การได้อยู่ร่วมห้องร่วมหอกับใครสักคน ถือเป็นหนึ่งความท้าทายของชีวิต ราวกับเป็นเรื่องที่ต้องเสี่ยงโชค บางคนอาจเป็นรูมเมทที่สุ่มมา หรือบางทีก็เป็นรูมเมทที่ตั้งใจมาอยู่ด้วยกัน ถ้าโชคดีเจอรูมเมทที่เข้ากันได้ก็ถือว่าแต้มบุญดี ชีวิตการอยู่หอของเราก็จะไม่ต้องเหงา มีพื่อนไว้ฝากผี ฝากไข้ แต่ถ้าเข้ากันไม่ได้ขึ้นมาก็ถือเป็นประสบการณ์ชีวิต เพราะแม้จะมีงานวิจัยที่บอกว่ารูมเมทส่งผลต่อชีวิตของคุณ แต่ผลการสำรวจจาก Wellesley College ก็บอกว่า รูมเมทไม่ใช่ปัจจัยสำคัญที่มีผลกับผลการเรียนอย่างมีนัยสำคัญขนาดนั้น
The MATTER เลยไปถามคนที่มีประสบการณ์กับรูมเมทมาว่า พวกเขาเจอกับเหตุการณ์แบบไหนบ้าง ซึ่งก็มีทั้งแอบใช้ของ พาผู้ชายมานอน ไปจนถึงรูมเมทคนดำที่ทำให้เปลี่ยนความคิด แล้วประสบการณ์ของคุณกับรูมเมทเป็นอย่างไรบ้าง
Joy
อาชีพ Auditor
“ตอนปี 1 มีรูมเมทเป็นเพื่อนในกลุ่ม เช่าห้องอยู่ด้วยกัน 4 เดือน คุยกันแค่สัปดาห์แรก หลังจากนั้นก็ไม่คุยกันอีกเลย เราชวนคุยก็ไม่คุย แล้วอยู่ๆ ก็ย้ายออกไป พอถามเหตุผล เขาก็บอกแค่ว่า เป็นลูกคนเดียว ไม่ชอบอยู่กับคนอื่น..แล้วมาชวนกูอยู่ด้วยทำไมตั้งแต่แรก งง =_= แต่พอย้ายออกไป เขาก็อยู่คนเดียวจริงๆนะ แล้วกลายเป็นว่าทุกวันนี้ก็ไม่คุยกันละ55555″
นอนไม่หลับ
อาชีพ ครูสอนเปียโน
“มีอยู่เทอมนึงที่มีเพื่อนมาขอเป็นเมทด้วย เพราะเทอมนั้นเรียหนัก เลิกดึก งานเยอะ ซึ่งก่อนหน้านั้นก็มาเล่นที่ห้องบ่อยๆ อยู่แล้ว คิดว่าสนิทกันระดับนึง ชอบอ่านนิยายเหมือนกัน ฟังเพลงแนวเดียวกัน ดูการ์ตูนเหมือนกัน ก็ทำให้ไว้ใจ แต่เพื่อนคนนี้เป็นลูกคนเล็ก และมีอาการที่เราก็บอกไม่ถูกว่าเรียกว่าอะไร
จากที่แรกๆ ก็เล่นกันสนุกสนาน แต่พอผ่านไปซักพักอยู่ๆ ก็ตึงอยู่ๆ ก็ไม่พูด อยู่ก็อารมเสียใส่ แล้วชอบเอาของใช้ที่เราซื้อมาไปใช้โดยไม่ขอ ความจริงมันแบ่งกันได้แต่พอเราไม่ว่าก็คือใช้จนหมด บางอย่างเราเก็บไว้ก็เอามาใช้ บางทีมีเพื่อนเรามาเล่นที่ห้อง (ซึ่งก็คือเพื่อนเขาเหมือนกัน) เขาก็ไล่กลับไปบอกว่าไม่ชอบคนเยอะๆ หรือบางทีเขาก็เป็นคนชวนมาเองแต่พอเพื่อนมาก็ไล่กลับบอกว่าอยากอยู่คนเดียว
บางทีเราไปค้างห้องแฟน เขาก็ไม่พอใจแล้วก็บอกว่าทำไมไม่สนใจเขาเลย แต่พอเรากลับมาอยู่ในห้องด้วยก็จะเงียบไม่พูดอะไรถามคำตอบคำ มันอึดอัดบอกไม่ถูก และที่สำคัญเขาเป็นคนที่ต้องเปิดแอร์ตลอดเวลามันทำให้ค่าไฟแพงมาก ถึงแม้จะแชร์กันแต่ก็ยังแพงกว่าตอนเราอยู่คนเดียว เราเลยกลับบ้านบ่อยๆ ไม่ค่อยมานอนค้างหอเพราะเริ่มไม่อยากอยู่กับเขา พอเราไม่ค่อยกลับเขาก็เริ่มบ่นเหงาและย้ายของออกไปเอง ซึ่งนั่นก็ทำให้เรากับเพื่อนคนนั้นมองหน้ากันไปติดไปนานเลย และทำให้เรากลัวที่จะอยู่กับคนอื่นและขี้เกรงใจกว่าเดิม เพราะไม่อยากทำให้ใครเดือดร้อน หรืออึดอัดใจแบบที่เราเจอ”
Fei
“เคยมีรูมเมทที่ไม่ค่อยช่วยหารค่าของใช้ในห้องค่ะ บางทีก็ช่วยจ่ายค่าห้องช้ามากๆ แต่ที่พีคคือจู่ๆ ตอนปีสี่เทอมแรก ตอนแรกคุยกันว่าจะอยู่ด้วยกันต่อ แต่อยู่ดีๆ ก็บอกว่า จะย้ายกลับบ้านอาทิตย์นี้แล้วนะ ซึ่งตอนนั้นวันพฤหัสแล้ว แปลว่าเราก็ต้องจ่ายค่าหอเองเกือบหมื่น คือเราก็รู้สึกว่าบอกล่วงหน้าหน่อยก็ได้ แต่คิดว่าเค้าอาจจะลำบากเรื่องใช้เงินจริงๆ ก็เลยไม่ได้พูดอะไรค่ะ”
แม่มีพลอย 9 เม็ด
อาชีพ นักศึกษาแพทย์
“จำได้ว่าตอนนั้นเป็นช่วงเรียนปีหนึ่งแล้วมีสอบย่อย ก็อ่านหนังสือกันยาวไม่นอน กะว่าเช้าแล้วไปสอบเลย ทีนี้เมทของเราก็ทนไม่ไหว บอกว่าของีบแปปนึง แต่เขาก็กลัวว่าต้องตื่นไปสอบด้วยหน้าสด เลยแต่งหน้าจัดเต็มแล้วนอน พอตื่นมาก็ไปสอบแบบไม่แปรงฟันใดๆ พอสอบเสร็จมาคุยกัน เพื่อนคนอื่นก็สะกิดเราว่าทำไมวันนี้เมทเรากลิ่นแรงมาก เรานี่ใบ้กินไปเลย
หลังๆ เริ่มหนักขึ้น เพราะประเทศที่เราเรียนอากาศมันหนาวมาก เขาก็ไม่อาบน้ำ ไม่ล้างหน้าแปรงฟัน ลามไปถึงไม่ซักผ้าห่มผ้าปูที่นอน เรียกได้ว่าซกมกเลยอ่ะ ทีนี้ห้องเราก็เลยมีกลิ่นตุตุ พอเพื่อนบอก เขาก็บอกว่าไม่เป็นไรน่า555
สุดท้ายพอจบปีนั้น ทุกคนพร้อมใจย้ายออกจากหอหมดเลยจ้า (รวมถึงนางด้วย แต่นางไปอยู่คนเดียว) แล้วเราก็อยู่คนเดียวเหมือนกัน ไม่กล้ามีเมทเลยอะ มันนอยด์มากจริงๆ เรื่องกลิ่นคือรื่องใหญ่มากสำหรับเรา”
แนน
“เมทเป็นคนที่ไม่อาบน้ำตอนกลางคืน แต่จะอาบน้ำตอนเช้า ซึ่งจริงๆ แล้วเรื่องนี้ก็ไม่ค่อยเท่าไหร่ แต่ความพีคคือเขาชอบยืมห้องพาแฟนมานอน เราก็เนอะ นึกว่าเมทใสๆ นอนจับมือ แล้ววันนั้นเก็บห้องเจอถุงยางใช้แล้ว ก็เลยได้รู้ความจริง ถ้าไม่เก็บห้องก็ไม่รู้ว่าหมดถุงยางไปกี่กล่องแล้ว”
วิรัฐยา ธนาภรณ์
อาชีพ art director
“เขาเป็นคนดำ อยู่บ้านเดียวกับเรา ด้วยความที่อิตาลีโจรเยอะ คนดำที่เป็นมิจฉาชีพก็เยอะ วันแรกเรากลัวมาก ไม่กล้าออกจากห้องเลย แล้วเขามีเพื่อนมาที่บ้านเยอะด้วย เราก็ยิ่งกลัว แต่พอออกมาเจอเขา เขาก็ชวนคุย เราก็พยายามคุยกับเขา แต่ก็ยังแอบกลัวอยู่นะ ล็อกห้องตลอดเวลา แต่เวลาเขาทำกับข้าวเขาก็ชวนเรากินตลอด มีอะไรให้ช่วยเขาก็ช่วย
มีอยู่ครั้งนึง เราซักผ้าแล้วสีตก เราก็ไม่รู้จะทำยังไง กลัวโดนเขาว่าด้วย เพราะเหมือนที่บ้านให้ซักได้แค่อาทิตย์ละสองครั้ง แล้วก็เลยจะหาทางแก้ เขาก็มาช่วย แล้วเราก็เครียดจากโรงเรียนด้วยก็เลยเฟลเข้าไปใหญ่ร้องไห้เลย เขาก็บอกเราว่าไม่ต้องร้องไห้ มีอะไรให้มาบอกเขา ถ้าเขาช่วยได้ เขาก็จะช่วย
ตอนนั้นเราเจอเขาตรงเอนปิซา เราก็เข้าไปทักเขาคนอิตาเลี่ยนเขาก็งง ว่าทำไมเราถึงกล้าเขาไปทัก เพราะปกติคนดำจะชอบมาทักแล้วขอเงิน แต่เราทักเพราะเรารู้จัก เขาทำให้เราเปลี่ยนความคิดไป ทำให้เรารู้สึกว่าคนดำก็มีทั้งดีและไม่ดีนั่นแหละ สุดท้ายเขาก็ไม่ได้มีอะไร เขาก็เป็นเหมือนเราทุกๆ คน”