ได้จริงจังอะไรขนาดนั้น ส่วนกีฬาอย่าได้พูดถึง ไม่ได้เลย (หัวเราะ)
แล้วนอกจากการเป็นนักดนตรี เรามีความสนใจกิจกรรมอื่นๆ อีกบ้างมั้ย?
ถ้างานอดิเรกเราก็อาจจะเหมือนคนทั่วๆ ไป ดูหนัง ดูซีรีส์ แต่ตั้งแต่ยุคโควิด เราชอบทำขนมมากขึ้น รู้สึกว่าสนุกดี แล้วก็เล่นเกม ช่วงนี้ติด ROV แล้วก็กำลังรอ Monster Hunter ออกอยู่
เห็นว่าชอบอ่านการ์ตูนด้วยใช่หรือเปล่า เรื่องไหนคือเรื่องโปรด?
ชอบค่ะ ชอบอ่าน Attack on Titan แต่บางเรื่องจะชอบดูมากกว่า อย่างโคนันนี่ชอบมาก ดูมาตั้งแต่สมัยเด็กๆ ตอนกินข้าวก็จะเปิดดูตลอด แต่ถ้าเป็นการ์ตูนต่อสู้เราจะชอบอ่านมากกว่า เพราะเหมือนในอนิเมะ ฉากต่อสู้มันจะนานมาก อย่างตอนเด็กๆ เราชอบอ่านนารูโตะมาก พอไปดูในเอนิเมะ ฉากต่อสู้มันยืนจ้องตากันนานไปหน่อย แต่ล่าสุดดู Demon Slayer รู้สึกว่าเป็นอนิเมะที่สวยดี แล้วก็ไปดูในโรงด้วย เขินจัง
อะไรพวกนี้ที่เราดู ที่เราอ่าน มันกลายมาเป็นแรงบันดาลใจอะไรให้ชีวิตมั้ย?
เราว่าก็เกี่ยวนะ จะเป็นในเรื่องของแนวคิดมากกว่า ที่เราหยิบไปใช้จากสิ่งที่เราอ่าน
สมมติถ้าเราได้เป็นนักดนตรีต่างประเทศ 1 วัน อยากเป็นนักดนตรีประเทศไหน?
อังกฤษค่ะ เพราะเราชอบวงจากประเทศอังกฤษหลายวง ตอนเด็กๆ อยากไปเล่นที่ Glastonbury อะไรแบบนี้นะ แต่หลังๆ มานี้ก็ไม่ได้อยากไปเที่ยวเท่าไหร่ เห็นเพื่อนไปมา เปียกฝนลุยโคลน น่าจะเหนื่อย
ช่วง COVID-19 หลายคนดูจะหมดแรงบันดาลใจในการทำเพลง เขียนเพลง แล้วภัคเป็นแบบนั้นเหมือนกันมั้ย แล้วเอาตัวเองกลับมาในแทร็คเดิมได้ยังไง?
ปีที่แล้วคือปีที่เราหยุดทำเพลงไป 1 ปีเลย มันคงไม่ได้มีเรื่องเล่ามากล่ะมั้ง เพราะว่าเราไม่ได้ออกไปไหนหรือไปมีประสบการณ์อะไร อย่างเพลงแอบมอง ก็เป็นเพลงที่เราแต่งในช่วงปีก่อน ก่อนจะเกิดโควิด ก็เลยเอามาทำบ้าง ไม่ทำบ้างมาสักพัก จนเพิ่งมาพอใจในช่วงนี้
มีบทเรียนอะไรบ้างจากตอนทำวงที่เราเอามาใช้ในการทำเพลงเดี่ยว
อาจจะไม่ใช่หลังจากตอนทำวง แต่ตอนที่เราทำวง เราได้ประสบการณ์เยอะมาก นั่นทำให้เราเรียนรู้หลายๆ อย่าง พอเรามาทำคนเดียว เราก็เลยรู้กระบวนการของมันอยู่แล้ว เหมือนเราไม่ได้เริ่มที่ศูนย์ขนาดนั้น
เวลาท้อใจ จะบอกตัวเองว่าอะไร
“ไปหาเพื่อน” (หัวเราะ) แค่ไปเจอ ไปกินขนมอร่อยๆ กันก็พอแล้ว ไม่นานมานี้พบว่าเล่นกับหมาก็ช่วยได้เยอะมาก
ไหนๆ เพลงแอบมองก็บ่งบอกความทุกข์ใจของคนโสดในยุคที่ต้องใส่หน้ากาก แล้วภัคมีคำแนะนำในการหาแฟนยังไงในช่วงนี้ ถ้าเรามองหน้ากันไม่ได้?
เราว่าถูกชะตากับใคร เดินเข้าไปคุยเลย (หัวเราะ) ต้องชอบกันจากภายใน จากทัศนคติก่อน ภายนอกก็ค่อยๆ ปรับๆ กันไป ไม่เห็นหน้าไม่เป็นไร ถ้ารู้สึกว่ามันใช่ มันก็ใช่