จะมีนักแสดงชายสักกี่คน ที่กล้ารับบทตุ๊ดก้ามปูให้เสียภาพลักษณ์ชายชาตรี และน้อยจนนับนิ้วได้ที่เข้าถึงบทบาทจนลือกันให้แซ่ดทั้งบ้านทั้งเมืองว่า ‘เป็นไม่เป็น!?’ แต่เขาคนนี้เลือกทำและทำได้ดีในระดับแจ้งเกิดในวงการบันเทิงได้อย่างสวยงาม แม้จะเป็นการแจ้งเกิดท่ามกลางกระแสวิพากษ์เรื่องเพศที่กำลังคุกรุ่นขึ้นทุกวันก็ตามที
“ใช่ ใช่มะ!”
เสียงหวีดแหลมพร้อมจริตจะก้านของผู้กล่าววลีข้างต้นที่เราเห็นผ่านซีรีส์ ไดอารี่ ตุ๊ดซี่ เมื่อหลายเดือนก่อนช่างตรงกันข้ามกับบุคลิกท่าทางของเขาคนเดียวกันที่เราสัมผัสอยู่ตรงนี้อย่างสิ้นเชิง
“ผมชอบผู้หญิง” เต๋อ—รัฐนันท์ จรรยาจิรวงศ์ ตอบพลางกลั้วหัวเราะ เมื่อเราโยนคำถามเปิดบทสนทนาถึงประเด็นที่ทำให้เขากลายเป็นชายใจหญิงในภาพจำของคนทั้งประเทศ ‘คุณเป็นตุ๊ดจริงหรือเปล่า ทำไมแสดงได้เนียนขนาดนั้น’ แน่ล่ะว่าใครที่รู้จักตัวละคร ‘คิมมี่’ ตุ๊ดก้ามปูออกสาวในเรื่องย่อมหลงคิดว่าเขาต้อง ‘เป็น’ ทั้งในและนอกจอ ด้วยท่าทางสะดีดสะดิ้งและอินเนอร์แบบมาเต็มไม่เม้มในทุกกริยาราวกับว่าเป็นธรรมชาติมากกว่าการแสดง
แต่ผิดถนัด แท้จริงแล้วถึงเต๋อจะเป็นหนุ่มเนี้ยบทุกกระเบียดแต่เขาก็ยืนยันว่าตัวเองชอบผู้หญิง ชอบมาตลอด และยังไม่มีวี่แววจะเปลี่ยนรสนิยมทางเพศเร็วๆ นี้ด้วย—ทว่าหากถามว่าเขาเป็น ‘ชายแท้’ หรือเปล่านั้น เต๋อกลับนิ่งคิดอยู่หลายอึดใจ ก่อนโยนคำถามกลับมาว่าชายแท้ในนิยามของเราคืออะไร ต้องเซอร์ไหม ต้องเป็นสุภาพบุรุษตลอดเวลา หรือต้องพูดจาวะโว้ยหรือเปล่า? เพราะเส้นแบ่งคำว่า ‘แท้ไม่แท้’ สำหรับเขามันเลือนรางจนยากจะหาคำอธิบาย
และแม้บทบาทในซีรีส์เรื่องใหม่อย่าง MELODIES OF LIFE ตอน คนไม่มีแฟน จะพลิกให้เขากลับมาเป็นชายทั้งแท่งผู้สนุกกับการมีสัมพันธ์กับผู้หญิงแบบไม่ผูกมัด แต่เต๋อก็ยืนยันว่านั่นอาจไม่ใช่นิยามของชายแท้แต่อย่างใด
เขาขยายความต่อว่าโลกนี้มันซับซ้อนเกินกว่าจะระบุว่าใครเป็นอย่างไรด้วยนิยามสั้นๆ อย่างหญิงชาย หรือจะตุ๊ด เกย์ เลสเบี้ยน ทอม ดี้ ก็เป็นนิยามที่แคบเกินกว่าจะใช้อธิบายรสนิยมหรือตัวตนของมนุษย์ด้วยเช่นกัน เต๋อเสริมว่าเขาเข้าใจความซับซ้อนดี เพราะอยู่กับมันมาตั้งแต่เกิด ‘เราเป็นพวกบุคลิกย้อนกลับ’ เขายกตัวอย่างถึงสมัยเด็กที่หากเพื่อนเลือกชอยส์เอเขาจะเป็นคนเดียวที่เลือกชอยส์บี และนิสัยเดียวกันนี้ที่ทำให้เขาต่อต้านระบบการศึกษาไทยอย่างสุดตัว
ก่อนเปรยว่าตัวเองอาจเป็นโรคที่รักษาไม่หาย—โรคของคนซับซ้อนที่พร้อมเดินสวนทางในสังคมอันแสนสับสน โรคที่คล้ายจะกลายเป็นภูมิคุ้มกันในวันที่เขาไม่เข้าใจโลก และบ่มเพาะให้เขากลายเป็นคนประหลาดแสนพิเศษ
“ขึ้นชื่อว่ามนุษย์แล้วซับซ้อนทั้งนั้น จะมากจะน้อยนั่นอีกเรื่อง” เขาสรุป ก่อนบทสนทนาของเราจะเริ่มงวดเข้าถึงประเด็นอ่อนไหวในระดับต้องลดเสียงเป็นกระซิบกระซาบเมื่อก้าวย่างถึงระนาบของเรื่องเพศ
คุณบอกผ่านสื่อมาตลอดว่าตัวเองไม่ได้เป็นตุ๊ดเหมือนคิมในซีรีส์ แปลว่าคุณเป็นชายแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์ใช่ไหม
เราว่ายุคปัจจุบันมันเดินทางมาไกลเกินจะระบุหรือจำกัดความหมายทางเพศแล้วล่ะ ยิ่งถ้าเรารู้จักมนุษย์จริงๆ แล้วเนี่ยจะรู้ว่ารสนิยมทางเพศมันเปลี่ยนได้ตลอด ในบางสังคมมนุษย์มีเพศสัมพันธ์กับสัตว์ด้วยซ้ำ แต่ถ้าถามถึงนิยามของคำว่าชายแท้สำหรับเราคงหมายถึงสไตล์ผู้ชายที่อยากจะเป็นมากกว่า คือเราอยากเป็นผู้ชายที่มีทั้งด้านแมนมากๆ แต่ก็ยังมีความอ่อนโยนอย่างผู้หญิงในตัวเอง อาจไม่ต้องสกปรก พูดจาโผงผาง หรือแสดงความเป็นชายออกมาตลอดเวลา แต่ควรมีวิธีการใช้ชีวิตที่ดี รู้จักกินรู้จักอยู่ มีสติปัญญาในการดำเนินชีวิต
ความเคลื่อนไหลทางเพศมีจริงไหมสำหรับคุณ ชายกับชายมีเซ็กส์กันโดยไม่เป็นเกย์ได้ไหม
เราว่ามันเกิดขึ้นได้ เอาจริงๆ ไม่มีความจำเป็นด้วยซ้ำว่าต้องเป็นตุ๊ดหรือเกย์ถึงจะมีเซ็กส์กับเพศเดียวกันได้ เพราะถ้าย้อนกลับไปต้นทางเนี่ย จะพบว่าสิ่งมีชีวิตทุกอย่างบนโลกถูกออกแบบมาให้ต้องสืบพันธุ์ ต่อมามนุษย์ถึงเรียนรู้ที่จะสนุกกับกลไกการสืบพันธุ์ว่าบางทีเราอาจไม่จำเป็นต้องมีเซ็กส์กันเพื่อมีลูกก็ได้ แต่ทำเพราะธรรมชาติมันออกแบบมาแล้วว่าระหว่างที่คุณกำลังจะถึงจุดสุดยอดและหลั่งน้ำเชื้อออกมา มันมีความสุข เราว่ามนุษย์เรียนรู้และเข้าใจเรื่องนี้นะ ไม่งั้นเราคงไม่ช่วยตัวเอง หรือดิลโด้ก็คงขายไม่ดี
แต่การเล่นบทตุ๊ดก้ามปูก็เสี่ยงกับการติดภาพจำอยู่ดีหรือเปล่า
ถ้าคุณเลือกเป็นนักแสดงไม่ว่าบทอะไรคุณก็ต้องเล่นให้ได้ จะเป็นตุ๊ด ขี้ไคล หรืออะไรก็ตามคุณก็ต้องเล่นได้ อีกอย่างคือการเล่นบทเป็นคิมในซีรีส์เรื่องนี้ช่วยเปลี่ยนมุมมองเรื่องเพศของเราเยอะมาก เพราะหนึ่ง ระหว่างถ่ายทำ (ปี 2015) เป็นช่วงเวลาที่โลกตื่นตัวเรื่องเพศแบบสุดๆ สังคมผลักให้เรากลับมาสำรวจความซับซ้อนทางเพศทั้งในตัวเองและคนอื่นอย่างเข้มข้นมาก และสองคือเราต้องเรียนรู้คาแรคเตอร์ตัวละครผ่านการคิดอยู่ตลอดว่าฉันอยากเป็นผู้หญิง ไม่ได้อยากเป็นตุ๊ด! (กระแทกเสียง) ก็นั่นแหละ มันทำให้เราเข้าใจเพศทางเลือกมากขึ้น
คุณดูอินกับการแสดงพอดูเลยนะ
เราเป็นพวกถ้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันเลยจะไม่ค่อยอยากทำเท่าไหร่ แต่พอมาเจอครูเงาะ (รสสุคนธ์ กองเกตุ) ถ่ายทอดการแสดงผ่านวิธีคิดเชิงจิตวิทยามาให้เราก็พบว่ามันสนุกมาก ยิ่งเอามาปรับใช้กับการแสดงหน้ากล้องแล้วมันโคตรเวิร์ก (หัวเราะ) แต่ถ้าย้อนกลับไปจริงๆ เราว่าความชอบด้านการแสดงน่าจะอยู่กับเรามานานแล้ว เพราะสมัยเรียนมหาวิทยาลัยก็เคยอยากเป็นผู้กำกับ อยากเข้ามาอยู่ในวงการภาพยนตร์ แต่ดันไปเลือกเรียนวิชาเอกโฆษณา
แล้วทำไมไม่เลือกเรียนภาพยนตร์ตั้งแต่แรก
มันเป็นจังหวะที่เราเพิ่งกลับจากเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่อิตาลี การเรียนก็ลูกผีลูกคนอยู่แล้ว ก็ยิ่งกลัวเอ็นทรานซ์ไม่ติดเข้าไปใหญ่ เลยตัดสินใจสมัครเรียนคณะนิเทศศาสตร์ สาขาโฆษณา ที่เอแบค แต่จนจบมาก็ไม่เคยทำงานวงการโฆษณาเลยนะ เคยแค่เล่นโฆษณานิดๆ หน่อยๆ ซึ่งก็ทำเพราะมันได้เงิน (หัวเราะ)
รู้มาว่าคุณเป็นพวกแอนตี้ระบบการศึกษาไทย เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมว่าจุดแตกหักมันเริ่มขึ้นจากตรงไหน
ต้องเล่าให้ฟังก่อนว่าโดยพื้นฐานแล้วเราเป็นคนเพี้ยน (หัวเราะ) มีตรรกะไม่ปกติ เป็นวิธีคิดที่ทางการแพทย์เรียกว่าตรรกะแบบย้อนกลับ (reverse logic) ทำให้คิดสวนทางกับคนอื่นอยู่ตลอดเวลา นี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เราไม่ประสบความสำเร็จกับการเรียนในระบบก็ได้ คือเคยได้เกรดเลวสุด 0.9 น่ะ แต่สุดท้ายก็เรียนจนจบปริญญา เพราะมาคิดดูแล้วแม่จ่ายเงินส่งเราเรียนไปเยอะมาก (ลากเสียง) อีกอย่างคือเรามาจากครอบครัวใหญ่ที่มีปมเรื่องการศึกษาด้วย ใบปริญญามันสำคัญกับเราในแง่นี้
แต่คุณก็ชอบดูหนัง อ่านหนังสือ แสดงว่ารักการเรียนรู้พอตัว แบบนี้แฮปปี้กับระบบการเรียนที่อิตาลีหรือเปล่า
แฮปปี้มาก คือระบบการศึกษาของที่นู่นมีวิธีคิดที่โตกว่าของเราเยอะ เช่น นักเรียนถามหรือแย้งสิ่งที่เห็นไม่ตรงกับครูได้ นักเรียนมีสิทธิ์ที่จะไม่เชื่อสิ่งที่ครูพูดก็ได้ถ้ามีเหตุผลพอ แต่สิ่งเหล่านี้ไม่มีทางเกิดขึ้นในระบบการศึกษาไทย เพราะเราจะโดนชอล์กปาหัว โดนครูตบหน้า แต่กลับกัน ที่อิตาลีเรานั่งบนโต๊ะเรียนคุยกับครูได้เลย สำคัญที่สุดคือกระบวนการเรียนรู้แบบนี้มันทำให้เราเป็นมนุษย์ เพราะมันช่วยลดทอนความเชื่อเรื่องผีสางอะไรพวกนี้ลงด้วย ทำให้เราเป็นคนมีเหตุผลกับการใช้ชีวิตมากขึ้น
ในประเทศที่เปิดกว้างเรื่องเพศอย่างอิตาลี (อิตาลีเพิ่งผ่านกฎหมายสมรสในเพศเดียวกันไปเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา) มีประเด็นเกี่ยวกับเพศทางเลือกอะไรน่าสนใจบ้าง
เราว่าเมืองไทยเปิดกว้างกว่าเยอะเลยนะ ตอนเราไปเรียนที่อิตาลีมีเกย์อยู่ในคลาสแค่คนเดียวเองมั้ง แต่ไม่มีใครไปล้อเขานะว่ามึงแม่งตุ๊ดว่ะ ก็ยอมรับว่ามันเป็นของมันแบบนั้น จบ เราว่าการยอมรับนับถือในความแตกต่างของบุคคลมันต้องอาศัยเวลาในการปลูกฝังกันนานมาก อย่างอิตาลีเป็นสังคมที่ให้ความสำคัญกับการศึกษาและปัญญา การเรียนรู้ที่จะเข้าใจ ยอมรับ และเคารพคนอื่นเลยงอกงามขึ้นมาได้ อันนี้เราไม่ได้พูดถึงการพัฒนาเพื่อความเท่าเทียมทางเพศด้วยนะ เพราะส่วนตัวเราว่าความเท่าเทียมไม่มีจริงหรอก ทั้งเรื่องเพศ ฐานะ หรือสติปัญญา ความเท่าเทียมเป็นมายาคติอย่างหนึ่งเท่านั้น สิ่งสำคัญคือคุณต้องยอมรับในสิ่งที่คนอื่นเป็นให้ได้มากกว่า
ถ้าการเรียกร้องความเท่าเทียมทางเพศเป็นเรื่องเอาต์ ตอนนี้มีประเด็นเกี่ยวกับเพศทางเลือกอะไรที่เราควรอิน
เราว่าเรื่องสิทธิทางกฎหมายน่ะสำคัญ เราว่าสำคัญกว่าการได้รับการยอมรับในสังคมด้วยซ้ำ อีกอย่างเราว่าประเทศไทยไม่ได้มีปัญหากับเรื่องการยอมรับหรือไม่ยอมรับเพศทางเลือกแล้ว แต่ปัญหามันอยู่ตรงเมื่อคุณเป็นเพศทางเลือก คุณมีแฟนอยู่ด้วยกัน ทำธุรกิจด้วยกัน มีสินทรัพย์ร่วมกัน พออีกคนตายหรือเลิกกันสิทธิทางกฎหมายในฐานะคู่ครองมันไม่มี
ที่ว่าเพศทางเลือกในไทยไม่มีปัญหากับการถูกยอมรับหรือไม่ยอมรับ คุณหมายถึงเพศทางเลือกที่เป็นชนชั้นกลางในเมืองหรือเปล่า คือต้องมีต้นทุนชีวิตประมาณหนึ่งถึงจะรอดพ้นการถูกเหยียด
ก็จริง แต่ถามว่ามันมีตัวอย่างของคนที่ไม่ได้เป็นชนชั้นกลางแล้วได้รับการยอมรับไหม ก็มี อย่างน้องม๊าเดี่ยว (อภิเชษฐ์ เอติรัตนะ—แฟชั่นดีไซเนอร์เพศที่สามผู้แจ้งเกิดจากผลงานการออกแบบเสื้อผ้าด้วยวัสดุท้องถิ่น ) เขาก็ไม่ได้มาจากครอบครัวร่ำรวย และเราเข้าใจว่าคนรอบตัวน้องเขาต้องเข้าใจโลกระดับหนึ่งเลยนะถึงยอมรับตัวตนน้องเขาได้ อีกอย่างการจะได้รับการยอมรับจากสังคมมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับกายภาพอย่างเดียว มันมีปัจจัยเสริมตั้งหลายด้าน ทั้งความสามารถ นิสัย อะไรอีกมากมาย
ตอนนี้คุณอายุ 32 แล้ว คิดไหมว่าตัวเองเริ่มต้นในเส้นทางสายการแสดงช้าไปหน่อย
ช้าว่ะ คิดว่าช้ามาตลอดเลย แต่เราไม่เคยคาดหวังด้วยมั้งว่าจะมีวันนี้เลยไม่กดดันเท่าไหร่ คือเราเคยอ่านหนังสือเรื่อง เพราะเป็นวัยรุ่นจึงเจ็บปวด ของคิมรันโด เขาพูดถึงเวลาบานของดอกไม้ ที่แต่ละดอกจะมีเวลาบานของมันเอง บางดอกบานหน้าร้อน บางดอกบานหน้าหนาว แถมระยะเวลาบานของแต่ละดอกก็ไม่เหมือนกัน บางดอกอาจเป็นปี บางดอกอาจแค่ไม่กี่วันก็เฉาแล้วก็บานขึ้นมาใหม่ เราว่าจังหวะแจ้งเกิดของนักแสดงก็คงคล้ายอะไรแบบนั้น
เริ่มต้นตอนอายุเท่านี้มันช่วยให้การเป็นนักแสดงง่ายขึ้นไหม ทำนองว่าคุณน่าจะรู้จักคาแรคเตอร์แบบต่างๆ มาเยอะพอสมควร
ง่ายขึ้น เราว่าถ้าเราเข้าวงการตอนอายุ 19 เราคงไม่ใช่คนนี้ หรือคงไม่ได้แจ้งเกิดจากบทนี้ การเข้ามาในวงการตอนอายุ 30 มันทำให้เรามีคุณวุฒิและวัยวุฒิมากพอจะไม่ระเริงไปกับแสงสีอีกแล้ว ไลฟ์สไตล์หลังจากดังขึ้นมาของเราเลยยังเหมือนเดิม ยังอ่านสิ่งที่อยากอ่าน กินสิ่งที่อยากกิน ยังสนใจเรื่องเดิมๆ แค่ทำงานหนักขึ้นเท่านั้นเอง
เข้าใจตัวละครขนาดนี้ตอนเข้าซีนนัวเนียกับผู้ชายยังรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่หรือเปล่า
แน่นอน แต่ผ่านมาได้ด้วยสมาธิล้วนๆ คือเราถือว่าการเป็นนักแสดงต้องเล่นได้ทุกบท ยิ่งซีรีส์ภาคใหม่ (ไดอารี่ตุ๊ดซี่ส์ภาค 2) มีเลิฟซีนกันผู้ชายในระดับฮาร์ดคอร์ยิ่งกระอักกระอ่วน
เกิดความรู้สึกกระอักกระอ่วนนี่นับว่าเหยียดไหม
เราว่ามันเกิดจากความไม่ชินมากกว่า คือเราไม่เคยจูบกับผู้ชายด้วยกัน มันก็เหมือนเราไม่เคยจูบงู ให้เราไปจูบงูเราก็คงจะกระอักกระอ่วน แต่ถ้าให้เราไปจูบหมาจูบแมวเราก็จูบได้สบายเพราะเราจูบมันจนชินแล้วไง แต่ถามว่าเราเกลียดงูไหม ก็ไม่ได้เกลียดหรอก
นอกจากงานแสดงแล้ว คุณยังยึดอาชีพพิธีกรมาได้เกือบสิบปี อาชีพนี้เย้ายวนคุณยังไง
เพราะมันมีงานเข้ามาให้เราทำอยู่เรื่อยๆ มันเลยอยู่มาได้ (หัวเราะ) ตอนแรกคิดไว้ว่าถ้าไม่มีงานเราคงต้องไปสมัครงานเอเจนซี่ ไปเป็นลูกน้องของเพื่อนสมัยที่เรียนโฆษณา แต่ไปๆ มาๆ มันก็อยู่ได้ อาจจะด้วยเราเลือกทำในสิ่งที่เชื่อ คือเป็นลักษณะรายการให้ความรู้ (Edutainment) ซึ่งมันสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของเรา คือเราชอบอ่าน ชอบกิน ชอบดู มันเลยมีเนื้อหามาเล่า ทีมงานเขาก็คงเลือกใช้เราเพราะรู้ว่าเรามีภูมิความรู้พอจะตอบโจทย์รายการแนวนี้
แล้วถ้าวันหนึ่งคุณไม่มีที่ทางในวงการบันเทิงหรือพิธีกรอีกแล้ว มีความหลงใหลด้านอื่นอีกไหม
อยากเขียนหนังสือ (เน้นเสียง) เพราะเราชอบอ่าน แต่ไม่เคยตั้งใจเขียนจริงจังหรอกนะ แค่เคยเขียนเรื่องสั้นเก็บไว้เมื่อนานมากแล้ว เป็นแนวลี้ลับคล้ายเรื่องสั้นของคุณสรจักร ศิริบริรักษ์ ซึ่งพอกลับไปอ่านตอนนี้ก็รู้สึกว่าถึงมันจะไร้สาระแต่ก็มีสไตล์ดีเหมือนกัน (หัวเราะ) เป็นเรื่องสั้นที่มีบรรยายกาศคล้ายภาพฝันประหลาดๆ มีกลิ่นอายศิลปะแบบ Dadaism
แล้วในฐานะผู้ชายวัย 30 ล่ะ คุณแพลนชีวิตตัวเองหลังจากนี้ยังไง อยากแต่งงานไหม อยากมีลูกหรือเปล่า
ไม่ได้แพลนเลย (หัวเราะ) คิดแค่ว่าจะสร้างบ้านเป็นของตัวเอง ส่วนถามว่าอยากแต่งงานมั้ย ก็อยากนะ อยากมีลูก แต่ตอนนี้เราขอโฟกัสกับเรื่องบ้านก่อน คือเราว่าชีวิตมันคาดเดาอะไรไม่ได้หรอก อย่างการเข้ามาเป็นนักแสดงมันก็เป็นโอกาสที่มาถึงแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย เหมือนกับว่าชีวิตมันเดินเข้ามาตบหน้าเรา แล้วบอกว่า ‘มึงคิดว่ามึงจะเป็นพิธีกรเงียบๆ แล้วเก็บเงินไปทำอย่างอื่นงั้นเหรอ เป็นไงล่ะ มึงดังขึ้นมาแล้ว!’ ในเมื่อชีวิตมันคาดเดาอะไรไม่ได้ ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงต้องใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน แต่มันก็ยาก เพราะทุกคนก็จะเครียดจากอดีต และกังวลกับอนาคตเป็นเรื่องปกติ
ถ้ามีเด็กวัยรุ่นอายุ 18 เป็นตุ๊ด และกำลังลังเลไม่กล้าบอกกับใครว่าตัวเองเป็น แล้วก็กังวลกับอนาคตในโลกใบนี้ต่อไปว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง คุณอยากบอกเขาว่าอะไร
จะแนะนำให้บอกแม่ไปนั่นแหละว่าเป็นตุ๊ด แล้วก็อยากจะบอกด้วยว่าชีวิตมันต้องใช้เวลาในการพิสูจน์ ถ้าเรารู้สึกว่าการเป็นตุ๊ดคือปมในชีวิต เราก็สามารถใช้อย่างอื่นมาแก้ปมเราได้ มันมีทางไปเสมอ แต่สิ่งแรกที่คุณควรทำคือเดินไปบอกแม่ว่าคุณเป็น จากนั้นเขาจะด่าว่าคุณเลว ไม่เข้าใจคุณ สังคมไม่ยอมรับคุณ อะไรก็แล้วแต่ อย่าไปสนใจ ให้ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด
ชอบอ่านก็อ่านให้เยอะ ชอบฟังก็ฟังให้มาก พยายามหาความรู้ใส่ตัวให้มากที่สุด ทำในสิ่งที่ตัวเองสนใจซ้ำๆ จนเข้าใจมันอย่างถ่องแท้ แล้ววันหนึ่งสิ่งที่คุณสะสมมามันจะเติมเต็มชีวิตของคุณเองโดยที่ตอนนั้นคุณอาจไม่ต้องการการยอมรับเรื่องเพศแล้วก็ได้ แต่คุณจะมีความภูมิใจในตัวเองในฐานะของมนุษย์คนหนึ่ง
บทสัมภาษณ์โดย อรุณวตรี รัตนธารี จากคอลัมน์ Face นิตยสาร giraffe ฉบับที่ 50 เรื่อง Gender
ติดตามได้ที่ www.readgiraffe.com