ไม่บ่อยครั้งเท่าไหร่ หรือจริงๆ แล้วจะเรียกว่าเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ ที่เราจะได้สัมภาษณ์ใครสักคนตรงหน้าเตาปิ้งย่างแบบนี้
ฟังดูเป็นสถานการณ์แปลกๆ แต่เหตุผลคือบุคคลที่เรากำลังจะได้พูดคุยด้วย เป็นหนึ่งในสมาชิกแห่งวง SWEAT16! ที่เพิ่งปล่อยเพลง ‘ปิ้งย่าง’ หรือ Yakiniku ออกมาให้เราได้ฟังกัน ที่สำคัญคือยังเป็นเพลงที่มีสถิติการเติบโตในยูทูบรวดเร็วที่สุดเท่าที่วงนี้เคยทำได้
มิหนำซ้ำ จากข้อมูลที่สืบค้นมาได้ แขกของเราในวันนี้ชื่นชอบการกินปิ้งย่างและหมูกระทะเป็นชีวิตจิตใจ รักมันมากในระดับไปกินคนเดียวอยู่บ่อยๆ จึงไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการชวนเธอคนนี้มากินปิ้งย่าง แล้วคุยกันไปถึงผลงานและเรื่องราวชีวิตต่างๆ ที่เพิ่งเกิดขึ้น
เตาไฟฟ้าเริ่มทำงาน หมูที่เราทดลองวางเริ่มสุกได้กำลังดี กลิ่นหอมของหมูชวนท้องของทีมงานร้องด้วยความหิว ตอนนั้นเองที่ ม่านมุก—ชดาธาร ด่านกุล เปิดประตูเข้ามาในห้องได้อย่างถูกจังหวะ
อย่ารอช้า หักผัก คีบตะเกียบ หยิบหมู เทน้ำจิ้ม แล้วเริ่มคุยกันเลย!
เพลงปิ้งย่างที่เพิ่งออกมามีคนพูดถึงกันเยอะมาก ตอนที่ม่านมุกได้ฟังเพลงนี้ครั้งแรกรู้สึกยังไงบ้าง
ตกใจกับแปลกใจมาก ไม่คิดว่าจะมีเพลงเกี่ยวกับปิ้งย่างอยู่บนโลกใบนี้ด้วย ปกติถ้าเป็นเพลงเกี่ยวกับของกินก็อาจจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสปอนเซอร์ แต่ทีนี้มันเป็นซิงเกิลหลักเลยจริงๆ แล้วเป็นซิงเกิลที่ใช้เป็นหน้าเป็นตาของเรา ก็นึกว่าพี่บอย โกสิยพงษ์ เขาอำพวกเราเล่นๆ เพราะเมื่อหลายเดือนก่อนพี่บอยเคยแอบส่งเนื้อเพลงมาให้ แล้วบอกว่าเห็นพวกเราชอบปิ้งย่างเลยแต่งเพลงนี้ขึ้นมา
ตอนแรกที่อ่านเนื้อเพลงนี้ก็คิดว่าน่ารักดีนะ แต่ไม่ได้คิดว่ามันจะมาเป็นซิงเกิลหลักหรอกมั้ง เพราะมันก็จะมีเรื่องของกินมากมาย แล้วเนื้อเพลงบางท่อนมันก็จั๊กจี้เกินไปด้วยนะ เช่นท่อนที่ร้องว่า คุณหมูจ๋า ฉันสัญญาว่าจะเคี้ยวเธอเบาๆ คือตอนแรกก็รู้สึกว่าน่ากลัวแปลกๆ (หัวเราะ)
จนมาถึงวันที่ได้ฟังตัวอย่างของเพลง เรากับน้องๆ ในวงก็รู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่าง คิดว่าเพลงนี้มันจะต้องมาแน่ๆ เพราะดนตรีมันดี ติดหู มีความเป็นไอดอลญี่ปุ่น ส่วนเนื้อเพลงมันดูเป็นสไตล์ไทยที่ไม่ไทยจ๋าจนเกินไป จริงๆ แล้วคนไทยก็คุ้นชินกับการกินปิ้งย่างหรือหมูกระทะเยอะอยู่นะ มุกเองก็ชอบปิ้งย่างมาก เลยดีใจที่ครั้งหนึ่งในชีวิตได้ร้องเพลงเกี่ยวกับของกินที่เราชอบ
ชอบเพลงนี้ที่ตรงไหน
เนื้อเพลงนี้มันแปลกมาก แล้วพอมันแปลกมาก มันก็เลยน่าสนใจ อย่างท่อนที่ร้องว่า คุโรบูตะ สันคอเบคอน แถมกระดูกอ่อนที่หมักโชยุร่วมกับมิริน ตอนแรกที่ฟังก็คิดว่ามันจะเป็นเพลงได้หรอ แต่สรุปแล้วมันก็เป็นเพลงได้จริงๆ แหละ เพลงมันติดหู มันมีชื่อของหมูที่เราชื่นชอบ แถมยังพูดถึงความสุขที่เราได้กินสิ่งที่เราชื่นชอบ แล้วท่อนที่บอกว่า จับเธอมาปิ้งๆ เนี่ย มันติดหูนะ นี่แหละเป็นเพลงที่เราอยากให้ SWEAT16! ได้เป็นที่รู้จักมากขึ้น
เวลาเราพูดถึง SWEAT16! คอนเซ็ปต์วงไม่ใช่ออกกำลังกายเหรอ
จริงอยู่ที่ซิงเกิลแรกเราคือ ‘วิ่ง’ ถัดมาคือเพลง ‘มุ้งมิ้ง’ แล้วก็มาต่อยมวยในเพลง ‘TKO’ เลยไม่คิดว่าเราจะถึงจุดนี้ได้เหมือนกัน แต่พี่บอยอธิบายว่าเพลงนี้มันมีเหตุผลนะ ที่ต้องเป็นปิ้งย่างก็เพื่อจะสื่อว่า ถ้าคาแรคเตอร์ของ SWEAT16! อีกด้านนึงคือกินกันเก่งมาก คือพวกเรายืนหนึ่งเรื่องการกินจริงๆ เรื่องของปิ้งย่างเป็นสิ่งที่เราชอบกันมาก เหมือนพี่บอยแต่งเพลงนี้มาเป็นของขวัญให้กับพวกเราด้วยซ้ำ เพราะถ้าหากเราตั้งใจทำงาน เราก็จะได้กินปิ้งย่างเป็นรางวัล
ครั้งสุดท้ายได้ที่กินปิ้งย่างนี่เมื่อไหร่
เมื่อวานนี้ เพิ่งกินปิ้งย่างคนเดียว ถาดใหญ่มากด้วย เมื่อวานมีเวลาว่างพอดี ก็เลยไปห้างเพื่อดูหนัง ระหว่างที่รอหนังเข้าก็คิดอยู่ว่าจะกินอะไรดี เดินผ่านหลายร้านมาก จริงๆ ก็คิดว่าจะกินอะไรที่มันง่ายๆ ดีไหมนะ แต่พอเดินผ่านร้านปิ้งย่างก็รู้สึกถึงเสียงบางอย่าง ที่เรียกร้องให้เราเดินเข้าไปในนั้น คือจะว่าไปก็คือวู่วามแหละ
คิดว่าอะไรฟังก์ชั่นของการกินปิ้งย่าง
ปิ้งย่างมันช่วยเยียวยาชีวิต เคยได้ยินไหมว่าเวลาเรามีเรื่องที่ท้อใจ ให้เข้าร้านหมูกระทะหรือปิ้งย่าง เพราะตอนที่คีบหมูแล้ววางบนเตา มันจะบอกเราว่า สู้ สู้! อันนี้ถือเป็นคติประจำใจอย่างนึงที่จำได้แล้วนำไปใช้ จริงๆ เวลากินของที่ชอบหรือของที่อร่อย มันเป็นการเยียวยาเรารูปแบบหนึ่งนะ
ฟังก์ชั่นของการกินปิ้งย่างคือการพบปะพูดคุย คุยแล้วก็ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ต่างๆ ที่การกินในรูปแบบอื่นอาจจะไม่ได้ให้มากเท่านี้ มันก็เป็นสิ่งที่เราต้องทำมันด้วยตัวเราเอง มันต้องปิ้งหมู ต้องเด็ดผัก ต้องปรุงน้ำจิ้ม มีองค์ประกอบหลายอย่างให้เราเลือกสรรในการกินปิ้งย่างแต่ละครั้ง
เชื่อแล้วว่าเป็นคนอินกับปิ้งย่างจริงๆ เพราะมันเป็นกิจกรรมที่สนุกรึเปล่านะ
เวลาไปปิ้งย่างทุกคนก็จะล้อมรอบเตา แล้วทุกคนก็สลับกันปิ้ง สลับกันจิ้ม มันคือช่วงเวลาที่ทุกคนได้มองหน้ากัน แล้วก็ได้คุยกันระหว่างรอหมูสุก คือถ้าเทียบกับอาหารจานเดียว เราก็กินเสร็จจ่ายเงินแล้วก็จบ แต่พอเป็นปิ้งย่างมันมีเวลาให้ได้รอหมูสุกไปพร้อมกัน พอมันยังไม่สุก เราก็ต้องคุยกัน จะกดมือถือมากก็ไม่ได้ เดี๋ยวหมูไหม้อีก คิดว่าถ้าเป็นกิจกรรมที่ไปกินกับเพื่อนหรือคนรู้จัก เราก็จะได้คุยกันมากขึ้นแล้วก็อร่อยด้วย
มุกเป็นคนชอบกินหมูกระทะ ชอบกินปิ้งย่างมากๆ เคยคิดเหมือนกันนะว่ามันจะแปลกๆ รึเปล่า เห็นโต๊ะข้างๆ มาเป็นครอบครัวเลย ไม่ก็มาเป็นกลุ่มเป็นแก๊ง แล้วเรามานั่งคนเดียว ตอนแรกก็จะมีความรู้สึกเขินๆ แต่ถ้าผ่านครั้งแรกไปแล้วมันก็จะไม่เขินแล้ว
กินคนเดียวก็สนุกดี มันก็อร่อยดี ไม่มีใครมาแย่งกิน เราก็กินเต็มที่เท่าที่เราอยากกินได้ อยากทำอะไรก็ทำ มันจะเป็นคนละฟีล (พูดเสร็จก็เอาตะเกียบคีบหมูขึ้นมากิน)
ที่บอกว่ากินคนเดียวบ่อยๆ แปลว่าเราก็เป็นคนที่ชอบพึ่งพาตัวเองเหมือนกัน
ใช่ มุกเป็นเด็กต่างจังหวัด ออกมาจังหวัดชัยภูมิเพื่อมาเรียนที่กรุงเทพตั้งแต่สมัยเรียนปีหนึ่ง ชีวิตแบบนี้มันฝึกฝนให้เราต้องดูแลตัวเอง เพราะว่าเราไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ และรู้สึกว่าอยากจะอยู่ให้ได้โดยไม่ทำให้ใครเดือดร้อนมากนัก แต่ไม่ได้เป็นคนที่เก่งแบบว่าไม่ต้องพึ่งพาใครนะ จริงๆ แล้วมุกเป็นคนติดเพื่อนนะ ซึ่งถ้าทำหลายๆ สิ่งด้วยกันได้ก็อยากทำด้วยกัน
แต่ถ้าเราเรียนรู้ที่จะอยู่กับตัวเองและอยู่กับคนอื่นด้วย ถ้าทำสองอย่างได้มันก็คงจะดีกว่าเราติดอยู่กับแค่คนอื่น
คิดว่าตอนนี้พึ่งตัวเองได้มากแค่ไหน
ก็นิดหน่อย ในแง่ของสามารถที่จะดูแลตัวเองได้ ทุกวันนี้สามารถส่งเงินให้พ่อแม่ได้ สามารถดูแลตัวเองได้ ร่าเริงได้ มีสุขภาพที่ดี ไม่เจ็บป่วยมากมาย ถึงแม้ขาจะเจ็บอยู่ก็ตาม สามารถดูแลตัวเองได้ แต่ถึงยังไงก็ตาม เราก็ต้องพึ่งพาคนอื่นอยู่ดี
นิสัยเริ่มชอบที่จะพึ่งตัวเองมันเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนเด็กๆ เลยรึเปล่า
ตอนเป็นเด็กมัธยม มุกอยู่กับที่บ้านตลอด เพราะที่ชัยภูมิไม่ได้มีห้างให้เราไปเที่ยวเยอะมากนัก เลยไม่ได้ไปไหนมาก ตอนเด็กๆ เราเป็นคนที่เรียบร้อยมาก เลิกเรียนเสร็จก็กลับบ้าน ไปกินข้าวกับคุณพ่อคุณแม่ ชีวิตเราตอนสมัยมัธยมมันสบายและเป็นคุณหนูมาก ไม่ค่อยทำอะไร มีคนทำให้ทุกอย่าง แต่พอมาอยู่กรุงเทพชีวิตก็เปลี่ยนไปเยอะเหมือนกัน ต้องเดินทางเอง ทำกับข้าวเอง ไม่ได้มีคนมาเอาใจเราเหมือนตอนอยู่ที่บ้านแล้ว
ฟังดูแล้วเหมือนชีวิตเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ
มุกคิดว่ามันค่อยๆ เปลี่ยนไปเรื่อยๆ นะ ซึ่งเราไม่ได้ละทิ้งความเป็นตัวเองมากนัก แค่รู้สึกว่าเมื่อโตขึ้นเราก็มีสิ่งที่ต้องจัดการ และรับผิดชอบมากขึ้น เราจะนั่งอยู่เฉยๆ แล้วรอให้คุณพ่อคุณแม่มาดูแลไม่ได้แล้ว
เราต้องรับผิดชอบตัวเองบ้าง ทั้งนั้นทั้งนี้ มุกเองก็ยังติดพ่อแม่อยู่ดี มีอะไรก็ปรึกษาตลอด ส่วนหนึ่งที่พ่อแม่ยอมให้มุกมาอยู่กรุงเทพ คงเพราะเข้าไว้ใจว่ามุกสามารถดูแลตัวเองได้นี่แหละ
ถ้าถามว่าตัวเองพึ่งพาตัวเองได้ขนาดนั้นไหม มันก็ได้ประมาณนึงนะ ทุกวันนี้ไม่ได้มีตัวเราเองแล้ว นอกจากที่เราอยากเป็นคนที่พึ่งพาตัวเองได้ ยังอยากเป็นที่คนอื่นสามารถพึ่งพาได้เหมือนกัน ด้วยความที่เราโตกว่าใครหลายคนในวงด้วย และด้วยคำที่ว่าเป็นพี่สาวของน้องๆ มันเลยทำให้เราอยากเป็นพี่สาวที่น้องๆ พึ่งพาได้จริงๆ ในเวลาที่เขามีปัญหาหรือไม่มีทางออก เราก็อยากทำให้เขามีกำลังใจขึ้นมา
เวลาเห็นน้องบางคนในวงเครียดๆ เราก็ชวนเขาไปกินข้าวนะ เลี้ยงข้าวด้วย ด้วยความที่เป็นพี่สาวที่เรียนจบแล้ว มันอาจจะเป็นเรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ ที่เขาไม่ได้คิดอะไร แต่เราเต็มใจทำให้ ถ้ามาคิดดูมันก็มีคุณค่าเหมือนกัน
ม่านมุกเคยเล่าว่ามีช่วงนึงระหว่างเรียนจบ และรอเดบิวต์เป็นไอดอล ซึ่งตอนนั้นชีวิตก็ยังไม่สามารถพึ่งตัวเองได้เท่าไหร่ พอเล่าได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง
ตอนนั้นแย่มาก เป็นช่วงที่ดาวน์ที่สุดตั้งแต่อยู่วงนี้มา มันเป็นช่วงที่มุกยังเป็นเด็กฝึกหัด ยังไม่มีชื่อวง ไม่รู้ว่าจะได้เดบิวต์เมื่อไหร่ ไม่รู้ว่าออกไปแล้วจะดีไหม คนจะให้ความสนใจแค่ไหน ที่สำคัญคือตอนนั้นเราเป็นเด็กฝึกหัด จึงยังไม่มีเงินเดือน
ด้วยความที่เราเรียนจบแล้ว รับปริญญาแล้ว เลยรู้สึกว่ามันจะดีหรอ แล้วเราเห็นเพื่อนหลายคนที่เขาไปได้ดีทางอื่นแล้ว ซึ่งเรามาเต้นมาร้องเพลงโดยที่ยังไม่รู้ว่าอนาคตของเราจะไปในทิศทางไหน
มุกอินกับเรื่องความฝันมาก มีความฝันตั้งแต่เด็กว่าอยากเป็นนักร้อง อยากร้องเพลง ความฝันในสมัยเด็กมันก็เหมือนลูกอม เหมือนขนมที่มันดูสดใสน่ากิน แต่พอเราโตขึ้นในอีกระดับนึง ความฝันมันไม่ใช่แค่สิ่งที่สวยงามอย่างเดียว มันต้องมองที่ความเป็นจริงด้วย
มีหลายครั้งที่คิดว่าหรือจริงๆ แล้วความฝันมันกินไม่ได้รึเปล่า มันไม่สามารถดูแลตัวเราและครอบครัวได้รึเปล่า เพราะเรามีสิ่งที่ต้องคิดหลายอย่างมาก เราไม่ได้อยากที่จะขอเงินที่บ้านใช้ไปตลอด เราอยากจะดูแลที่บ้านได้บ้าง ตอนนั้นเลยเครียดมาก และกลับมาทบทวนกับตัวเองอยู่หลายรอบ ว่าสิ่งที่ทำอยู่มันใช่จริงๆ ไหม และมันควรจะเป็นอย่างนี้จริงๆ รึเปล่า
แล้วอะไรที่ทำให้เราตัดสินว่าจะไม่ยอมละทิ้งความฝัน
มุกเองก็ถามตัวเองตลอดว่าแล้วที่อยู่ตรงนี้มันมีความสุขไหม คำตอบคือ เราก็มีความสุขมากๆ กับสิ่งที่ได้ทำ เลยรู้สึกว่า ถึงแม้ความฝันยังกินไม่ได้ก็ตาม แต่มันก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะคว้าความฝันมาได้
มุกออดิชั่นมาเป็นสิบๆ ที่ตั้งแต่สมัยอายุสิบสี่ ถ้าตอนนี้อายุสิบห้าหรือสิบหก มุกจะไม่เครียดเลย แต่มุกมาคว้าความฝันได้ตอนอายุยี่สิบสอง แล้วต้องฝึกอีกหนึ่งปีเพื่อที่จะได้เดบิวต์ คือเราใช้เวลาตั้งยี่สิบกว่าปีเพื่อตามความฝันเลยนะ แล้วเราจะมาท้อตอนนี้และทิ้งมันไปหรอ
เลยคิดได้ว่าเอาน่ะ สู้สักตั้งดีกว่า พอผ่านจุดนั้นมาได้จนเดบิวต์มันก็คิดน้อยลงแล้ว เลยดีใจที่ตัวเองไม่ท้อไปเสียก่อน
หลังจากเดบิวต์มาแล้ว เจอจุดเปลี่ยนอะไรในชีวิตอีกบ้าง
ตอนนี้เราเดบิวต์มาได้ประมาณหนึ่งปีแล้ว ก็เหมือนกับเดินทางมาไกลประมาณนึง มุกว่าความรู้สึกบางอย่างที่เคยมีมันอาจหายไปบ้าง เช่นความรู้สึกตื่นเต้นเวลาขึ้นเวที มุกรู้สึกว่า พอเราอยู่ในจุดที่สูงขึ้น ได้ทำงานหลากหลายมากขึ้น มุมมองบางอย่างมันก็เปลี่ยนไปนะ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องดีหรอก
บางทีเราอยู่ข้างบน เรามองแต่ว่าจะทำยังไงให้วงไปได้ไกลกว่านี้ จะทำยังไห้คนมารักเรามาขึ้น จะทำยังไงให้ทุกอย่างมันดีขึ้น
มันก็มีช่วงนึงที่มุกไม่ได้โทรหาที่บ้านเลย คือทำงานทุกอย่างจนลืม มัวคิดว่าวันนี้ต้องอัพเพจว่ายังไง วันนี้ยอดกดไลก์เยอะรึเปล่า หรือมีคนติดตามเพิ่มขึ้นกี่คน ทำยังไงเพลงจะดี ทำยังไงเต้นจะพร้อม ทำยังไงเราถึงจะเก่งขึ้น จนเราลืมรายละเอียดต่างๆ
เรามัวสนใจแค่จะทำยังไงให้คนมารักเรา มากกว่าที่จะดูแลคนรอบข้าง ซึ่งบางทีเราก็ไม่รู้ตัวหรอกว่าได้ทำให้คนรอบข้างเสียใจรึเปล่า หรือทำให้เขาผิดหวังในตัวเรารึเปล่า
มุกไม่รู้ว่ากลับบ้านที่ชัยภูมิครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ ไม่ได้กลับมานานมากๆ มุกไม่รู้ว่ากอดพ่อแม่ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ด้วยซ้ำ ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่เราต้องแลกเพื่อจะมายืนตรงจุดนี้ ซึ่งก็รู้ว่าการอยู่ตรงจุดนี้มันต้องเสียอะไรไปบ้าง เราเลยรู้สึกถึงคุณค่าของสิ่งที่เราเสียไปนะ
ถึงเราจะเสียอะไรไป ถึงเราจะอยู่จุดที่สูงแค่ไหน ถึงเราจะอยู่โตขึ้นแค่ไหน แต่เราต้องไม่ลืมคนที่อยู่ข้างๆ เราหรือคนที่อยู่ข้างหลังเรา ซึ่งมันทำให้เรากลับมาคิดกับตัวเองมากขึ้น
ได้เรียนรู้อะไรจากการกลับมานั่งคิดทบทวนกับตัวเอง
เราอาจจะเป็นคนที่เพอร์เฟ็กต์ชั่นนิสต์ประมาณนึง คืออยากทำทุกอย่างให้ดี แต่จริงๆ แล้วคนเราไม่มีใครที่เพอร์เฟ็กต์อยู่แล้ว ไม่มีใครที่ทำทุกอย่างพร้อมกันได้หมด มันก็มีช่วงนึงที่เราต้องมานั่งทบทวนตัวเองอีกแล้วว่าความสุขของเรามันคืออะไร ความสุขของเราคือการที่เราดังหรอ ความสุขคือการที่เราอยู่สูงขึ้นหรอ ก็มาคิดว่ามันใช่รึเปล่า สรุปคือมันไม่ใช่ ตอนนั้นเรามองผิดจุด เพราะจริงๆ แล้ว ความสุขของเรามันก็แค่เรื่องธรรมดาเอง แค่ได้ร้องเพลง ได้เต้น ได้แสดงบนเวที ได้เจอกับแฟนคลับ และเพื่อนทุกคน
ความสุขมันเกิดขึ้นได้ง่ายมาก แต่ในจุดนั้นที่เราเคยอยู่ เรากลับมองว่าความสุขมันเป็นอย่างอื่น
เริ่มมาคิดเยอะๆ กับเรื่องแบบนี้ตั้งแต่ตอนไหน
เมื่อไม่นานมานี้เอง เพราะมุกมีโอกาสได้คุยกับเพื่อนที่สนิทมากคนนึง เขาเป็นคนที่เรามักเอาเรื่องไม่สบายใจไปปรึกษาบ่อยๆ ในวันที่เราท้อและไม่สบายใจ เขาก็ถามเรามาคำนึงว่า ทำไมคิดเยอะจัง ถามจริงๆ มีความสุขกับอะไร มันก็เลยเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เรามานั่งคิดว่า จริงๆ แล้วเรามีความสุขกับอะไรนะ
ที่ผ่านมันก็มีอะไรหลายอย่างเกิดขึ้นนะ บางทีเวลาเรามองไอดอล ก็มักมองว่าต้องสดใสร่างเริงตลอด ต้องมอบรอยยิ้ม มอบพลังบวก และต้องเป็นแบบอย่างที่ดีตลอด แต่จริงๆ แล้วไอดอลทุกคนไม่ใช่เครื่องจักร มุกเองก็เป็นแค่เด็กคนนึงที่มีความฝันที่อยากจะทำในสิ่งที่มุกรัก อยากมอบความสุขให้กับคนที่รักมุกเหมือนกัน
ทุกคนมีความรู้สึกได้ ทุกคนสามารถท้อได้ ดาวน์ได้ แต่มันอยู่ที่ว่าเราจะขึ้นมาจากความท้อนั้นยังไง มุกก็เลยปล่อยวางมากขึ้น เราคาดหวังได้ แต่อย่าให้ความคาดหวังทำร้ายเรา เราทะเยอทะยานได้ แต่อย่าให้ความทะเยอทะยานนั้นมาทำร้ายเรา
ตอนนี้มุกคิดเลยแค่ว่า มุกมีความสุขที่ได้อยู่ตรงนี้ ได้ร้องเพลง ได้เต้น ได้มีแฟนคลับที่น่ารักและเขาก็รักเราแบบที่เราเป็นจริงๆ โดยที่เราไม่จำเป็นต้องกลายเป็นคนอื่นเลย ซึ่งมันเป็นสิ่งที่พิเศษมากๆ ที่จะเกิดขึ้นกับชีวิตเด็กคนนึงได้ แค่นี้มันก็พอแล้วแหละ
ถามว่าคาดหวังกับอนาคตไหมว่ามันจะต้องดังขึ้น ไปได้ไกลขึ้น มันต้องคาดหวังอยู่แล้ว แต่ว่าตอนนี้เราก็แฮปปี้แล้ว
ตอนนี้เลยกลายเป็นม่านมุกที่ชีวิตเลเวลอัพขึ้น
ใช่ เหมือนเล่นเกมแล้วเลเวลอัพขึ้น ผ่านด่านบอสไปทีละอย่าง ถือว่าตัวเองโตขึ้นนะ ในเรื่องของกระบวนการคิดและเรื่องต่างๆ มากมาย ชีวิตเรามันมีหลายองค์ประกอบ บางทีเราก็ลืมว่าเรามีความสุขกับสิ่งที่ง่ายๆ ได้ เราไปมองกับสิ่งที่มันยากๆ และกดดัน เราสามารถยืนอยู่บนจุดที่สูงๆ แล้วมีความสุขได้ไม่ใช่เหรอ
อาจจะเพราะมุมมองต่อความสุขของเราเปลี่ยนไปรึเปล่า
จริง ถึงบอกไงว่า บางทีการได้กินของที่ชอบมันก็เป็นความสุขอย่างนึง และช่วยเยียวยาเราได้แล้วนะ บางคนอาจจะมองว่าช่วงนี้ท้อใจไม่มีความสุขเลย
แต่ความสุขมันก็หาได้ง่ายๆ เพียงแค่เราปรับมุมมองสักหน่อย เปิดตามากขึ้นเปิดใจมากขึ้นก็จะเจอความสุขได้ง่ายกว่า
หมายเหตุ : การสัมภาษณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นก่อนที่ม่านมุกประกาศพักงานเนื่องด้วยอาการบาดเจ็บ