“ชีวิตเปรียบเหมือนกล่องช็อกโกแลต เราไม่มีทางรู้เลยว่าจะหยิบได้รสอะไร”
วันไหนเราก้าวขาออกจากบ้านแล้วไม่ได้หยิบร่มติดมือมาด้วย ฝนมักจะเทลงมาเสมอ หรือวันไหนจะรีบทำงานให้เสร็จ ก็อาจมีประชุมเข้ามาทั้งวันจนทำให้งานเสร็จช้าลงกว่าเดิม ฟังดูช่างน่าหงุดหงิดราวกับว่า โชคชะตากำลังเล่นตลกอะไรกับเราอยู่อย่างนั้นแหละ
เราแทบไม่รู้เลยว่า ในวันข้างหน้าจะต้องเจอกับอะไรบ้าง บางครั้งเหมือนคาดเดาได้ แต่สุดท้ายมันก็แค่เหมือน หรือบางทีก็อาจทำได้เพียงนั่งรอให้โชคชะตาจัดสรร คอยให้วันพรุ่งนี้มาถึงโดยเร็ว เพื่อจะได้รู้ว่า บทต่อไปของชีวิตต้องเจอกับอะไร
เรื่องราวที่เกิดขึ้นชีวิต น้อยครั้งจะคาดเดาได้ เช่นเดียวกับการโคจรมาเจอกันอีกครั้งของนักแสดงนำจาก Forrest Gump ทั้งทอม แฮงส์ (Tom Hanks) และโรบิน ไรท์ (Robin Wright) ในหนังใหม่เรื่อง Here ที่จะเข้าฉายในปลายปี 2024 นี้ ก็เป็นเรื่องที่ใครหลายคนคาดไม่ถึง เหมือนโชคชะตารับรู้ว่า เรากำลังคิดถึงพวกเขาทั้งคู่อยู่ยังไงอย่างงั้น แถมในปีนี้ยังถือเป็นการครบรอบ 3 ทศวรรษ ของ Forrest Gump หนังอัตชีวประวัติ ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวชีวิตของ ‘ฟอร์เรสต์ กัมพ์’ ชายผู้มีเพียงแรงลมแห่งโชคชะตาที่จะพัดพาเขาไป
แม้กาลเวลาจะผันแปร แต่หนังเรื่องนี้ยังคงตราตรึงใจผู้ชมอยู่เสมอมา วันนี้ The MATTER เลยอยากชวนทุกคนมาเปิดกล่องช็อกโกแลตใบเดิมกันอีกครั้ง พร้อมย้อนดูเส้นทางชีวิตอันแสนหลากรสของฟอร์เรสต์กัน
ชีวิตที่โชคชะตาสุ่มหยิบมาให้เจอ
ไม่มีใครในโลกนี้เลือกได้หรอกว่า อยากเกิดมาเป็นแบบไหน หรืออยากมีชีวิตเป็นอย่างไร ถ้าเรามีอำนาจในการเลือกชีวิตของตัวเองได้ขนาดนั้น ทุกคนในโลกก็คงมีแต่ความสุขจนปราศจากความทุกข์แล้วล่ะ
“สวัสดีครับ ผมชื่อฟอร์เรสต์, ฟอร์เรสต์ กัมพ์”
ฟอร์เรสต์ กัมพ์เกิดมาด้วยภาวะไม่สมประกอบทางสติปัญญาด้วยไอคิวที่ต่ำกว่าคนทั่วไป มิหนำซ้ำขาทั้ง 2 ข้างของเขายังไม่สามารถเดินได้เหมือนคนปกติ ทำให้ต้องใส่อุปกรณ์ช่วยพยุงขาตลอดเวลาที่เดิน และความแตกต่างจากเด็กคนอื่นๆ นี้ เขาจึงมักถูกกลั่นแกล้งจากพวกเด็กอันธพาล ชีวิตวัยเด็กของฟอร์เรสต์จึงเรียกได้ว่า ยากลำบากกว่าเด็กคนอื่นอยู่ไม่น้อย
กระทั่งฟอร์เรสต์ด้พบกับเจนนี่ เด็กหญิงผู้เป็นรักแรกและรักเดียวของเขา เธอมีดวงหน้าสละสลวยที่มาพร้อมกับเสียงอันไพเราะ จนตัวเขาเปรียบเปรยว่า เธอเป็นเหมือนกับนางฟ้าจากสวรรค์ การได้รู้จักกันของทั้งคู่เป็นดั่งโชคชะตาฟ้าลิขิต เพราะไม่ว่าตัวเขาจะเดินทางไปอยู่แห่งหนใดในโลก เจนนี่ก็ยังคงอยู่ในใจเขาเสมอมา
“วิ่ง ฟอร์เรสต์ วิ่ง!” หนึ่งในประโยคที่ยังคงดังก้องอยู่ในใจชายหนุ่มตั้งแต่เด็กเรื่อยมาจนถึงตอนโต ประโยคที่เจนนี่พูดกับเขาครั้งแรก เธอบอกให้เขาวิ่งหนีจากพวกอันธพาลที่คอยตามกลั่นแกล้ง เขาก้าวขา 2 ข้าง พร้อมนำพวกมันวิ่งออกไปข้างหน้าเป็นครั้งแรก ซึ่งการออกวิ่งในครั้งนั้น ทำให้ฟอร์เรสต์ได้เรียนรู้ถึงการหันหลังและวิ่งหนีในยามที่ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาอันยากจะรับมือได้ และการออกวิ่งของเขานี่แหละที่นำพาเขาไปสู่ความเปลี่ยนแปลงมากมายในชีวิต
ชีวิตของฟอร์เรสต์ช่วงวัยรุ่น ยิ่งทำให้วลีที่เปรียบเปรยว่า ชีวิตเหมือนกับกล่องช็อกโกแลต เป็นรูปธรรมมากขึ้น เพราะแต่ละเหตุการณ์ที่เขาได้เจอล้วนไม่มีอะไรคาดเดาได้เลยทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นการได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัย การพาทีมอเมริกันฟุตบอลชนะระดับประเทศ ตลอดจนการเป็นทหารไปรบในสงครามเวียดนาม จนทำให้ฟอร์เรสต์ได้เข้าใจคำว่า ‘มิตรภาพ’ เป็นครั้งแรก จากการได้รู้จักกับบับบ้าและผู้หมวดแดนในกองทัพ
ใช่ว่าชีวิตจะสุ่มสิ่งที่เราต้องการมาเพียงอย่างเดียวซะเมื่อไหร่ หลังจบสงคราม ฟอร์เรสต์กลับต้องสูญเสียสหายอย่างบับบ้าไป ส่วนผู้หมวดแดนผู้ที่ฟอร์เรสต์ได้ช่วยเหลือนั้น ก็ไม่ได้เต็มใจอยากรอดชีวิตมากเท่าไหร่นัก เพราะเขาตั้งใจสละชีพเพื่อชาติตั้งแต่แรก แถมเหตุการณ์ครั้งนี้ยังทำให้ต้องสูญเสียขาทั้งสองข้างไปอีก
เรื่องราวข้างต้นจึงสะท้อนให้เห็นว่า ต่อให้เราจะพยายามลิขิตชีวิตตัวเองแค่ไหนก็ตาม ท้ายสุดแล้วก็อาจมีความบังเอิญ หรือโชคชะตาบางอย่าง ซึ่งอยู่เหนือการควบคุมของเรา เข้ามาสุ่มเปลี่ยนชีวิตให้เป็นไปในทางที่เราไม่ต้องการได้เช่นกัน
“ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นทุกวัน หลายคนไม่ยอมเชื่อ แต่มันกลับมีจริง”
มาถึงชีวิตช่วงวัยผู้ใหญ่ของฟอร์เรสต์ เขาประสบความสำเร็จมากมาย ทั้งการได้เป็นตัวแทนประเทศไปแข่งปิงปองในโอลิมปิก เป็นนายทหารติดยศสูงสุดของสหรัฐอเมริกา สานต่อความฝันในการทำประมงแทนบับบ้า แต่ถึงอย่างนั้น หนึ่งสิ่งที่โชคชะตาที่เขาไม่เคยได้รับเลยสักครั้ง คือการประสบความสำเร็จเรื่องความรักจากหญิงสาวผู้เป็นรักเดียวของเขา เพราะไม่ว่าเขาจะพยายามมากแค่ไหน โชคชะตาก็ไม่เคยเลือกอยู่ข้างเขาสักที
แม้ในท้ายที่สุดโชคชะตาจะมองเห็นเขา ฟอร์เรสต์ได้สิ่งที่ปรารถนามาตลอด นั่นคือการแต่งงานกับหญิงผู้เป็นที่รัก ทว่าชีวิตยังคงมีเรื่องคาดเดาไม่ได้เกิดขึ้นเสมอมา เพราะโชคชะตาก็ได้พรากชีวิตของหญิงอันเป็นที่รักไปจากเขาแบบไม่มีวันหวนกลับมาอยู่ดี นี่แหละคือ ‘ชีวิต’
บทเรียนสำคัญคือการใช้ชีวิต?
แม้ว่าเวลาจะผ่านไป 30 ปีแล้ว หลังจากที่ Forrest Gump เข้าฉายครั้งแรกในโรงภาพยนตร์ แต่บทเรียนจากหนังเรื่องนี้ไม่เคยเก่าไปเลย เพราะไม่ว่าเราจะหยิบขึ้นมาดูใหม่อีกกี่ครั้ง มันก็ยังคงได้ใจผู้ชมในทุกยุคเสมอ
แม้ฟอร์เรสต์ กัมพ์จะสุ่มหยิบช็อกโกแลตจากกล่องขึ้นมา โดยไม่สนใจว่าโชคชะตาจะมอบอะไรให้บ้าง เลยทำให้ดูเหมือนว่าเขาจะใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ อย่างมีและไม่มีเหตุผลตามที่สัญชาตญาณบอกเพียงเท่านั้น ทว่านั่นไม่ใช่เพราะฟอร์เรสต์ไม่ฉลาดพอจะเลือกใช้ชีวิตตามความเข้าใจของหลายคน แต่เพราะเขาเลือกใช้ชีวิตในแบบของตัวเองโดยปราศจากความคาดหวังของคนอื่น ฟอร์เรสต์ทำเฉพาะสิ่งที่เขาอยากทำ เปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ จากคนรอบตัวด้วยจุดยืนอันแน่วแน่ ซึ่งช่วยพาให้เขาไปสู่เป้าหมายตามที่ต้องการ
“เมื่อผมรู้สึกเหนื่อย ผมก็แค่นอนหลับ เมื่อผมรู้สึกหิว ผมก็แค่กิน เมื่อผมรู้ว่าต้องไป คุณรู้ใช่ไหมว่าผมก็แค่ไป”
แม้เราจะคาดเดาไม่ได้ว่าชีวิตนำพาเราไปในทิศทางไหน วันพรุ่งนี้อาจเต็มไปด้วยเรื่องราวดีๆ หรืออาจเผชิญกับความท้าทายใหม่ๆ แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทุกประสบการณ์ที่ผ่านเข้ามาล้วนทำให้เราได้เรียนรู้ และเข้าใจความหมายของชีวิตมากยิ่งขึ้น
ท้ายสุดแล้ว เราอาจไม่รู้หรอกว่า เราจะสุ่มหยิบช็อกโกแลตรสใดขึ้นมาจากกล่องของเรา แต่ไม่ว่าจะเป็นรสชาติไหน ใช่รสโปรดหรือไม่ แต่ชีวิตก็คือชีวิต เราแค่ใช้มันให้เต็มที่เท่าที่เราอยากใช้ เหมือนกับฟอร์เรสต์ที่ได้ใช้ชีวิตตามความต้องการของตัวเองเสมอมา
เพราะชีวิตของทุกคนมีคุณค่าในตัวมันเองเสมอ