Hereditary อาจจะเป็นหนังสยองขวัญที่คนดูอย่างเราๆ ไม่คุ้นเคยกันสักเท่าไหร่ ในบรรดาหนังผีหลายๆ เรื่อง ความน่ากลัวมักจะอยู่ที่ตัวผีและจังหวะการปรากฏตัว แต่หนังเรื่องนี้จะให้อารมณ์คล้ายกับ The Babadook (2014) หรือ Get Out (2017) ประเภทหนังสยองขวัญที่เน้นใช้ฉาก โทนสี ซาวน์ และการแสดงเพื่อสร้างประสบการณ์ความกลัวให้คนดู
เรื่องราวของ Hereditary เริ่มต้นที่การสูญเสียบุคคลสำคัญของครอบครัวกราแฮม การจากไปของแม่ทำให้ ‘แอนนี่’ ต้องต่อสู้กับความรู้สึกของตัวเองในขณะที่ต้องดูแลลูกๆ อย่าง ‘ชาร์ลี’ เด็กหญิงที่ดูเหมือนจะมีความผิดปกติทั้งทางร่างกายและสมอง กับ ‘ปีเตอร์’ ลูกชายและพี่ของชาร์ลีที่ต้องการตีตัวออกห่างจากผู้เป็นแม่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ส่วน ‘สตีฟ’ คู่ชีวิตของแอนนี่ก็ พยายามทำตัวเป็นปกติเพื่อประคับประคองครอบครัวให้ผ่านเหตุการณ์สะเทือนใจไปให้ได้
Hereditary ถ่ายทอดความความสยองขวัญผ่านเหตุการณ์ยากลำบากที่แอนนี่ต้องเจอ แอนนี่ทำงานเป็นศิลปินสร้างโมเดลห้องหรือสถานที่ขนาดจิ๋ว การจากไปของแม่ทำให้เธอเริ่มสับสนกับความรู้สึกที่ต้องแบกรับ เธอไม่รู้ว่าจะแสดงอารมณ์ต่อการสูญเสียครั้งนี้ยังไง เพราะดูเหมือนว่าเธอกับแม่จะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีนัก ความสับสนภายในทำให้อะไรๆ ดูไม่เป็นใจสำหรับแอนนี่ การพยายามสานความสัมพันธ์กับครอบครัวให้เป็นปกติหรืองานซึ่งค้างส่งให้พิพิธภัณฑ์มาเป็นเวลานานก็มีทีท่าว่าจะไม่คืบหน้า และการตายของแม่เป็นเพียงปฐมบทของเรื่องแปลกๆ ที่กำลังจะเกิด
จะมีผีหรือไม่มีผี ตัวหนังก็บีบอัดบรรยากาศของความน่ากลัวเข้าใส่ตั้งแต่ช่วงแรก ด้วยการแสดงออกอย่างชัดเจนถึงความรู้สึกอันคลุมเครือระหว่างตัวละครทั้งสี่ เสียงดนตรีแบ็คกราวน์ชวนอึดอัดที่ดังสะท้อนอยู่ตลอด ทิศทางของเรื่องที่ไม่รู้ว่ากำลังเล่าอะไรและจะไปทางไหน องค์ประกอบทุกอย่างทำให้เราสัมผัสได้ถึงความน่ากลัว เป็นอาการกลัวที่มาจากความไม่เข้าว่าต้องเผชิญหน้ากับอะไร
และหากเราพยายามจะจับไต๋ว่าหนังจะมีจังหวะตุ้งแช่ตอนไหน Hereditary จะทำให้คนดูผิดหวังได้ในหลายๆ ครั้ง หนังหลอกล่อความรู้สึกกลัวด้วยรูปแบบการแสดง ฉาก เสียงดนตรี และการขยับเปลี่ยนมุมกล้องที่คุ้นเคย ในฉากที่เราเห็นตัวเอกค่อยๆ เหลือบมองไปข้างๆ สถานการณ์ที่คาดว่าต้องมีอะไรบางอย่าง แต่แล้วบางครั้งมันกลับไม่มีอะไรอยู่ตรงนั้น และบ่อยครั้งอีกเหมือนกันที่หนังทำให้คนดูสะดุ้งกลัวได้แบบไม่ทันตั้งตัว นอกจากจะสงสัยว่าต้องเจออะไร ยังต้องมาคอยระแวงอีกว่าตอนไหนที่เราจะตกใจ
นับตั้งแต่วินาทีแรก Hereditary แทบไม่มีช่องว่างให้ได้หยุดพักอารมณ์ หนังจะค่อยๆ สั่นคลอนจิตใจคนดูอย่างต่อเนื่องด้วยการสร้างบรรยากาศของความสงสัย แล้วให้คนดูซึมซับเข้าไปเรื่อยๆ จนมันก่อตัวเป็นความหวาดกลัว และเมื่อถึงช่วงท้ายที่เรื่องราวทุกอย่างผิดเพี้ยนไปหมด มวลอากาศของความสยองขวัญจะเล่นงานกับคนดูหนักขึ้นจนแทบจะต้องเกร็งตัวอยู่ตลอดเพื่อควบคุมสติไม่ให้หลุดออกจากร่าง
นอกจากการนำเสนอความเป็นหนังผีในรูปแบบที่ต่างออกไป หนังยังฉายภาพครอบครัวที่ล้มเหลวในการรับมือกับความสูญเสียผ่านแต่ละตัวละครในครอบครัวกราแฮม แอนนี่ผู้เป็นแม่เลี่ยงที่จะใช้วิธีพูดและแสดงอารมณ์ออกมาตรงๆ แล้วหันไปขลุกอยู่กับการทำงานจนความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับคนในครอบครัวเริ่มเกิดรอยร้าว ส่วนชาร์ลีที่ชีวิตส่วนใหญ่ไม่ได้โตมากับการเลี้ยงดูของแอนนี่ก็ไม่สามารถสื่อสารให้คนอื่นเข้าใจเธอได้ ทำได้เพียงระบายความรู้สึกลงสมุดภาพและงานอดิเรกที่ดูจะไม่ค่อยปกตินักสำหรับเด็กในวัยเดียวกัน เช่นเดียวกับปีเตอร์ที่ใช้การเสพกัญชาตัดขาดตัวเองจากทุกปัญหา และการทำตัวเป็นปกติของคนเป็นพ่ออย่างสตีฟก็ดูเหมือนว่าจะไม่ทำให้อะไรดีขึ้น
เมื่อทุกอย่างกำลังพังลงตรงหน้า ทั้งงานที่ไม่มีทีท่าว่าจะแล้วเสร็จ ความสัมพันธ์ในครอบครัวที่มาถึงจุดแตกหัก และความผิดหวังของการพยายามฟื้นฟูตัวเองจากความสูญเสีย หากวิธีปกติกทั่วไปช่วยแก้ไขอะไรไม่ได้ แอนนี่จึงหันไปพึ่งและเชื่อในเรื่องเหนือธรรมชาติแทน สิ่งลี้ลับกลายเป็นหนทางแก้ปัญหาและมีอำนาจเหนือกว่าในเวลาที่มนุษย์ไม่อาจรับมือกับความเป็นจริง