50 ปี ถ้าเป็นอายุของคนก็เป็นช่วงวัยกลางคนที่เดินหน้าเข้าสู่วัยชราแบบเต็มตัวเสียหน่อย แต่ถ้ามองว่าเป็นอายุของแบรนด์ใดๆ ก็ถือว่าเป็นวัยที่ไม่มากจนรู้สึกเก่าแก่ ไม่น้อยเกินไปจนดูไม่มั่นคง และเป็นเวลามากพอที่จะมีเรื่องราวมากมายให้บอกเล่า นิตยสารการ์ตูน ‘โชเน็นจัมป์’ รายสัปดาห์ นิตยสารที่ครั้งหนึ่งขึ้นชื่อว่าดังที่สุดในญี่ปุ่น และผลงานที่ลงตีพิมพ์ในนิตยสารดังกล่าวก็เป็นผลงานที่ดังระดับที่ถูกสร้างเป็นอนิเมชั่น ไม่ก็เป็นหนังคนแสดงกันไปเลย
ในปี 2018 นี้ นิตยสารโชเน็นจัมป์ ก็จะก้าวเดินเข้าสู่วัย 50 ปีแล้ว แม้ว่าอายุอานามของจัมพ์จะยังไม่เก่าแก่เท่านิตยสารการ์ตูนรายสัปดาห์เล่มอื่นๆ ในญี่ปุ่น แต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในเล่มนั้นมีอะไรน่าสนใจอย่างมาก The MATTER มาสรุปภาพของโชเน็นจัมป์ในแต่ละยุคให้ฟังกันครับ เพื่อที่ทุกท่านจะได้เห็นว่า นิตยสารเล่มนี้ไม่ได้นำพามาแค่ความสนุกสนานของการ์ตูนเท่านั้น แต่ยังมีความทุ่มเทของผู้คนมากมายอยู่ในนั้นด้วย
1968 จุดเริ่มต้นของโชเน็นจัมป์
ก่อนจะเป็นนิตยสารมังงะที่คนคุ้นเคย โชเน็นจัมป์ เราคงต้องย้อนความไปในช่วงปี 1960 หลังจากที่ เทะสึกะ โอซามุ เทพเจ้าแห่งการ์ตูน ผู้พลิกโฉม ‘มังงะ’ ร่วมสมัย ทำให้มังงะกลายเป็นสื่อบันเทิงที่ได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มคนชาวญี่ปุ่น สำนักพิมพ์ใหญ่ในยุคนั้นจึงก่อตั้งนิตยสารการ์ตูนออกมา เช่นเดียวกับสำนักพิมพ์ชูเอย์ฉะที่ทำตลาดในนิตยสารมังงะไปบ้างแล้วภายใต้ชื่อนิตยสาร โอโมชิโรยบุ๊ก (Omoshiroi Book) แต่ยังไม่ได้รับความนิยมแบบล้นหลาม อาจเป็นเพราะตอนนั้นนิตยสารตีพิมพ์มังงะทั้งสำหรับเด็กผู้ชายและสำหรับผู้เด็กหญิงปนกันในเล่มเดียว จนความนิยมเหมือนจะด้อยกว่านิตยสารที่เน้นแต่มังงะสำหรับเด็กผู้ชายอย่าง โชเน็นซันเดย์ (Shonen Sunday) กับ โชเน็นแม็กกาซีน (Shonen Magazine)
ในทางกลับกันทางชูเอย์ฉะมีนิตยสารฝั่งการ์ตูนสำหรับเด็กผู้หญิงอย่าง โชโจบุ๊ก (Shojo Book) ที่พอจะได้รับความนิยมอยู่บ้างในช่วงปี 1959 จึงมีการออกปรับเปลี่ยน โอโมชิโรยบุ๊ก ที่ให้กลายเป็น โชเน็นบุ๊ก (Shonen Book) นิตยสารรายเดือนที่ตั้งใจเจาะกลุ่มเป้าหมายไปยังนักอ่านที่เป็นเด็กผู้ชาย นิตยสารโชเน็นบุ๊กคมีการ์ตูนดังอยู่หลายเรื่อง อย่าง Big X ของ อาจารย์เทะสึกะ โอซามุ Mach Go Go Go (Speed Rager) ของอาจารย์โยชิดะ เท็ตสึโอะ Harenchi Gakuen ของ อาจารย์นากาอิ โก
จนกระทั่้งปี 1968 ทางชูเอย์ฉะได้เปิดตัวนิตยสารโชเน็นจัมป์ ที่ช่วงแรกวางจำหน่ายเป็นแบบรายปักษ์ และมีการย้ายการ์ตูนบางเรื่องจากฝั่งโชเน็นบุ๊กไปยังโชเน็นจัมป์ นิตยสารน้องใหม่หัวนี้ก็ใช้เวลาราวครึ่งปีในการพิสูจน์ความนิยมของตัวเอง ก่อนจะเปลี่ยนจากตีพิมพ์รายปักษ์มาเป็นฉบับรายสัปดาห์ เมื่อเดือนตุลาคมปี 1969
ผลงานมังงะที่โดดเด่นในโชเน็นจัมป์ยุคก่อตั้งก็คือ Harenchi Gakuen ของอาจารย์นากาอิ โก ((เขียนในปี 1968-1972 ตอนแรกสุดของเรื่องนี้ลงตีพิมพ์ทั้งในฝั่งโชเน็นบุ๊กและโชเน็นจัมพ์) การ์ตูนตลกที่เล่าเรื่องเด็กชายตัวแสบที่ชอบก่อเหตุในโรงเรียนสุดเพี้ยนและมักจะจบลงด้วยความลามก จนโดนต่อว่าจากผู้ปกครองและสื่อมวลชนในยุคนั้นถึงฉากลามกและความรุนแรง อาจารย์นากาอิจึงแก้ไขเชิงประชดด้วยการปรับโทนเรื่องให้จริงจังมากยิ่งขึ้น มีทั้งฉากแอ็กชั่น ฉากดราม่า และฉากรุนแรงทั้งด้านกายภาพและด้านจิตใจ จนกลายเป็นเอกลักษณ์ของนักเขียนท่านนี้
เรื่องที่สองที่จัดว่าเป็นหน้าตาของโชเน็นจัมป์ในยุคแรกสุดคือ Otoko Ippiki Gaki Daisho ของอาจารย์โมโตมิยะ ฮิโรชิ (เขียนในปี 1968-1973) การ์ตูนแอ็กชั่นเต็มรูปแบบที่บอกเล่าเรื่องของ โทกาวะ มันคิจิ นักเรียนที่ดูเหมือนจะเป็นคนชอบต่อยตีแบบไม่เลือกหน้า ก่อนที่สถานการณ์ต่างๆ จะทำให้ทุกคนเห็นว่า แม้ตัวเขาจะห่าม แต่ก็ต่อสู้เพื่อความถูกต้อง และบ่อยครั้งที่มันคิจิต้องต่อสู้กับผู้มีอำนาจเหนือกว่า ตั้งแต่ลูกชายของเทศมนตรี ไปถึงยากูซ่า และด้วยเสน่ห์ของลูกผู้ชายเช่นนี้ทำให้ศัตรูกลับกลายมาเป็นมิตรในภายหลัง เพื่อต่อสู้กับคู่ต่อสู้คนต่อๆ ไปที่มีพลังอำนาจมากยิ่งขึ้น
เรื่องที่สามซึ่งเป็นเรื่องดังของโชเน็นจัมป์ยุคแรกก็คือเรื่อง Chichi no Tamashii ของอาจารย์ไคทสึกะ ฮิโรชิ (เขียนในปี 1968-1971) ที่ค่อยๆ เล่าเรื่องราวของ นันโจ โจทาโร่ ตั้งแต่วัยเด็ก ไปจนถึงช่วงมัธยมปลาย ซึ่งเขาพยายามสร้างทีมเบสบอลที่สามารถไปถึงโคชิเอ็งให้ได้ ก่อนที่เขาจะทำสำเร็จในช่วงท้ายของเรื่อง
1968-1978 ทศวรรษแรกแห่งความอิสระ
ในช่วงแรกเริ่ม มังงะจำนวนมากที่มาตีพิมพ์ในโชเน็นจัมป์จบลงอย่างรวดเร็ว และถ้าสังเกตไปที่มังงะดังสามเรื่องที่กล่าวถึงในยุคแรก จะเห็นว่ามังงะเหล่านั้นเหมือนเป็นการวางรากฐานให้กับโชเน็นจัมป์ในภายหลังที่จะต้องมีเนื้อเรื่องสอดคล้องกับแนวคิด ‘มิตรภาพ ความพยายาม และชัยชนะ’ ที่เป็นแก่นของนิตยสารในยุคต่อมา แต่ตัวอาจารย์นากาอิ โก เคยให้สัมภาษณ์ว่าปัจจัยเหล่านั้นเป็นเหตุผลที่ถูกสร้างตามมาในภายหลัง ในมุมของตัวอาจารย์ที่เขียนงานลงโชเน็นจัมป์ตั้งแต่เริ่มต้น กลับมองว่ายุคแรกๆ ออกจะเป็นพื้นที่ให้เหล่านักเขียนรุ่นใหม่ได้มาวาดลวดลาย ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่คำพูดที่เกินจริงแต่อย่างใด
ด้วยความที่นิตยสารการ์ตูนเล่มอื่นๆ ในยุคเดียวกันมีนักเขียนดังอย่างอาจารย์เทะสึกะ โอซามุ หรืออาจารย์มิซุกิ ชิเงรู (ผู้วาด อสูรน้อยคิทาโร่) หรือไม่ก็เป็นกลุ่มนักเขียนของหอพักโทคิวะ อย่างอาจารย์ฟุจิโกะ ฟุจิโอะ อาจารย์อิชิโนโมริ โชทาโร่ ฯลฯ คอยสร้างผลงานเรียกคนอ่าน ตรงกันข้ามกับทางโชเน็นจัมป์ที่วัยของนักเขียนที่สร้างผลงานฮิตยุคแรกไม่เกินหลัก 30 ปี อย่างตัวอาจารย์นากาอิ ก็เพิ่งอายุแค่ 23 ส่วนอาจารย์โมโตมิยะ กับอาจารย์ไคสึกะ เพิ่ง อายุ 21 เท่านั้น อาจจะเป็นการวางตัวให้เป็นสถานที่สำหรับ ‘คนรุ่นใหม่’ มาปล่อยของแบบนี้นี่เองที่ทำให้โชเน็นจัมป์สามารถเข้ามาแทรกอยู่ในใจนักอ่านแข่งกับนิตยสารรุ่นพี่อีกสองเล่มได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
ด้วยความอิสระ ทำให้มังงะที่่โดดเด่นในยุคนี้มีหลากสไตล์ นับตั้งแต่การ์ตูนแก๊กเต็มรูปแบบอย่าง Dokonjo Gaeru หรือ เจ้าหนูกบอภินิหาร ของอาจารย์โยชิซาวะ ยาซุมิ (เขียนในปี 1970-1976) ที่บอกเล่าเรื่องราวเหนือจริงของเด็กชายฮิโรชิไปล้มทับกบเปียงคิจิ จนทำให้เจ้ากบตัวดังกล่าวไปสิงอยู่บนเสื้อ แต่ใช่ว่าเจ้ากบสีเหลืองจะเข้ามาล้างแค้นเด็กชาย ไปๆ มาๆ ฮิโรชิกับเปียงคิจิกลายก็กลายมาเป็นคู่หูจับมือกันป่วนแทน
หลังจากที่ เจ้าหนูกบอภินิหาร จบลงไป ก็มีนักเขียนอีกท่านหนึ่งที่อยากจะลองปรับแนวมาเขียนมังงะแนวแก๊ก แต่เจ้าตัวคุ้นเคยกับการคิดเรื่องแบบจริงจังมาก่อน เขาจึงเลือกที่เล่าเรื่องตลกจากสิ่งที่ใกล้ตัวคนญี่ปุ่น และนั่นก็เป็นการเริ่มต้นของการเขียนมังงะเรื่อง KochiKame ของอาจารย์อากิโมโตะ โอซามุ (เขียนในปี 1976-2016) มังงะพูดถึงนายตำรวจประจำป้องยามเรียวซัง ที่ต้องไปเกี่ยวข้องกับเรื่องราวสารพัดสารเพ ตั้งแต่เรื่องราววุ่นวายในท้องที่ หรือบางทีก็เป็นเรื่องใหญ่ระดับชาติ ด้วยความหลากหลายและเดินเรื่องให้ทันยุคของผู้เขียนทำให้มังงะเรี่องนี้กลายเป็นผลงานที่ตีพิมพ์ยาวนานที่สุดของนิตยสารโชเน็นจัมป์ไปในที่สุด
ฝั่งการ์ตูนกีฬาก็มีมังงะแนว ‘กีฬาเกินจริง’ อย่างเรื่อง Astro Kyuudan ที่ได้อาจารย์นาคาจิมะ โนริฮิโระเป็นผู้วาด ส่วนอาจารย์ชิโร่ โทซากิเป็นผู้แต่งเรื่อง (เขียนในปี 1972-1976) เรื่องราวของมังงะเรื่องนี้เกี่ยวกับนักเบสบอล 9 คน ที่เกิดในวันที่ 9 เดือน 9 ปีโชวะที่ 29 เวลา 9 นาฬิกา 9 นาที ซึ่งมีเศรษฐีคนหนึ่งทุ่มเงินค้นหาตัวพวกเขา แล้วจับมาสร้างทีมเบสบอลที่สามารถเอาชนะนักกีฬาเบสบอลเมเจอร์ลีกที่มีท่าไม้ตายหมายสังหารนักกีฬาในสนาม …ถ้าพูดว่ามังงะเรื่องนี้เป็นรุ่นพี่ในด้านความโม้จัดของ กัปตันสึบาสะ และ The Prince of Tennis ก็ไม่ผิดนัก
อาจารย์นากาอิ โก ก็ยังปล่อยผลงานใหม่ของตัวเองลงในโชเน็นจัมป์ แต่คราวนี้ฉีกแนวมาเป็นแนวแอ็กชั่นหุ่นยนต์ที่ชื่อว่า มาชินก้า Z ออกมาในปี 1972 แต่การ์ตูนหุ่นยนต์ยักษ์เรื่องนี้ตีพิมพ์อยุ่ในโชเน็นจัมป์แค่ช่วงระยะหนึ่ง ก่อนที่จะโยกย้ายไปตีพิมพ์ในนิตยสาร เทเลบิแม็กกาซีน (Telebi Magazine) ของทางโคดันฉะในภายหลัง เนื่องจากเป็นคำร้องขอจากสปอนเซอร์ของฝั่งอนิเมชั่น
คอบร้า เห่าไฟสายฟ้า มังงะแนวไซไฟอวกาศล้ำยุคของอาจารย์เทราซาวะ บูอิจิ (เขียนในปี 1978-1984) ก็เริ่มต้นการผจญภัยในนิตยสารโชเน็นจัมป์แห่งนี้เป็นที่แรก การ์ตูนที่เล่าเรื่องอดีตโจรสลัดอวกาศผู้มีแขนข้างนึ่งเป็นปืนไซโคกันที่สามารถใช้พลังจิตในการยิง มังงะได้รับแรงบันดาลใจจากหนังสไตล์เจมส์ บอนด์ เข้ากับการผจญภัยของหญิงสาวในอวกาศแบบหนังเรื่อง Barbarella และมีแนวคิดไซไฟที่หม่นนิดๆ ด้วยความที่อาจารย์เทราซาว่า ได้รับแรงบันดาลในการเป็นนักเขียนมังงะมาจากอาจารย์เทะสึกะ โอซามุ ที่แฝงความดาร์กไว้ในผลงานอยู่เป็นนิจนั่นเอง
อีกเรื่องที่น่าพูดถึงก็คือ Ring ni Kakero มังงะต่อยมวยที่นักมวยแต่ละคนมีท่าพิเศษประจำตัว พร้อมกับภาพการกระเด็นออกจากเวทีแบบสุดโต่ง ซึ่งอาจารย์คุรุมาดะ มาซามิ เขียนลงในโชเน็นจัมป์ช่วงปี 1977-1981 และเป็นการเดินตามรอยผลงานดังในโชเน็นจัมป์อีกสองเรื่องอย่าง Otoko Ippiki Gaki Daisho ที่ตัวอาจารย์ชื่นชอบ กับ Astro Kyuudan ที่แสดงให้เห็นว่ามังงะเกินจริงก็สามารถได้รับความนิยมถ้าเนื้อเรื่องมีความสนุกให้กับคนอ่านมากพอ
นอกจากนี้แล้ว ในช่วงทศวรรษแรกนี่เองที่โชเน็นจัมป์ได้เปิดการแข่งขันเพื่อคัดเลือกนักเขียนการ์ตูนหน้าใหม่ โดยมีการจัดตั้ง รางวัลเทะสึกะ ในปี 1971 เน้นเฟ้นหามังงะเนื้อเรื่องเข้มข้น ตามด้วยการจัดตั้งรางวัลอาคาทสึกะที่เน้นเฟ้นหามังงะสายตลก อีกสิ่งหนึ่งที่ถูกจัดขึ้นจนกลายเป็นวัฒนธรรมของโชนเน็นจัมป์คือการเปิดให้ผู้อ่านลงคะแนนความนิยมมังงะในนิตยสาร ที่ทั้งมีโอกาสทำให้มังงะที่ไม่ดังโดนตัดจบเร็วขึ้น หรืออาจจะทำให้มังงะที่ดูเงียบๆ สามารถตีพิมพ์ต่อไปได้ กิจกรรมทั้งสามอย่างนี้ทำให้นิตยสารมีความสดใหม่อยู่ตลอด และกลายเป็นกิจกรรมที่คนรักการ์ตูนมักจะจับตามองกันจนถึงปัจจุบันนี้
1979-1988 เทสโทสเตอโรนฟีเวอร์
โชเน็นจัมป์ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาถึงสิบปี ณ จุดนี้พวกเขามียอดตีพิมพ์สัปดาห์ละสามล้านเล่ม สร้างผลงานดังลงตีพิมพ์ในนิตยสารอย่างต่อเนื่อง และมีนักเขียนชื่อดังจำนวนมาก นักเขียนหลายต่อหลายคนก็มาเขียนผลงานเรื่องต่อในนิตยสารเล่มเดิม แต่สิ่งหนึ่งที่มังงะหลายเรื่องของยุคนี้นำเสนอคือมุ่งตอบสนองเด็กวัยรุ่น ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจนักด้วยนักอ่านในยุคแรกเป็นเด็กประถม สิบปีผ่านไป เด็กๆ เหล่านั้นย่อมเติบโตเป็นวัยรุ่นในช่วงมัธยมปลายหรือมหา’ลัยกันแล้ว
อย่างเรื่อง Cat’s Eye ผลงานของอาจารย์โฮโจ สึคาสะ (เขียนในปี 1981-1985) ที่เล่าเรื่องจอมโจรสามสาวพี่น้องสุดเซ็กซี่ที่พยายามขโมยงานศิลปะเพื่อตามหาสมบัติของพ่อที่ถูกขายไป Wingman ของอาจารย์คัทสึระ มาซาคัตสึ (เขียนในปี 1983-1985) เล่าเรื่องของฮิโรโนะ เคนตะ แฟนหนังแปลงร่างที่ได้ ดรีมโน้ต สมุดโน้ตที่สามารถทำให้ความฝันกลายเป็นจริง และทำให้ฮิโรโนะได้กลายเป็นยอดมนุษย์วิงก์แมน แล้วต้องว้าวุ่นใจกับภาวะรักสามเส้า Orange Road หรือ ถนนสายนี้เปรี้ยว ของอาจารย์มัตสึโมโตะ อิซุมิ (เขียนในปี 1984-1987) กับรักสามเส้าระหว่างชายหนุ่มเหลาะแหละที่มีพลังจิต หญิงสาวหน้าสวยนิสัยดุพร้อมปมชีวิตที่ทำให้เธอน่าค้นหา และรุ่นน้องหญิงที่ตรงไปตรงมา
นอกจากแนวเรื่องที่ปรับเข้าหาเด็กวัยรุ่นมากขึ้น ยังมีอีกสิ่งเหมือนเป็นเทรนด์ตามมาด้วยก็คือ ความล่ำบึ้กของเหล่าตัวละครชายที่เหมือนโด๊ปฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนมาอย่างเต็มเปี่ยม
นับตั้งแต่ คินนิคุแมน ของสองคู่หูยูเดะทามาโกะ (เขียนในปี 1979-1987) มังงะแนวตลกที่ช่วงแรกเน้นการแซวฮีโร่ตัวใหญ่แบบอุลตร้าแมน ก่อนจะค่อยๆ ปรับมาเป็นศึกดวลมวยปล้ำระหว่างยอดมนุษย์ต่างดาวที่แทบทุกตัวละครมีร่างล่ำบึ้ก Black Angels ของอาจารย์ชินจิ ฮิรามัทสึ (เขียนในปี 1981-1985) ที่แม้อาจารย์จะนิยมเขียนตัวละครชายล่ำๆ ลีนๆ อยู่แล้ว แต่ในยุคนี้เราได้เห็นกล้ามเนื้อของตัวละครมากขึ้น และก็เข้ากับเรื่องราวของกลุ่มคนที่ยอมผันตัวเองเป็นนักฆ่าเพื่อกำจัดผู้มีอำนาจไม่เกรงกลัวกฎหมาย
แต่ผลงานที่ถือว่าทำให้ฮอร์โมนเทสโทรเตอโรนในนิตยสารจัมพ์พลุ่งผล่านถึงขีดสุดต้องยกให้มังงะเรื่อง ฤทธิ์หมัดดาวเหนือ ผลงานการแต่งเรื่องของบุรอนซอน กับภาพวาดที่แสนดุดันของอาจารย์ฮาระ เท็ตสึโอะ (เขียนในปี 1983-1988) มังงะเล่าเรื่องราวโลกในปี 199x ที่สงครามนิวเคลียร์กวาดล้างแทบทุกพื้นที่ของโลกใบนี้ ผู้มีชีวิตรอดเหลือเพียงผู้แย่งชิงและผู้ถูกแย่งชิง จนกระทั่งการมาถึงของ เคนชิโร่ ผู้สืบทอดวิชาอุดรเทวะ ที่ตอนเริ่มเรื่องเขาเพียงต้องการจะล้างแค้นจากการถูกชิงตัวคนรักไป ก่อนเรื่องราวจะพลิกผันจนกลายการต่อสู้เพื่อคืนความสงบสู่โลกที่วุ่นวาย
ฤทธิ์หมัดดาวเหนือ ได้รับความนิยมอย่างมากจากมวลชนทั่วญี่ปุ่นจนกล่าวกันว่า ตอนนั้นคะแนนความนิยมของมังงะเรื่องนี้ทิ้งห่างจากอันดับที่สองถึงหนึ่งเท่าตัว หนังสือการ์ตูนฉบับรวมเล่มยังสามารถทำยอดขายไปได้ถึง 100 ล้านเล่ม กลายเป็นหลักชัยให้มังงะเรื่องอื่นๆ พยายามทำยอดขายให้แซงหน้า
‘ความกล้าม’ ของเคนชิโร่ ยังส่งอิทธิพลให้กับมังงะเรื่องอื่นๆ ที่มาลงในจัมพ์ ตัวอย่างเช่น โรงเรียนลูกผู้ชาย ของอาจารย์มิยาชิตะ อากิระ (เขียนในปี 1985-1991) มังงะแนวตลกล้อเลียนที่สมมติว่ามีโรงเรียนฝึกความเป็นลูกผู้ชายให้เต็มสูบ มีแต่ตัวละครที่กินเวย์แทนน้ำเปล่า จนทำให้มังงะสามารถเปลี่ยนไปเป็นแนวแนวแอ็กชั่นเต็มตัวได้อย่างไม่แปลกตาในภายหลัง ซิตี้ฮันเตอร์ ผลงานเรื่องดังเรื่องต่อมาของอาจารย์สึคาสะ โฮโจ มีตัวเอกเอกอย่างซาเอบะ เรียว ที่เป็นทั้งมือปืน นักสืบรับจ้าง และภัยอันตรายต่อสาวๆ ทั้งโตเกียว ก็มีหุ่นล่ำซ่อนอยู่ใต้เสื้อแจ็กแก็ตสูท หรือ โจโจ้ ล่าข้ามศตวรรษ ของอาจารย์ฮิโรฮิโกะ อารากิ (เริ่มเขียนในปี 1987 ปัจจุบันก็ยังเขียนอยู่) ก็เริ่มต้นด้วยลักษณะตัวละครกล้ามใหญ่ไว้ใจได้ตามเทรนด์ของยุคนั้น ก่อนจะฉีกการเดินเรื่องและสไตล์การเขียนไปเรื่อยๆ ในภาคต่อๆ มา
แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีผลงานเด่นที่มีแนวทางของตัวเองอย่าง กัปตันสึบาสะ ของอาจารย์ทาคาฮาชิ โยอิจิ (เขียนในปี 1981-1988) ก็เริ่มเขียนในยุคนี้ ช่วงแรกๆ ยังไม่โอเวอร์มากนักก่อนจะทวีความเกินจริงต่อไปในภายหลัง เซนต์เซย์ย่า ของอาจารย์คุรุมาดะ มาซามิ (เขียนในปี 1985-1990) การ์ตูนแอ็กชั่นแฟนตาซีเต็มรูปแบบที่ก่อกระแสความฮิตมาจนถึงปัจจุบันนี้ จอมเกบลูส์ ของอาจารย์โมริตะ มาซาโนริ (เขียนในปี 1988-1997) ที่มีนักเรียนสไตล์นักเลงโอซาก้าอย่าง มาเอดะ ไทซน ที่ย้ายมาเรียนในเมืองโตเกียวเป็นตัวเอก เรื่องราวถูกเล่าแบบไม่เกินจริงแต่ก็มีความเข้มข้นเหมือนละครทีวี ปนไปด้วยมุกเหนือจริงตามวิสัยการ์ตูนในบางที ดราก้อน เควสต์ ไดตะลุยแดนเวทมนตร์ ที่แต่งเรื่องโดยอาจารย์ซันโจ ริคุ และได้อาจารย์อินาดะ โคจิมาวาดรูปให้ (เขียนในปี 1989-1996) ที่อาจจะได้รับความนิยมและถูกจดจำในฐานะมังงะชั้นเยี่ยมในยุค 1990 ก็เริ่มต้นเขียนตอนแรกในช่วงนี้
อาจารย์โทริยามะ อากิระ นักเขียนคนหนึ่งที่เราไม่พูดถึงคงจะโดนครหา ที่เริ่มเขียน ดร. สลัมป์ การ์ตูนแก๊กเหนือจริง (เขียนในปี 1980-1984) ที่เปิดตัวเส้นทางนักเขียนการ์ตูนมืออาชีพให้กับอาจารย์โทริยามะได้เป็นอย่างดี ก่อนที่เจ้าตัวจะมีความคิดอยากตัดจบมังงะเรื่องนี้เพราะขี้เกียจคิดมุกตลกรายอาทิตย์ และเขาก็ได้รับข้อต่อรองกับกองบรรณาธิการว่าถ้าสามารถสร้างผลงานที่ดังกว่า ดร.สลัมป์ แน่ๆ ทางกอง ยินดีจะให้ตัดจบ
ผลพวงจากความขี้เกียจคิดมุกตลกนี้เองที่ทำให้อาจารย์โทริยามะขยันปั่นพล็อตเรื่องผลงานชิ้นใหม่ จนสุดท้ายโลกก็ได้รู้จักกับ ดราก้อนบอย (Dragon Boy) เรื่องสั้นที่เป็นมังงะตลกแต่มีการเดินทางในสไตล์ละม้ายคล้ายไซอิ๋ว วรรณกรรมจีนชื่อดัง และในภายหลังมังงะเรื่องนี้ก็กลายเป็นรากฐานให้ผลงานเรื่องใหม่ของโทริยามะที่ชื่อว่า ดราก้อนบอล (Dragon Ball) (เขียนในปี 1984 – 1995) และดราก้อนบอลก็กลายเป็นมังงะเรื่องใหม่ที่รับช่วงไม้ต่อจาก ฤทธิ์หมัดดาวเหนือ ในฐานะการ์ตูนไฮไลท์ของทางนิตยสารโชเน็นจัมป์
แล้วโชเน็นจัมป์ก็อายุก้าวย่างเข้า 20 ปี ในปี 1988มีการออกสินค้าเฉลิมฉลองออกมาหลายชิ้น แต่ผลงานที่โดดเด่นที่คนต่างชาติต่างภาษาก็จำได้คงจะไม่พ้นเกม Famicom Jump: Hero Retsuden ที่ให้เหล่าตัวละครเอกจากมังงะดังนับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งนิตยสารมารวมตัวกันอยู่ในโลกเดียวกันเพื่อรักษาความสงบสุข โดยตัวละครแต่ละตัวก็จะใช้การต่อสู้ในสไตล์ที่สอดคล้องกับผลงานของตัวเอง
1989-1998 ยุคทองแห่งโชเน็นจัมป์
ยุค 90s ของนิตยสารเล่มนี้ น่าจะเป็นช่วงที่นักอ่านมังงะจำนวนมากบนโลกคุ้นเคยมากที่สุด ด้วยเหตุผลที่ว่ามีมังงะในช่วงท้ายของยุคก่อนหน้านี้มาเดินเรื่องคลายปมเข้าสู่เนื้อหาสำคัญในยุคนี้ อย่างดราก้อนบอลก็เดินเรื่องเข้าสู่เนื้อเรื่องช่วง ดราก้อนบอล Z (Dragon Ball Z) ที่โกคูต้องเผชิญหน้ากับเหล่านักสู้จากชาวดาวไซย่าแบบราดิช ซึ่งเป็นการปรับเรื่องจากการ์ตูนแอ็กชั่นติดตลกให้กลายเป็นการ์ตูนแอ็กชั่นจริงจัง
มังงะเรื่องอื่นๆ ที่อยู่ในจุดเชื่อมโยงระหว่างยุคแล้วได้รับความนิยม เช่น วิดีโอเกิร์ล ของอาจารย์คัทสึระ มาซาคัตสึ (เขียนในปี 1989-1992) เรื่องราวความรักของมนุษย์กับสาวน้อยที่ออกมาจากวิดีโอ ที่ในเรื่องนี้ไม่เน้นตลกโปกฮาแบบงานก่อนหน้าแล้วมาพูดเรื่องความสัมพันธ์แบบจริงจัง ทำให้เห็นว่านอกจากอาจารย์จะมีลายเส้นที่สวยงาม แนวคิดการแต่งเรื่องก็ไม่ด้อยไปกว่าความคมของการตัดเส้นเลย ใหม่ ทาร์จัง จ้าวป่า (Shin Jungle no Oujo Taa-chan) ของอาจารย์โทคุฮิโระ มาซายะ (เขียนในปี 1990-1995) ภาคกึ่งต่อกึ่งรีบูทของมังงะที่เล่าเรื่องของ ทาร์จัง มนุษย์ที่ไปอยู่ในดงของสัตว์ป่าในทุ่งหญ้าสะวันนา ก็ได้รับความนิยมพอตัว (แม้ในไทยจะมีการเซ็นเซอร์ไปบ้าง)
ส่วนผลงานใหม่ที่เปิดตัวในช่วงต้นยุคนี้ก็โดนใจเด็กยุคใหม่ที่เกิดในช่วงยุค 1990 ตัวอย่างมีอยู่หลากหลาย ทั้งเรื่อง คนเก่งทะลุโลก (Yu Yu Hakusho) ของอาจารย์โทงาชิ โยชิฮิโระ (เขียนในปี 1990-1994) สแลมดังก์ ของอาจารย์อิโนอุเอะ ทาเคฮิโกะ (เขียนในปี 1990-1996) Hareluya II Boy ของอาจารย์อุเมซาวะ ฮารุโตะ (เขียนในปี 1992-1999) มืออสูรปราบปีศาจ ของสองคู่หู่อาจารย์โช มาคุระ กับอาจารย์โอคาโนะ ทาเคชิ (เขียนในปี 1993-1999) ซามูไรพเนจร ของอาจารย์โนบุฮิโระ วาทสึกิ (เขียนในปี 1994-1999)
แต่ก็ยังมีผลงานเอาใจนักอ่านรุ่นโตสักหน่อยอย่าง Hana no Keiji ที่อาจารย์เท็ตสึโอะ ฮาร่า (เขียนในปี 1990-1993) มาเขียนการ์ตูนแนวชีวประวัติของ มาเอดะ เคย์จิ นักรบเจ้าสำราญที่เก่งกาจทั้งด้านบู๊ แล้วยังถูกจดจำในฐานะศิลปินเจ้าสำราญและมักจะปล่อยตัวเองให้รื่นรมย์กับความสงบสุขในช่วงไม่มีการศึก ก่อนจะต่อยอดด้วยการบอกเล่าอีกตำนานในประวัติศาสตร์ของประเทศญี่ปุ่นที่เชื่อว่า โตกุกาว่า อิเอยาสึ นั้นมีขุนพลเงามารับบทบาทแทนตัวจริง จึงสามารถปกครองญี่ปุ่นให้สงบสุขยาวนานได้ในมังงะเรื่อง จอมพลขุนพลเงา (เขียนในปี 1994-1996)
มาถึงช่วงกลางของยุค 90s ราวๆ ปี 1995-1996 ก็มีมังงะชื่อดังหลายเรื่องที่ทยอยจบลง อย่าง ดราก้อนบอล คนเก่งทะลุโลก และสแลมดังก์ ถึงอย่างนั้นความนิยมของโชเน็นจัมป์ก็ไม่ได้ลดลงแบบทันทีทันควัน ด้วยผลงานเรื่องอื่นๆ ที่ได้รับความนิยมก็ยังตีพิมพ์ แถมผลงานใหม่ๆ ยังตามมาอีก ทั้งมังงะที่ดัดแปลงมาจากวรรณกรรมจีนอย่าง ตำนานเทพประยุทธ์ ของอาจารย์ริว ฟุจาซากิ (เขียนในปี 1996-200) ที่ตีความเพิ่มเติมให้เหล่าเซียนกลายเป็นผู้ใช้อาวุธแบบหนังไซไฟเล็กๆ ไป ยูกิโอ เกมกลคนอัจฉริยะ ของอาจารย์ทาคาฮาชิ คาซุกิ (เขียนในปี 1996-2004) ที่ในช่วงแรกตัวเอกของเรื่องอย่าง มุโต้ ยูกิ และยูกิด้านมืด พาผู้อ่านไปรู้จักเกมหลากหลายแนว ก่อนที่จะลงหลักปักฐานกับเกมการ์ดที่ได้รับความนิยมอย่างสูงมาจนถึงปัจจุบัน
ยุคสมัยนี้อาจจะเรียกได้ว่าเป็นยุคทองของนิตยสารโชเน็นจัมป์รายสัปดาห์ก็เพราะ ในช่วงนี้เองที่ยอดตีพิมพ์ของนิตยสารทำได้สูงถึง 6,530,000 เล่ม เป็นยอดตีพิมพ์ที่สูงจนเชื่อได้ว่าไม่มีทางที่จะกลับไปถึงจุดนั้นได้อีกแล้ว
ทั้งนี้ในช่วงนี้ก็เป็นช่วงที่ประเทศไทยเริ่มเปลี่ยนแปลงสไตล์การจัดทำและเสพการ์ตูนจากรูปแบบไร้ลิขสิทธิ์อย่างสมบูรณ์มาเป็นการจัดทำการ์ตูนแบบลิขสิทธิ์ ที่น่าสนใจอยู่สักหน่อยก็คือ แม้บ้านเราจะชื่นชอบมังงะในสไตล์ใกล้เคียงกันกับทางประเทศญี่ปุ่น แต่จะมีฝั่งการ์ตูนแก๊กกับการ์ตูนกีฬาแนวสมจริง หรือเล่าเรื่องแบบเครียดๆ ที่นำเข้ามาจำนวนน้อยไปสักหน่อย
1999-2008 ช่วงผลัดใบ และจุดร่วงโรย
มีมังงะอยู่หนึ่งเรื่องที่ยังไม่ได้พูดถึงแม้จะไม่ได้เริ่มเขียนในช่วงปี 1999 แต่มาเป็นเรื่องดังของโชเน็นจัมป์ในยุคนี้ มังงะที่ว่าคือ One Piece เขียนโดยอาจารย์เออิจิโร โอดะ (เขียนในปี 1997-ปัจจุบัน) เรื่องราวของ มังกี้ ดี ลูฟี่ ที่ออกเดินทางล่าฝันในการเป็นจ้าวแห่งโจรสลัด เดิมทีอาจารย์โอดะตั้งใจจะเขียนเรื่องนี้ให้จบในห้าปีอันเป็นระยะเวลาโดยเฉลี่ยนของมังงะเรื่องดังหลายๆ เรื่อง แต่จังหวะ ก็ทำให้เราทราบกันดีว่าถึงป่านนี้ One Piece ก็ยังไปไม่ถึงจุดจบ กระนั้นในช่วงปี 1999 ก็เป็นช่วงที่มังงะเรื่องนี้เริ่มเป็นจุดศูนย์กลางของมังงะดังในเล่ม
ยังมีมังงะอีกสองสามเรื่องที่เขียนในช่วงปลายยุคก่อนแล้วกลายเป็นเรื่องที่ได้รับความนิยมสูงในยุคนี้อย่าง Hunter X Hunter ผลงานของอาจารย์โทงาชิ โยชิฮิโระ (เขียนในปี 1998-ปัจจุบัน) งานการ์ตูนที่ตอนแรกก็เหมือนจะแอ็กชั่นผจญภัยธรรมดาๆ ของกลุ่มเด็กหนุ่มสี่คน แต่กลับไม่ธรรมดาด้วยสไตล์การเดินเรื่องแบบพลิกไปมาเกินคาดหมาย รวมถึงการหยุดเขียนระยะยาวที่คนอ่านก็คาดไม่ได้ว่าตอนต่อจะมาเมื่อไหร่
Whistle! ไอ้หนูแข้งทอง ของอาจารย์ฮิงุจิ ไดสุเกะ (เขียนในปี 1998-2003) มังงะแนวกีฬาสมจริงจากนักเขียนหญิงที่ละเมียดทั้งในการนำเสนอมุมมองของการแข่งบอลที่สนุก กับจิตใจของนักบอลที่เป็นผู้ลงแข่งในสนาม สามารถเรียกความนิยมจากคนอ่านได้มากเพราะดูสอดคล้องกับเด็กชายหลายๆ รุ่นที่อินกับบอลโลกในปี 1998 และ 2002 Shaman King ราชันแห่งเหล่าภูต ของอาจารย์ทาเคอิ ฮิโรยูกิ (เขียนในปี 1998-2004) ที่ช่วงแรกเดินเรื่องดั่งการ์ตูนแอ็กชั่น ภายหลังกลับเป็นการ์ตูนไฮคอนเซ็ปต์จนเจอตัดจบไปครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะมีการเขียนขยายความในภายหลัง
ย่างเข้าช่วงปี 1999-2000 โชเน็นจัมป์ได้ต้อนรับมังงะยุคใหม่ ที่เนื้อเรื่องไม่ได้คุยกันแค่การปล่อยพลังให้เหนือกว่าหรือการมีเพื่อนมากแล้วจะชนะอย่างเดียวตามแนวคิด ‘มิตรภาพ, ความพยายาม และ ชัยชนะ’ เท่านั้น หลายเรื่องเริ่มใส่ใจรายละเอียดของการวางแผนก่อนต่อสู้ บางเรื่องก็ทำตัวไม่สมเป็นการ์ตูน ‘โชเน็น’ โดยไปพูดคุยถึง ‘ชีวิตหลังการแข่งขัน’ บ้าง ปรับมุมมองว่าตัวเอกอาจจะไม่ใช่คนที่ถูกต้องที่สุดบ้าง และหลายๆ เรื่องที่ผลัดเปลี่ยนสไตล์ไปก็กลายเป็นเรื่องเด่นเคียงคู่กับงานอย่าง One Piece ในหลายๆ ช่วงด้วย
นารูโตะ นินจาคาถาโอ้โฮเฮะ เป็นหนึ่งในเรื่องเด่นของกลุ่มผลัดเปลี่ยนยุค เขียนโดยอาจารย์คิชิโมโตะ มาซาชิ (เขียนในปี 1999-2014) เรื่องราวของโลกสมมติที่นินจายังมีตัวตน นารุโตะ คือเด็กเล่นซนคนหนึ่งที่อยากจะเป็น ‘โฮคาเงะ’ หรือผู้นำนินจาของหมู่บ้านที่ต้องเก่งกาจและได้รับการยอมรับจากผู้คนทั้งหลาย โดยที่ตัวนารูโตะนั้นมีความลับซ่อนเอาไว้อยู่ ด้วยโลกทัศน์ที่น่าสนใจ กับปมเรื่องที่ค่อยๆ เผยรายละเอียดทั้งของตัวละครและเรื่องราวแบบไม่มีนินจาคนไหนเหมือน ทั้งนี้ก็ยังมีส่วนที่สอดคล้องกับวัฒนธรรมนินจาในญี่ปุ่น ทำให้มังงะเรื่องนี้ได้รับความนิยมทั้งในบ้านเกิดและในต่างประเทศ
Bleach เทพมรณะ ของอาจารย์คุโบะ ไทเท (เขียนในปี 2001-2016) มาถึงโชเน็นจัมป์ในปี 2001 การ์ตูนที่หลายคนคิดว่าอาจจะไปแทรกแซงความดังของมังงะอีกหลายเรื่องไม่ได้ ก่อนที่งานเขียนเรื่องนี้จะเตะตาคนอ่านด้วยสไตล์การผสมเอาความเชื่อเรื่องยมทูตมาปนเปกับโลกสมัยใหม่ การดวลดาบ และพลังพิเศษมากมาย พร้อมกับเนื้อเรื่องที่มีปมพลิกไปมา แม้ว่าในช่วงหลังแผ่วลง แต่การที่เรื่องนี้ได้รับความนิยมถึง 15 ปีก็บ่งบอกถึงความนิยมของเรื่องนี้ได้อย่างดี
นอกจากผลงานที่เขียนยาวสองเรื่องที่กล่าวไป ก็มีงานเรื่องอื่นที่แหวกกรอบเดิมของโชเน็นจัมป์ในช่วง 1990 มาเล็กน้อย อย่าง กินทามะ ของอาจารย์กอริลล่า เอีย โซราจิ ฮิเดอากิ (เขียนในปี 2003 – ปัจจุบัน) มังงะเน้นฮาแต่ระบุยากมากว่าเป็นแนวไหนกันแน่ เพราะมันเป็นได้ทุกแนวจริงๆ ฮิคารุเซียนโกะ ที่ได้อาจารย์ฮตตะ ยูมิเป็นผู้แต่งเรื่อง ส่วนภาพได้นักวาดฝีมือดีอย่างอาจารย์โอบาตะ ทาเคชิ (เขียนในปี 1998-2003) ที่แรกๆ เล่าเรื่องของเด็กชายไม่ชอบโกะถูกผีนักเล่นโกะตามติดเลยต้องยอมไปเล่น ก่อนเรื่องจะแสดงให้เห็นถึงความลำบากและมุ่งมั่นของนักเล่นโกะมืออาชีพในโลกปัจจุบัน จนลงท้ายด้วยว่าเส้นทางของบางอาชีพนั้นไม่มีจุดจบที่ชัดเจน มีแค่การเดินก้าวต่อไปข้างหน้าเรื่อยๆ เท่านั้น
อาจารย์โอบาตะ ยังกลับมาเขียนภาพร่วมกับนักเขียนเรื่องท่านอื่นอยู่อีกหลายครั้ง และผลงานมักจะเป็นเรื่องสั้นใช้เวลาไม่เกิน 5 ปีก็จบลง อย่าง เดธโน้ต (Death Note) ที่ให้ตัวเอกอย่าง ยางามิ ไลท์ กลายเป็นผู้ครอบครองสมุดโน้ตที่สามารถฆ่าคนได้เพียงแค่เขียนชื่อ ทั้งยังตั้งคำถามกับคนอ่านตลอดเวลาว่าสิ่งใครหรืออะไรเป็น ‘สีขาว’ กับ ‘สีดำ’ หรือแท้จริงแล้วโลดไม่แบ่งกันด้วยขาวกับดำ มันเป็นเพียงภาพลวงตาที่ใครคนหนึ่งเห็นโดยอิงจากพลังอำนาจที่เขากุมเอาไว้ อีกเรื่องหนึ่งที่สร้างกระแสให้คนอ่านทั่วโลกก็คือ วัยซนคนการ์ตูน (Bakuman) (เขียนในปี 2008-2012) เพราะมังงะเล่าเบื้องหลังการทำงานส่วนหนึ่งของฝั่งกองบรรณาธิการโชเน็นจัมป์ และอ้างอิงไปถึงล้อเลียนนักเขียนแทบจะทุกยุคทุกสมัยของโชนเน็นจัมป์
ใช่ว่ามังงะยุคนี้จะมีแต่การเปลี่ยนสไตล์ไปเพียวๆ เท่านั้น เรายังได้เห็นมังงะตามความนิยมยุคก่อนหน้า แบบการ์ตูนกีฬาเกินจริงอย่าง The Prince of Tennis ของอาจารย์โคโนมิ ทาเคชิ (เขียนในปี 1999-2008) ก็ฟาดเอาเรตติ้งของนักอ่านได้อย่างต่อเนื่อง ครูสอนพิเศษจอมป่วน รีบอร์น! ของอาจารย์อามาโนะ อากิระ (เขียนในปี 2004-2012) ก็เป็นมังงะแนวตลกที่พลิกมาเป็นแนวแอ็กชั่นเหมือนกับรุ่นพี่อย่าง คินนิคุแมน กับ โรงเรียนลูกผู้ชาย แต่เรื่องนี้ฐานแฟนคลับทั้งชายและหญิงอยู่ไม่น้อยด้วยดีไซน์แบบมาเฟียผสมกับความไซไฟแฟนตาซี อิจิโกะ 100% ของอาจารย์คาวาชิตะ มิซุกิ (เขียนในปี 2002-2006) ก็มาทำให้คนอ่านต้องลุ้นว่ารักสามเส้าสองสาวที่ใส่กางเกงในลายสตรอว์เบอร์รีจะจบลงที่พระเอกจะเลือกใครให้เป็นคู่ใจของเขา อายชิลด์ 21 ผลงานการวาดภาพของอาจารย์มุราตะ ยูสึเกะ ที่เข้าวงการมาด้วยการคว้ารางวัลมังงะสายแก๊ก แต่เมื่อจับคู่กับอาจารย์อินางาคิ ริอิจิโร่ที่เป็นผู้แต่งเรื่อง (เขียนในปี 2002-2009) ก็สามารถทำให้คนที่ไม่เคยเข้าใจอเมริกันฟุตบอลมาก่อน อินกับกีฬามากรายละเอียดประเภทนี้ได้ง่ายขึ้น
ส่วนความเสื่อมถอยของยุคนี้ ส่วนหนึ่งก็มาจากการที่มีคนอ่านมังงะแบบผิดกฎหมายมากขึ้น สแกนหาอ่านได้ตามเน็ตง่ายยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ตามจำนวนปีที่ผ่านพ้นไป รวมถึงว่านักเขียนรุ่นใหญ่หลายๆ คน ได้ทำการโยกย้ายสังกัด ซึ่งพวกเขาก็ได้ถือสิทธิ์ผลงานดังของตัวเองไปยังสำนักพิมพ์อื่นด้วย เช่น อาจารย์สึคาสะ โฮโจกับอาจารย์ฮาระ เท็ตสึโอะ ย้ายไปเปิดนิตยสารเล่มใหม่ที่เจาะกลุ่มนักอ่านที่อายุมากขึ้น อาจารย์คุรุมาดะ มาซามิก็นำสิทธิ์ของเซนต์เซย์ย่าไปจัดทำกับสำนักพิมพ์อื่น
กระนั้นก็ใช่ว่าทุกการโยกย้ายจะหมายถึงการจบความสัมพันธ์ที่ไม่ดีระหว่างนักเขียนกับสำนักพิมพ์ การโยกย้ายหลายครั้งเกิดขึ้นจากการที่่แนวทางการทำงานไม่สอดคล้องกันเสียมากกว่า ส่วนนักเขียนที่ไม่ได้ย้ายสังกัดก็เริ่มปรับไปเขียนในแบบรายปักษ์หรือรายเดือนที่นักเขียนใช้เวลาละเมียดกับผลงานได้มากขึ้น และงานที่ตามมามักจะไม่ได้อ่านสะดวกย่อยง่ายเหมือนงานยุคแรกแล้ว หลายทีจึงมีคนคิดว่านักเขียนที่ไม่ดังนั้นอาจจะล้มหายตายจากไปเลยทั้งที่พวกเขาอาจจะแค่เปลี่ยนสไตล์งานเท่านั้นเอง
2009-2018 ก้าวกระโดดไปยังยุคต่อไป
หากเทียบกับยุค 1990 แล้ว โชเน็นจัมป์เดินทางผ่านยุค 2000 แบบเกรียวกราวน้อยกว่า งานที่ทางนิตยสารระบุว่าเป็นงานฮิตของพวกเขา คนอ่านก็เริ่มมองว่ามีความเฉพาะทางมากขึ้น แต่บางเรื่องที่กลับมาให้คนอ่านได้รับอรรถรสอย่างยุคก่อนหน้าก็เกิดอาการเป๋ตกม้าตายได้เช่นกัน จนเหมือนว่าตอนนี้มี One Piece เป็นเสาหลักที่ไม่อนุญาตให้หักโค่นลง
ตัวอย่างงานที่น่าจะไปได้ดีแต่กลับสะดุดกึกอะไรบางอย่าง เช่น นูระ หลานจอมภูต ของอาจารย์ชิอิบาชิ ฮิโรชิ (เขียนในปี 2008-2012) ที่มีปัจจัยชวนให้เป็นเรื่องฮิตหลายประการ ทั้งการเล่าเรื่องด้วยตำนานท้องถิ่นญี่ปุ่น ผสมเข้ากับวัฒนธรรมยากูซ่า แต่ด้วยเหตุผลกลใดไม่ทราบเนื้อเรื่องกลับถึงจุดเอื่อยจนไม่น่าสนใจและเดินเรื่องเข้าบทอวสานเสียฉิบ โทริโกะ ของอาจารย์ชิมะบุคุโระ มิทสึโทชิ (เขียนในปี 2008-2016) ที่ดึงเอาบรรยากาศสุดมันของมังงะยุค 1990 ออกมาได้ดี แล้วก็มาย้วยกับเนื้อเรื่องส่วนหนึ่งจนจังหวะตอนท้ายดูไม่สมูทเหมือนช่วงต้นๆ
ความเป๋ที่เกิดขึ้นเล็กน้อยนี้อาจจะเป็นเหมือนช่วงปี 1980-1900 ที่นักอ่านของโชเน็นจัมป์ก็เริ่มโตขึ้นแล้ว แถมถ้ามองในเชิงสังคม เด็กในประเทศญี่ปุ่นก็มีน้อยลงจนอาจจะพูดได้ว่าผู้ที่อ่านโชเน็นจัมป์เป็นผู้ใหญ่วัยทำงาน ไม่ใช่เด็กจำนวนมากเหมือนแต่ก่อนแล้ว และเมื่อมองไปยังมังงะเรื่องอื่นที่เริ่มฮิตขึ้นมาในตลาดก็มีเนื้อหาซับซ้อนลุ่มลึกขึ้น การที่เกิดอาการเป๋กับการ์ตูนบางเรื่องน่าจะถือว่าไม่แปลกนัก แต่โชเน็นจัมป์ก็ไม่ได้จมปลักกับความผิดพลาดนานนัก และเริ่มมีความเปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆ อย่างในมังงะที่เปิดตัวในช่วงหลังปี 2010
เรายังพอเห็นงานตามสไตล์ ‘จัมพ์นิยม’ ที่มีการฉีกแนวบางอย่างไป เช่น รักลวงป่วนใจ ผลงานของอาจารย์โคมิ นาโอชิ (เขียนในปี 2011-2016) ที่เล่าเรื่องรักสามเส้า (อีกแล้ว) แต่มีกลิ่นของความ ‘โมเอะ’ กับมุกตลกในสไตล์ที่เข้ากับยุคที่มังงะเรื่องนี้ตีพิมพ์ ไฮคิว!! คู่ตบฟ้าประทาน ผลงานของอาจารย์ฟุรดาเตะ ฮารุอิจิ ที่นำเสนอนักกีฬาวอลเลย์บอลชายแบบจริงจังและแฝงด้วยมุกเล็กๆ ตามวิสัยการ์ตูนกีฬาที่ดี
นอกจากนี้ยังมีงานที่ถือว่าผิดจารีตของโชเน็นจัมป์ไปเยอะอย่าง ห้องเรียนลอบสังหาร ของอาจารย์มัตสึอิ ยูเซย์ (เขียนในปี 2012-2016) ที่ดันเปิดเรื่องมาด้วยการบอกว่าให้ฆ่าคุณครูประจำชั้น และในเรื่องก็ไม่ได้พูดคำนี้เล่นๆ ด้วยเหตุที่ว่าครูโดนฆ่าจริง แต่ระหว่างทางมีเนื้อหาที่ดีงาม ซ้ำยังไม่ถูกยืดเรื่องจนเกินไป ซึ่งต่างจากยุคก่อนหน้าไปมาก ยอดนักปรุงโซมะ ที่ได้อาจารย์ทสึคุดะ ยูโต้มาเขียนเรื่อง กับอาจารย์ซาเอกิ ชุนเป็นผู้วาดภาพ (เขียนในปี 2012-ปัจจุบัน) แม้พล็อตจะเป็นการ์ตูนทำอาหารที่เสริมการแข่งขันและฉากที่เหมือนจะใช้พลังพิเศษ แต่ก็ถือว่าผิดสไตล์ไปจากโชเน็นจัมป์ตามปกติ แม้แต่ มายฮีโร่ อคาเดเมีย ของอาจารย์โคเฮย์ โฮริโคชิ (เขียนในปี 2014-ปัจจุบัน) ที่พล็อตคร่าวๆ เกี่ยวกับ เด็กชายผู้ไม่มี ‘อัตลักษณ์’ หรือพลังพิเศษ ดูละม้ายคล้ายการ์ตูนยุคเก่าแต่ก็มีปมปัจจัยอะไรที่แตกต่างจากเดิม
ความเปลี่ยนแปลงนี้ชัดเจนมากขึ้นในช่วงหลังปี 2015 ที่ผลงานเรื่องใหม่และยังอยู่รอดได้โดยมีความเป็นมังงะสายเซย์เน็นมากขึ้น เพียงแค่ยังคุมรูปลักษณ์ของตัวละครให้เป็น ‘เด็ก’ สอดคล้องกับความเป็น ‘นิตยสารโชเน็น’ เท่านั้น เช่น พันธสัญญาเนเวอร์แลนด์ งานของอาจารย์ชิราอิ ไคอุ กับ อาจารย์เดมุซุ โพสุกะ (เขียนในปี 2016-ปัจจุบัน) เล่าเรื่องเด็กๆ ที่ถูกเลี้ยงในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าซึ่งความจริงแล้วเป็นฟาร์มมนุษย์เพื่อใช้เป็นอาหารสำหรับปิศาจ Kimetsu no Yaiba โดยช่วงแรกเดินเรื่องมาคล้ายๆ มังงะหลายเรื่องที่จู่ๆ พระเอกก็เสียครอบครัวไปเพราะมียักษ์บุกมากิน แถมปิศาจที่อาจจะกินครอบครัวดันเป็นน้องสาวของพระเอก พระเอกเลยพยายามไปสมัครเป็นหน่วยปราบยักษ์ แม้พล็อตจะดูซ้ำแต่การนำเสนอกลับเป็นเอกเทศ หลายต่อหลายสิ่งเดินเรื่องแบบน่าสนใจแต่ก็ขัดแย้งกับความรู้สึกที่อ่านเรื่องอื่นๆ
หลายอย่างที่ไม่เหมือนเดิมทำให้เรารู้สึกได้ชัดเจนว่า กองบรรณาธิการยุคปัจจุบันยอมรับให้มีการเปลี่ยนอะไรไปพอสมควร รวมถึงว่าการทำงานแบบสร้างสื่อผสมหลายชนิดในยุคนี้ก็จะไม่ฝืนแบบยุคก่อนแล้ว เพื่อสร้างงานที่สมบูรณ์ทั้งในฝั่งของผู้เขียนและในฝั่งของผู้บริโภค (อย่างเมื่อก่อน ดราก้อนบอลฉบับอนิเมชั่นจะมีตอนเสริมที่ไม่เกี่ยวข้อง แต่ในตอนนี้ อนิเมชั่นจากการ์ตูนในโชเน็นจัมป์จะไม่รีบทำขนาดนั้นอีกแล้ว)
เราก็ยังไม่ทราบว่าการ ‘กระโดด’ ครั้งใหม่เพื่อความอยู่รอดครั้งนี้ของนิตยสารโชเน็นจัมพ์จะลงเอยไปแบบใด (แม้ว่า บ.ก.คนปัจจุบันจะออกปากว่า ยอดขายของฝั่งออนไลน์นั้นสูงขึ้นมาก) และเราในฐานะผู้อ่านที่อายุอาจจะเกินวัยจะอ่านนิตยสารเล่มนี้จะแฮปปี้กับมันไหม ที่มั่นใจได้คือ ตราบใดที่โชเน็นจัมป์ยังแสวงหาความสดใหม่อยู่เสมอเราคงจะได้เห็นนักเขียนมังงะรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ได้โชว์ความเป็นไปได้ของการ์ตูนที่อยู่บนหน้ากระดาษนี้
อ้างอิงข้อมูลจาก
Youtube Channel: YonkouProductions