ในขณะที่ ภูมิ วิภูริศ มีไดอารี่วัยเด็ก เป็นต้นทางของการแต่งเพลง แม็กซ์ ณัฐวุฒิ เจนมานะ ใช้การจมลงไปในความทรงจำ เพื่อค้นหาเรื่องราวที่เขาอยากบอกเล่า โลกของศิลปินทั้งสองคนนี้ จึงดูเหมือนจะคล้ายกันในแง่ของกระบวนการทำเพลง
โลกของทั้งสองคนยังได้ทับซ้อนกัน ผ่านผลงานที่เกิดขึ้นในโปรเจ็กต์ Crossplay 3 ที่จัดขึ้นมาโดยฟังใจ เมื่อแม็กซ์เลือกหยิบเพลง Lover boy ของภูมิมาตีความใหม่
เขาให้คำอธิบายว่า “นี่คือเลิฟเวอร์บอยสำหรับคนเลว”
ขณะที่รุ่นน้องในวงการอย่างภูมิ ขอทำเพลง Wine ด้วยความรู้สึกยินดี แทนที่ความโศกเศร้าแบบเดิม “แทนที่จะเล่นเพลงนี้ในมุมของหนุ่มโศกผู้กำลังพลัดพรากจากคนรักเก่า ผมมองว่ามันคือความรู้สึกยินดี”
บ่ายวันหนึ่งในร้านอาหารย่านเอกมัย เรามีนัดพูดคุยกับทั้งสองคนถึงโลกที่ Cross กันไปมา และประสบการณ์ต่างๆ ที่ทั้งสองคนเคยเจอในฐานะศิลปิน
ชีวิตหลังการเดินเข้าป่า และชายหาดใน Lover boy ของพวกเขาจะเป็นอย่างไรกันบ้างนะ?
มาทำงานร่วมกันได้ยังไง
ภูมิ: ตอนแรกทางฟังใจชวนภูมิมาโปรเจ็กต์นี้ แต่เราไม่ได้รู้มาตั้งแต่แรกว่าเราจะได้ crossplay กับใคร คือมารู้ทีหลังว่าจะได้ร่วมงานกับพี่แม็กซ์
แม็กซ์: ทีมงานเขาถามว่าผมอยาก cross กับใคร ตอนนั้นเราอยากทำงานกับภูมิมากเลย เลยชวนมาทำงานด้วยกัน
ทำไมแม็กซ์ถึงชวนภูมิ
แม็กซ์: ผมชอบเพลงน้องอยู่แล้ว คิดว่าถึงแม้เราจะมีอะไรหลายอย่างต่างกัน แต่ก็มีความเหมือนกันอยู่หลายเรื่องเหมือนกัน เราน่าจะมีอะไรที่สามารถมาแชร์กันได้ มันน่าลองดี ผมอาจจะต้องการช่วยเหลือจากน้อง เราอยากยืมความสดใสของน้องเขามาใช้ในงานตัวเองบ้าง แต่พอลองดูแล้ว กลับหม่นเฉยเลย (หัวเราะ)
ภูมิ: ผมชอบเพลงที่ใช้การเปรียบเปรยอยู่แล้ว เหมือนในเพลง Wine ของพี่แม็กซ์ มันน่าสนใจมากๆ พอเราได้มาร่วมตีความเพลงใหม่ ก็ได้แลกเปลี่ยนมุมมองและสุนทรียะของเพลง
เราเห็นภูมิเคยอธิบายว่า อยากทำให้เพลง vine ของแม็กซ์ดูมีความสุขสดใสขึ้น ทำไมถึงตีความแบบนั้น
ภูมิ: ผมตีความท่อนฮุกว่า สุดท้ายแล้วการที่เรารักใครบางคน เราไปครอบครองเขาไม่ได้นะ มันต้องปล่อยไป
แม็กซ์: ฟังดูเป็นแง่ดีมากเลย
ส่วนแม็กซ์ก็อธิบายว่าอยากทำให้ Lover boy ของภูมิดูเลวมากขึ้น
แม็กซ์: เขาทำให้ผมนึกถึงตัวเองตอนอายุเท่าเขา เพราะเราเคยมองโลกแบบนั้น มันเป็นเรื่องที่ดีมากเลย เราอยากเก็บความเป็นสิ่งนี้เอาไว้ อยากเพลงของผมที่เขาเอาไปทำ เขาก็ทำมันโดยอีกมุมมองที่ปลงแล้ว และพร้อมจะเดินต่อไป แต่ของผมมันจะจมดิ่งกับรสชาติต่างๆ ที่เป็นคนละฟีล ผมตีความ Lover boy อีกด้านนึง ซึ่งมันจะต่างกับภูมิแล้วมันก็จะเลวหน่อย
แล้วภูมิได้รู้อะไรใหม่ๆ จากการ cross เพลงแบบนี้บ้าง
ภูมิ: ผมเริ่มต้นการเป็นนักดนตรีจากการโคเวอร์เพลงคนอื่น ภูมิไม่ได้เรียนดนตรีมา ไม่เคยได้ลองทำเพลงไทยด้วย พอได้โอกาสนี้มา และเป็นเพลง Wine ที่เราชอบที่สุด ตอนอัดเพลงนี้เราได้เรียนรู้อะไรมาก มันเป็นประสบการณ์ที่ได้เติบโต
ตอนไปอัดเสียงคือทำไปด้วยกันเลยรึเปล่า
แม็กซ์: แยกกันทำ ผมคุยกับโปรดิวเซอร์ของเขาว่าขอฟังเพลงหน่อย แต่เขาไม่ให้ผมฟัง (หัวเราะ) ผมก็เลยโอเค งั้นกูไม่ให้ฟังบ้าง แต่สุดท้ายก็อัดไปให้ฟังนิดนึง แล้วแลกกัน คือเราพยายามแยกกัน ไม่กวนกระบวนการทำงานของกันและกัน
ภูมิ: พอได้ฟังแล้วรู้สึกว่าเป็นเซอร์ไพร์สที่ดีมากๆ ไม่คิดว่าพี่แม็กซ์จะตีความเพลงเราในแบบนี้
คิดว่าการออกจากพื้นที่ที่ตัวเองถนัด แล้วมาจับเพลงของศิลปินคนอื่น มันยากแค่ไหนบ้าง
แม็กซ์: ยากนะ แต่ทำแล้วก็สะใจดี มันไม่ได้มีการันตีว่าออกมาแล้วจะเป็นยังไงบ้าง แต่ก็ออกมาเถอะ ถ้าเบื่อก็ออกมา
ภูมิ: คิดว่าดีนะ มันช่วยให้เรารู้ว่าสิ่งที่เราทำออกไปแล้วมันเวิร์คแค่ไหน
ภาษาอังกฤษมีคำว่า you enslave to your own creation คือเมื่อสิ่งเราทำอะไรที่รัก และสร้างประโยชน์ให้เราได้เยอะมากๆ มันอาจทำให้เรารู้สึกว่า ต้องทำแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ซึ่งโปรเจ็กต์ Crossplay นี้มันทำให้เราได้ออกมาจากบรรยากาศที่เราเคยชินได้
แม็กซ์: มันยากนะเรื่องแบบนี้ คือมีศิลปินหลายคนที่ keep doing what they are doing best และก็ทำซ้ำไปเรื่อยๆ ซึ่งเรื่องแบบนี้ไม่มีผิดไม่มีถูกนะ คือดนตรีมันเกี่ยวกับทัศนคติเลย บางคนอาจจะโอเคกับการเดินทางนี้ต่อไป ลองแบบนี้ไปเรื่อยๆ เพื่อเก่งขึ้นในทางของตัวเอง หรือบางคนอาจจะอยากลองสิ่งใหม่ มันก็เป็นสิทธิของเขาที่จะลองอะไรใหม่ๆ
ซึ่งโอกาสที่เราได้ crossplay กัน มันคือสิ่งที่นี้ทำให้เราได้ออกมาจากความจำเจที่เคยทำงาน เปิดมุมมองใหม่ๆ อย่างผมได้ก็ได้วิธีการทำเพลงใหม่ๆ จากภูมิ มันก็ได้เข้าไป get in his shoes จริงๆ
เข้าใจว่านี่คือการได้ทำเพลงไทยครั้งแรกจริงๆ ของภูมิ สำหรับภูมิแล้วมันยากยังไงบ้าง
ภูมิ: ถ้าต้องเล่าเรื่องเป็นภาษาไทยมันเป็นเรื่องยากมากๆ โดยเฉพาะการตีความ เล่าเรื่องให้มันเป็นคำสวยงาม มันยากมาก การได้มาศึกษาจากเพลงพี่แม็กซ์ เราได้เรียนรู้อะไรเยอะมาก
ทั้งสองคนก็มีเพลงที่ค่อนข้างติดหูคนมากๆ ทั้งเดินเข้าป่ากับ Lover boy อยากรู้ว่ากระแสนิยมที่มันเข้ามา มันทำเส้นทางหลังจากนั้นเป็นยังไงบ้าง
แม็กซ์: ความตั้งใจแรกในการทำงานของเราไม่ได้ต้องการให้มันป๊อปหรือแมสเลย เราอยู่ในยุคทองของวงการเพลง ที่เราสามารถคุยกับคนฟังได้โดยตรง สามารถมีฐานแฟนเพลงของเราได้โดยไม่ต้องหว่านแห เราเดินไปในทางของเราไปเรื่อยๆ ซึ่งผมเชื่อว่า ถ้าตั้งใจทำในแบบของตัวเองให้ดีที่สุด มันจะไป touch คนส่วนมากเอง มันก็เหมือนถูกหวยสักเพลงนึงที่มันจะไปโดนคนทั่วไป ผมกับภูมิก็ทำแนวนี้มาตั้งนานแล้ว มันก็ขึ้นอยู่กับเวลาว่าฐานมันขยายเมื่อไหร่
ผมก็มีหลงทางเหมือนกันนะ ว่าจะทำยังไงกับความแมสต่อไปดี ผมก็ได้คำตอบแล้ว คือช่างมัน คือทำแบบที่เราทำต่อไปนี่แหละ ทำให้งานมันได้มาตรฐานเดิมหรือทำให้ดีขึ้น ไม่ให้มาตรฐานของตัวเองมันตกลง ไม่ต้องไปคิดเรื่องคนอื่นเลย
ภูมิ: ผมเห็นด้วยมาก ช่วงหลังที่เพลง Lover boy มันบูมในไทย ก็เจอคอมเมนต์ประมาณว่า ตอนนี้ภูมิแมสแล้ว คือตอนที่ผมปล่อยเพลงนี้ออกไป ตอนนั้นผมทำเอาสนุกมากๆ พอมันเป็นเพลงที่ติดหู เราก็ต้องปรับตัวให้ทันว่าจะไปทางไหนต่อ สุดท้ายแล้ว ถ้าเราทำเพลงนั้นไปด้วยความชอบ และความรักมันจริงๆ เราก็ต้องเก็บความรู้สึกและมุมมองแบบนั้นต่อไป คนฟังเขาก็เปลี่ยนรสนิยมไปเรื่อยๆ เราเองที่เป็นศิลปินก็เปลี่ยนรสนิยมเรื่อยๆ ดังนั้นเราก็ต้องทำในสิ่งที่เราชอบที่สุด
ซึ่งเรื่องอย่างนี้มันเป็นเพราะเราอยู่ในยุคที่มีทางเลือกฟังเพลงเยอะมากๆ
แม็กซ์: มันเป็นเรื่องดีด้วยนะ คือตอนนี้คนฟังป็นคนนิยามวงการเพลงนะ ไม่ใช่วงการเป็นคนให้นิยามกับคนฟังเหมือนแต่ก่อน คือคนฟังเป็นคนเลือกเอง ไม่ใช่ความผิดคนฟังที่จะเลือกฟังอันใดอันนึงมากกว่า เราบังคับเขาไม่ได้ ผมคิดว่ามันเป็นยุคที่ดีนะ ที่การตลาดต้องคิดงานกันหนักกว่าเดิมนะ แต่ละคนต้องรู้จุดแข็งของตัวเอง ต้องรู้ว่าตัวเองแข็งแกร่งในด้านไหน
ภูมิ: เหมือนผู้ฟังมีทางเลือกเยอะมากๆ มันก็ดีในมุมมองที่เราเป็นคนฟังเพลงและเลือกฟังเพลง
แม็กซ์: แล้วมันทำให้เราต้องแข่งกันทำเพลงให้ดีขึ้นเพื่อคนฟังด้วยนะ เมื่อมันไปได้ไกลขึ้น เร็วขึ้น เทคโนโลยีดีขึ้น เพลงก็มีโอกาสทำให้ดีขึ้นตาม
ในอีกด้านนึงล่ะ ความนิยมและความคาดหวังมันส่งผลอะไรดาร์คๆ กับเราบ้างไหม
ภูมิ: พอมีเพลงๆ นึงที่มันทำให้เรามีชื่อเสียงมากขึ้น ในทางหนึ่ง เราก็อาจจะต้องเลือกว่าจะเป็นแบบนี้ต่อไป หรืออิมเมจของภูมิต้องเป็น Lover boy ที่ยิ้มและเดินจีบสาวแบบนี้ตลอดไปไหม ภูมิก็เคยเครียดกับเรื่องแบบนั้นนะ แต่ตอนนี้หลุดพ้นมาได้แล้ว (หัวเราะ)
หลุดมาได้ยังไง
ภูมิ: มันคือจุดที่คิดได้ว่า สุดท้ายแล้วก็ต้องทำในสิ่งที่เราชอบ และเราจะไปติดอยู่ในอดีตของเพลงเราไม่ได้ ตัวภูมิเองหลุดพ้นจากความเป็นพ่อหนุ่มคนนั้นมาสักพักแล้ว
น่าสนใจดีเหมือนกัน เข้าใจว่าแม็กซ์เองก็น่าจะเจอกับเรื่องแบบนี้มาก่อน
แม็กซ์: ผมก็จะโดนถามตลอดว่า เดี๋ยวผมจะไปเข้าอะไรต่อหลังจากเดินเข้าป่า ผมคิดว่าภูมิโตเร็วนะ คือผมยอมรับนะว่าตัวเองก็ยัง งงๆ อยู่ จนถึงวันนี้ผมก็ยังสับสนในใจอยู่เสมอนะ ว่าตกลงแล้วเราควรจะทำยังไงดี มันอาจจะเป็นข้อดีของผมก็ได้นะที่มีความงงเสมอ แต่ความป๊อปเนี่ย มันมาจากคำว่าป๊อปปูล่า มันไม่ได้หมายความว่างานไม่ดีนะ คือเราประทับใจที่มีคนฟังเยอะนะ แต่พอคนฟังเยอะ ก็ต้องมีอะไรที่ต้องดีลเยอะ จนต้องปิดหูปิดตาบ้างเหมือนกัน
เช่นอะไรบ้าง
แม็กซ์: ยกตัวอย่างบางคอมเมนต์ที่ค่อนข้างทำลายล้าง บางครั้งอาจจะต้องกลับไปหาทางของเรา ว่าเราทำงานไปเพื่ออะไร จะได้รู้ว่าจริงๆ แล้วเราต้องการพลีสใคร สมมติ เพลงนี้เราอาจจะต้องการพลีสคนอื่น มันก็จะไม่มีกฎแล้ว เพราะเราพูดถึงเรื่องที่มันกว้างขึ้น หนาขึ้น เราอาจจะต้องถ่วงดุลให้คนฟังเข้าใจง่ายขึ้น คือเราจะสุดโต่งแบบไม่เอาความป๊อปไม่ได้ เพราะแต่ละเพลงมันก็ไม่เหมือนกัน
ภูมิ: ชื่อเสียงที่มันมากับการเป็นดนตรี บางครั้งมันก็เบี่ยงเบนมุมมองของเราได้ เช่นเรื่องคอมเมนต์มันก็เป็นอะไรที่น่าสนใจมาก คุณสามารถอ่าน 2,000 คอมเมนต์ได้ทั้งหมด แต่ถ้าเจอคอมเมนต์แย่ๆ เพียงอันเดียว มันจะเป็นอะไรที่เราจดจำมันได้ง่ายมาก มันทำให้เราต้องเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น
แม็กซ์: คอมเมนต์ด้านลบอันเดียวสามารถทำให้เรานอนก่ายหัวได้ 3 วันเลยนะ มันเป็นคำสาปของศิลปินนะครับ
ภูมิ: มันเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้นะ ไม่ว่าจะเป็นศิลปินแนวไหน เพราะเราเองก็อยากฟังฟีดแบคว่าคนพูดถึงมันยังไง
คิดว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้เราโตเป็นมืออาชีพมากขึ้น
ภูมิ: น่าจะเป็นตอนที่ไปทัวร์ต่างประเทศ พอเราได้ไปเจอคนฟังที่อยู่ในประเทศอื่นๆ การเล่นดนตรีสดเป็นเรื่องสำคัญมากๆ เราไม่เคยรู้ว่าผู้ฟังกลุ่มนี้เขามีตัวตนอยู่ด้วยนะ พอเป็นแบบนี้ เราเลยโฟกัสกับการเล่นสดมากๆ เพื่อให้เขาได้รับประสบการณ์ที่ดีกลับไป เรารู้เลยว่าการเล่นสดสำคัญที่สุดในยุคดิจิทัล
แม็กซ์: ตอนเริ่มทำอัลบั้มผมทำเพลงจากสิ่งที่คิดออกมาถ่ายทอด แต่พอเริ่มทัวร์ ผมรู้จักกับการเผชิญหน้ากับปัญหามากขึ้น อย่างช่วงนี้ มันทำให้เรารู้ว่า เราชอบอยู่ในสตูดิโอ ชอบเขียน ชอบคิด คือจะทำยังไงให้งานเราออกไป แล้วได้มีความสุข ผมไม่รู้ว่าคนอื่นเป็นยังไง
ค้นหาวัตถุดิบการทำเพลงจากอะไร
แม็กซ์: ไม่รู้ว่าภูมิหาเรื่องราวการทำเพลงมาจากไหน แต่ของผมมันมาจากอดีต ผมเป็นคนชอบนอนคิดเรื่องเก่าๆ พอเรื่องเดิมๆ มันวนเวียนไปซ้ำๆ มันกลายเป็นบางอย่างที่มีพลังที่ผมยืมมาใช้ได้ พอเราได้ใช้ก็จะปลดปล่อยตัวเองจากเรื่องนั้นไป
แล้วจมไปในเรื่องราวแบบนั้นไหม
แม็กซ์: ก็จมนะ แต่ก็มีจมทั้งเรื่องดีและไม่ดี
ภูมิใช้วัตถุดิบอะไรในการแต่งเพลง
ภูมิ: ค่อนข้างคล้ายกับพี่แม็กซ์ ผมใช้ไดอารี่เป็นวัตถุดิบ ผมเริ่มเขียนไดอารี่ประมาณอายุ 17 คือดึงมาจากความรู้สึกกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับเราจริงๆ แล้วเราเก็บมาคิด พอมันเป็นอะไรที่เราเก็บมาคิด แล้วปล่อยวางมันไปไม่ได้ ถ้าเอามาแต่งเป็นเพลงมันก็ช่วยปลดปล่อยเราจากเรื่องนั้นเหมือนกันนะ แม้แต่ในปัจจุบัน การแต่งเพลงของผมก็มาจากสิ่งรอบตัว เพลงใหม่ที่ทำก็เกี่ยวกับช่วงนึงที่เราแฮปปี้กับงานที่ทำมากๆ แต่เรากลับนอนไม่หลับเลย คือนอนไม่ได้ ตอนกำลังจะนอนก็คิดกังวลว่า จะเอายังไงกับชีวิตต่อดี พรุ่งนี้ต้องทำอะไรบ้าง
ภาวะแบบนี้เกิดขึ้นตอนช่วงไหน
ภูมิ: น่าจะเป็นช่วงที่กลับมาจากทัวร์ มันคือความสับสนว่าจะไปทางไหนต่อดี ในวันที่สิ่งที่เรารักมากๆ จากงานอดิเรกมันได้กลายเป็นอาชีพหลักของเราแล้ว เราจะปรับตัวยังไงดีให้เรายังรักมันเหมือนเดิม
แล้วได้คำตอบจากอะไร
ภูมิ: ผมกลับไปแกะเพลงโคเวอร์เก่าๆ มันทำให้คิดได้ว่าสุดท้ายแล้วเราก็เป็นคนๆ นึงที่ชอบเล่นดนตรี ไม่ได้คิดว่ามันจะเป็นอะไรที่เพอร์เฟ็กต์ แค่ได้ถ่ายทอดอะไรบางอย่างที่เราอึดอัด หรือเรื่องที่เราอยากจะพูดออกไป พอไปเจอจุดนั้นอีกทีก็ช่วยให้เราสบายใจขึ้นได้
เมื่อกี้เห็นว่าแม็กซ์ก็พยักหน้า หมายถึงเข้าใจเรื่องแบบนี้เหมือนกันรึเปล่า
แม็กซ์: ก็คล้ายๆ กันนะ ผมเป็นคนโตช้า และกว่าจะรู้ตัวก็ช้า ผมคิดว่ากระบวนการอาจจะคล้ายๆ กันแต่ผมช้ากว่าหน่อย ตอนแรกๆ ผมก็รื้อตัวเองเยอะเหมือนกันนะ และคิดแบบเป็นวงกลม คือเราต้องรักมันก่อน แล้วก็เกลียดมัน ก่อนที่จะกลับมารักมันอีกครั้ง มันถึงจะทำให้เราเข้าใจสิ่งนั้นได้อย่างถ่องแท้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น
มีช่วงนึงที่ผมเกลียดการเล่นดนตรีไปเลย ผมจับกีต้าร์ไม่ได้ด้วย ผมก็เลยกลับมาแกะเพลงเก่าๆ เล่นเพลงที่เราอยากเล่น พอกลับมาทำสิ่งที่เราเคยมีความสุข ก็คิดได้ว่า เราสามารถประสบความสำเร็จได้ในแบบของเรา และกลับมาชอบมันใหม่ได้
ภูมิ: เรื่องแบบนี้มันช่วยได้จริงๆ นะ คือในเวลาทำอะไรเกี่ยวกับตัวเองเยอะๆ และตลอดเวลา ความคิดมันจะเอียงมาก
แม็กซ์: ใช่ งานศิลปะแบบนี้มันค่อนข้างเป็นคำสาปนะ คือผมก็ยังสงสัยว่าถ้าทำอาชีพอื่นจะเป็นแบบนี้ไหม
ภูมิ: หรือบางทีก็มีหน้าเราบนโปสเตอร์ อยู่ดีๆ เราเห็นหน้าเราไปบนทุกที่
แม็กซ์: ผมว่ามันเป็นเรื่อง Self absorbed ด้วยนะ คืออยู่ดีๆ เราจะเอาเรื่องของตัวเองไปขาย สินค้าเราก็คือความรู้สึกของเราเอง แล้วเราเอาไปขายให้คนอื่น แล้วมันจะมาถึงจุดนึงที่คิดว่า แล้วกูจะเอาไปให้เขาทำไมวะ มันคิดตลอดเวลา ทุกคนเป็นหมด เพราะฉะนั้น ทุกคนในอุตสาหกรรมนี้คือโคตรเศร้า
ภูมิ: ความขัดแย้งแบบนี้มันจะมาด้วยกัน ภูมิเป็นคนยิ้มเก่ง แต่จริงๆ แล้วเป็นคนกลางๆ มากๆ ไม่ได้ positive อะไรตลอดเวลา
แม็กซ์: ผมเคยสัมภาษณ์ Jason Mraz ว่าทำไมไม่ทำเพลงเศร้าๆ อีก เขาตอบว่า เขาอยากเก็บเรื่องพวกนี้ไว้กับตัวเอง ไม่อยากโยนขี้ไปให้คนฟังอีก เพราะหน้าที่ของเราต้องสร้างความสวยงามให้กับคนอื่น แต่พอผมไปคอนเสิร์ต Damien Rice เขาบอกว่า พวกคุณ คิดว่าผมเศร้าใช่ไหม แต่ผมเป็นคนที่แฮปปี้มากเลย พวกคุณน่ะเศร้า แต่ผมโยนขี้ใส่คุณ คือสองคนนี้เขาคิดกันคนละแบบเลย อย่างผมกับภูมิได้มา crossplay กัน เรามีความทับซ้อนกันในเรื่องความรักในดนตรี และเราก็อยากจะมอบความสร้างสรรค์ให้กับคนฟัง
ในอนาคตถ้าแม็กซ์ได้ไปร้องเพลงบนชายหาดแบบภูมิ Lover boy จะเป็นยังไง
แม็กซ์: ผมอาจจะดูเป็นคน Stalk นิดนึง ผมจะเปิดเพลงอีโมแล้วดึงภูมิลงมา (หัวเราะ) คือเราคนละฟีลกันเลย ผมคิดว่าแก่นของศิลปินแต่ละคนมันเหมือนไข่มุก ซึ่งมันมีมูลค่าพอๆ กัน อยู่ที่ว่าจะชอบสีอะไร
แล้วถ้าวันนึงภูมิต้องเดินเข้าป่ากับแม็กซ์ คาดหวังว่าจะได้อะไรจากการเดินทางครั้งนี้บ้าง
ภูมิ: ก็คงเอ็นจอยนะ (หัวเราะ) คงได้เจออะไรบ้าง
แม็กซ์: ถ้าเข้าป่ากับเขาผมอาจจะรอดก็ได้ เพราะไปคนเดียวคงอาจไม่รอด จะพาภูมิไปดูสัตว์หายากหลายอย่าง
ไปนั่งเล่นใต้น้ำตก ชิลๆ ให้ภูมิร้องเพลงไป ส่วนผมนอนสบายๆ ก็พอ