ถ้าพูดถึงนักแสดงหนุ่มมากฝีมืออย่างโรเบิร์ต แพตทินสัน ทุกคนจดจำเขาได้จากหนังเรื่องไหนกัน?
หลายคนคงตอบอย่างพร้อมเพรียงกันว่าจาก Harry Potter and the Goblet of Fire หรือ Twilight กันอย่างแน่นอน เพราะนอกจากจะ 2 บทบาทนี้จะตราตรึงใจผู้ชมแล้ว ยังมีส่วนสำคัญต่อการสร้างชื่อเสียงให้กับโรเบิร์ต แพตทินสัน (Robert Pattinson) อยู่ไม่น้อยเลย
แม้ภาพจำของหลายคนต่อโรเบิร์ตจะยังคงเป็นพ่อมดหนุ่มหน้าใส หรือแวมไพร์หนุ่มสุดคมเข้ม แต่ก็คงต้องยอมรับว่า นี่เป็นเพียงหน้ากระดาษใบหนึ่งในหนังสือชีวิตของนักแสดงหนุ่มวัย 38 ผู้นี้เท่านั้น เพราะปัจจุบัน ตัวเขาได้ก้าวไปสู่อีกหมุดหมายของการแสดงผ่านผลงานต่างๆ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
โรเบิร์ตจึงถือเป็นนักแสดงอีกคนที่สามารถฉีกกรอบและทลายภาพจำพระเอกของตนไปได้อย่างสิ้นเชิง ด้วยบทบาทใหม่ๆ ที่มีทั้งความท้าทาย แปลกประหลาด และเต็มไปด้วยความลุ่มลึก จนอาจต้องบอกว่าเขาคือหนึ่งในนักแสดงจากฮอลลีวูดที่น่าจับตามองที่สุดในศตวรรษนี้
เนื่องในโอกาสที่โรเบิร์ตรับบทนำใน Mickey 17 หนังไซไฟ-ทริลเลอร์สุดล้ำ The MATTER ขอชวนทุกคนไปย้อนรอยเส้นทางชีวิตนักแสดงหนุ่ม ผู้มากไปด้วยความสามารถคนนี้กัน
การเข้ามาสู่โลกฮอลลีวูดของโรเบิร์ต แพตทินสัน
แม้เราจะรู้กันดีว่าโรเบิร์ตเริ่มเป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียงจาก Harry Potter and the Goblet of Fire แต่นั่นไม่ใช่จุดเริ่มต้นเส้นทางนักแสดงของเขาเสียทั้งหมด เพราะก่อนหน้าที่จะมาเป็นพ่อมดทรงเสน่ห์แห่งฮอกวอตส์ จุดเริ่มต้นในวงการของเขากลับไม่ได้ราบรื่นมากนัก
ย้อนกลับไปช่วงวัยเด็ก โรเบิร์ต หรือโรเบิร์ต ดักลาส โธมัส แพตทินสัน เป็นเด็กน้อยที่ขี้อายมาก จนถึงขั้นพ่อแม่สนับสนุนให้เขาสนใจดนตรีและการแสดง เพื่อให้สิ่งเหล่านี้เข้ามาชนะความเป็นเด็กขี้อายของเขา โรเบิร์ตจึงได้เริ่มเรียนเปียโนและกีตาร์ ทั้งยังได้เข้าร่วมการแสดงละครของโรงเรียนเรื่อยมาจนถึงวัยรุ่น ก่อนจะได้เข้าร่วมกับ Barnes Theatre Company ชมรมละครของท้องถิ่น
การเป็นหนึ่งในสมาชิกนักแสดงของชมรมละครท้องถิ่นถือเป็นประตูบานสำคัญ ซึ่งเปิดโอกาสให้โรเบิร์ตได้ก้าวเข้าสู่วงการการแสดงอย่างจริงจัง เมื่อเอเยนต์จัดหานักแสดงได้เล็งเห็นถึงความสามารถของเขา ในขณะรับบทเป็นนักแสดงนำจากละครเรื่อง Our Town เขาจึงถูกทาบทามให้มาออดิชั่นบทภาพยนตร์ และนี่จึงเป็นเส้นทางสู่นักแสดงมืออาชีพของโรเบิร์ต
Vanity Fair (2004) คือหนังเรื่องแรกในชีวิตการเป็นนักแสดงของโรเบิร์ต กับบทบาท ‘เบ็กกี้ ชาร์ป’ ลูกชายของตัวละครหลักในเรื่อง ซึ่งฟังดูแล้วเหมือนว่าโรเบิร์ตกำลังจะเปิดตัวในฐานะนักแสดงได้อย่างสง่างาม แต่เรื่องกลับไม่เป็นดั่งที่ตั้งใจเอาไว้ เมื่อหนังที่ฉายในรอบปฐมทัศน์ไม่มีตัวเขาในเรื่องโผล่มาเลย แถมตอนจบยังแตกต่างออกไปจากเดิมด้วย ซึ่งตัวของโรเบิร์ตเองก็ไม่ทราบมาก่อนด้วยซ้ำ

cr. Wanner Bros Pictures
แม้จะเป็นประสบการณ์ที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก แต่แมรี เซลเวย์ (Mary Selway) ผู้กำกับการคัดเลือกนักแสดงจาก Vanity Fair เองก็รู้สึกผิดกับการตัดบทของนักแสดงหนุ่มออกโดยไม่บอกล่วงหน้า เธอจึงได้ทาบทามให้เขาได้มาเล่นใน Harry Potter and the Goblet of Fire (2005) โรเบิร์ตจึงได้รับบทเป็น ‘เซดดริก ดิเกอรี่’ พ่อมดหนุ่มผู้สามารถครอบครองใจแฟนๆ แฮร์รี่พอตเตอร์ได้ด้วยรอยยิ้มอันทรงเสน่ห์ของเขา
ตัวละครพ่อหมดหนุ่มดังกล่าวที่แม้จะปรากฏตัวเพียงแค่ภาคเดียว แต่กลับกลายเป็นใบเบิกทางอย่างดีที่พาให้ตัวของโรเบิร์ตก้าวเข้ามาสู่การเป็นนักแสดงหน้าใหม่แห่งวงการฮอลลีวูดอย่างเต็มตัว จนถึงขั้นนิตยสาร Screen International เรียกตัวเขาว่า ‘ดาวรุ่งพุ่งแรงแห่งวงการบันเทิงอังกฤษ’ (British Star of Tomorrow)
ผลงานถัดมาที่ทำให้ชื่อของโรเบิร์ตดังเปรี้ยงปร้างหนีไม่พ้น Twilight (2008) ตัวเขาได้เข้าออดิชั่นในบทของ ‘เอดเวิร์ด คัลเลน’ แวมไพร์หนุ่มผู้คลั่งรักวัยกว่า 100 ปี แต่ก่อนที่ทุกคนจะจดจำเขาได้จากบทบาทนี้ เขาต้องฝ่าฟันกับเสียงสะท้อนเชิงลบจากแฟนหนังสือ Twilight ที่ผิดหวัง เพราะภาพลักษณ์ของโรเบิร์ตไม่ตรงกับภาพจำของตัวละคร ความไม่พอใจต่อแคสครั้งนี้รุนแรงถึงขั้นมีการเรียกร้องให้คว่ำบาตรหนัง ตลอดจนมีการรวมตัวแฟนหนังสือกว่า 75,000 คน เพื่อลงนามคำร้องถอดถอนตัวของโรเบิร์ตออกจากการคัดเลือกนักแสดง
อย่างไรก็ดี สิ่งเดียวที่สามารถพิสูจน์ตัวของโรเบิร์ตได้ดีที่สุด คงหนีไม่พ้นความสามารถและทักษะการแสดงทั้งหมดของเขา เพราะเมื่อหนังเข้าฉายจริงก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก โดยสัปดาห์แรกหลังจากเข้าฉาย หนังสามารถสร้างรายได้จากบ็อกซ์ออฟฟิศรวมเกือบ 70 ล้านเหรียญสหรัฐ ยิ่งไปกว่านั้นตัวของโรเบิร์ตเองก็เริ่มกลายมาเป็นพระเอกในดวงใจของใครหลายๆ คน
จะเรียกได้ว่าเอ็ดเวิร์ด คัลเลน คือบทบาทสำคัญที่ส่งให้โรเบิร์ตก้าวไปสู่ความสำเร็จก็คงไม่ผิดนัก เพราะหลังจากนั้นตัวเขายังคงได้รับเลือกให้เล่นภาคต่อของ Twilight อีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็น The Twilight Saga: New Moon (2009), The Twilight Saga: Eclipse (2010), The Twilight Saga: Breaking Dawn 1 (2011) และ The Twilight Saga: Breaking Dawn 2 (2012)
บทบาทพ่อมดและแวมไพร์หนุ่มที่หลายคนจำได้ จึงนับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในเส้นทางการแสดงของโรเบิร์ต ไม่เพียงแต่ทำให้เขาเป็นที่รู้จักในวงกว้าง ในอีกแง่หนึ่งยังเป็นหลักฐานรูปธรรม ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าตัวของโรเบิร์ตนั้นมากไปด้วยฝีมือการแสดง และพร้อมแล้วที่จะก้าวขึ้นมาเป็นดาวอีกดวงของวงการฮอลลีวูด
ภาพจำพระเอกหนังโรแมนติก กับการพิสูจน์ฝีมือบนโลกการแสดง
ใช่ว่าทุกความสำเร็จจะมอบเพียงผลดีทั้งหมดเสียเมื่อไหร่ เพราะสำหรับโรเบิร์ต ความสำเร็จถือเป็นดาบสองคมซึ่งผลักให้ตัวเขาต้องลุกขึ้นมาพิสูจน์ฝีมือการแสดงครั้งแล้วครั้งเล่า
จากบทบาทแวมไพร์หนุ่มผู้มากไปด้วยเสน่ห์นั่นเอง ทำให้สังคมเริ่มตีกรอบให้เขาเป็นเพียงพระเอกหนังโรแมนติก มากกว่าจะมองว่าเขาคือนักแสดงมากฝีมือ โรเบิร์ตจึงพยายามลบภาพจำนี้ด้วยการเลือกรับบทที่ท้าทายและลุ่มลึกขึ้นเรื่อยๆ
โรเบิร์ตเริ่มเปลี่ยนบทบาทการแสดงของตัวเองผ่านการรับเล่นหนังนอกกระแสมากขึ้น อาทิ Little Ashes (2008), Remember Me (2010) และ Cosmopolis (2012) แม้หนังเหล่านี้จะได้รับคำวิจารณ์ในแง่บวกและลบผสมปนเปกันไป แต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นต่อการจะก้าวต่อไปในฐานะนักแสดงฮอลลีวูด
อีกหนึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญของนักแสดงหนุ่มก็มาถึง เมื่อโรเบิร์ตตัดสินใจรับบท ‘เรย์’ ชายเร่ร่อนผู้ไร้เดียงสา ใน The Rover (2014) หนังดราม่าระทึกขวัญ เล่าเรื่องราวชนบทห่างไกลของออสเตรเลียหลังจากวิกฤตการเงินโลก โดยในหนังเรื่องนี้ โรเบิร์ตสามารถสลัดภาพพระเอกหนังโรแมนติกออกไปได้อย่างหมดจด แถมยังได้รับวิจารณ์ในแง่ดีอย่างล้นหลาม และตัวหนังเองก็ได้รับเลือกให้ไปฉายในเทศกาลหนังเมืองคานส์ด้วย
และหนังอีกหนึ่งเรื่องที่ตอกย้ำความสำเร็จกับการเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์พระเอกหนุ่มไปจนแทบจำไม่ได้เลย คือ Good Time (2017) กับบทบาทโจรปล้นธนาคาร ผู้มีทั้งความดิบเถื่อนและความซับซ้อนทางอารมณ์ แต่โรเบิร์ตกลับสามารถถ่ายทอดบทบาทนี้ออกมาได้อย่างน่าทึ่ง นักวิจารณ์ต่างชื่นชมฝีมือการแสดงของเขาที่ก้าวขึ้นมาอีกขั้นหนึ่งได้สำเร็จ แถมยังพาให้หนังได้คะแนนจาก Rotten Tomatoes ไปได้มากถึง 91% เลยทีเดียว
นอกจากนี้ ยังมีหนังนอกกระแสอีกหลายเรื่องที่โรเบิร์ตเลือกเล่น เพื่อท้าทายความสามารถในการเป็นนักแสดงของตนเอง ไม่ว่าจะเป็น Maps to the Stars (2014), The Lost City of Z (2016), High Life (2018) และ Damsel (2018)
บทบาททั้งหมดที่เขาได้เล่นในช่วงเวลาดังกล่าว ไม่ได้เป็นเพียงจุดเปลี่ยนในวงการของนักแสดงหนุ่ม แต่ยังเป็นส่วนผสมสำคัญที่ประกอบสร้างความเป็นนักแสดงผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยความสามารถของโรเบิร์ตด้วยเช่นกัน ตัวเขาสามารถทลายภาพจำลงได้ และพิสูจน์ให้หลายคนเห็นว่าตัวเขาเหมาะสมมากแค่ไหนกับการเป็น ‘นักแสดงมากฝีมือ’

cr. IMDB
ไม่ว่าจะตอนไหนก็คือยุคทองของโรเบิร์ต แพตทินสัน
ถ้าจะพูดถึงเส้นทางการแสดงของโรเบิร์ตในฐานะนักแสดง ก็คงเปรียบได้กับดวงดาวที่ไม่เคยดับหาย เพียงแต่ตัวเขากำลังไปเฉิดฉายอยู่ที่ส่วนอื่นของท้องฟ้าแค่เท่านั้นเอง
ในช่วงที่โรเบิร์ตหันไปจริงจังกับหนังนอกกระแส หลายคนต่างก็คิดว่าเขาหายไปจากสปอตไลต์ แต่แท้จริงแล้วเขาเพียงแค่แสดงศักยภาพ พร้อมขัดเกลาฝีมือด้านการแสดงในอีกพื้นที่ที่มีความท้าทายมากขึ้น เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม โรเบิร์ตก็จะก้าวขึ้นมาในฐานะนักแสดงที่ผู้คนต่างยอมรับ ไม่ใช่แค่พระเอกจากหนังวัยรุ่นอย่างที่เคยถูกตีตราเอาไว้
The Lighthouse (2019) ของโรเบิร์ต เอกเกอส์ (Robert Eggers) ถูกมองว่าเป็นช่วงรอยต่อบนเส้นทางการแสดงของโรเบิร์ต ซึ่งได้เริ่มกลับมาแสดงฝีมือให้แฟนหนังกระแสหลักเห็นถึงพัฒนาการของเขาอีกครั้ง ผ่านบทบาท ‘โธมัส ฮาเวิร์ด’ คนเฝ้าประภาคาร ผู้มีสภาวะจิตที่ดำดิ่งสู่ความบ้าคลั่งขึ้นเรื่อยๆ จากความโดดเดี่ยวบนเกาะ
และแล้ว Tenet (2020) หนังแอ็กชั่น-ไซไฟ ของคริสโตเฟอร์ โนแลน (Christopher Nolan) ก็กลายมาเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญอีกครั้งในชีวิตของโรเบิร์ต โดยหนังเรื่องนี้ไม่ได้เป็นแค่การกลับมาสู่หนังฟอร์มยักษ์ของเขาเท่านั้น แต่ยังเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่พิสูจน์ให้แฟนหนังได้เห็นว่า โรเบิร์ตในวันนี้แตกต่างจากภาพจำในอดีตโดยสิ้นเชิง ด้วยฝีมือการแสดงที่เฉียบคมและลึกซึ้งมากขึ้น แต่ก็ยังคงเสน่ห์ความเป็นตัวเองเอาไว้ได้อย่างไม่เลือนหาย
ทั้งนี้ The Devil All the Time (2020) ก็ถือเป็นหนังอีกหนึ่งเรื่องที่ทำให้เราได้เห็นโรเบิร์ตในอีกมุมที่ต่างออกไป เพราะใครจะไปคิดว่านักแสดงหนุ่มเจ้าของรอยยิ้มทรงเสน่ห์คนนี้ จะสามารถพลิกบทบาทมาสวมบทตัวร้ายได้อย่างแนบเนียน แถมยังถ่ายทอดความชั่วร้าย และความโรคจิตของตัวละครออกมาได้อย่างน่าขนลุก
โรเบิร์ตยังคงเซอร์ไพรส์แฟนหนังอย่างต่อเนื่องด้วยบทมนุษย์ค้างคาว เจ้าของฉายาอัศวินรัตติกาล ใน The Batman (2022) ซึ่งหลังจากมีการประกาศว่าเขาจะรับบทเป็น ‘แบทแมน’ สถานการณ์ต่อมาก็แทบไม่ต่างอะไรจากเมื่อตอนที่เขาได้รับบทเอดเวิร์ด คัลเลน เพราะแฟนแบทแมนจำนวนไม่น้อยมองว่าเขาไม่เหมาะกับบทนี้เท่าไหร่
แต่สิ่งที่ต่างไปจากครั้งอดีตคือ คราวนี้โรเบิร์ตมีหนังมากมายมาเป็นตัวการันตีความสามารถในการแสดง ทำให้แฟนๆ อีกฝ่ายมองว่าเขาอาจเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับหนังแบทแมน ซึ่งกำลังจะปรับภาพลักษณ์ให้ดูมืดหม่น และเล่นกับจิตวิทยามากขึ้น หากพิจารณาจากบทบาทที่เขาแสดงใน The Lighthouse แล้วมันก็พิสูจน์ให้เห็นว่า เขาสามารถถ่ายทอดตัวละครที่ลึกลับและซับซ้อนได้อย่างน่าทึ่ง แถมยังทำให้เราอินไปได้กับตัวละคร นี่จึงไม่แปลกเลยที่หลายคนเริ่มเชื่อว่าโรเบิร์ตพร้อมแล้วสำหรับบทบาทนี้
ล่าสุดในปี 2025 นี้ กับการกลับมาสู่จอเงินอีกครั้งใน Mickey 17 เมื่อโรเบิร์ตรับบทเป็น ‘มิกกี้ บาร์น’ ชายหนุ่มสิ้นหวัง ผู้เผชิญปัญหาทางการเงินและมองหาโอกาสใหม่ในชีวิต ด้วยการสมัครเป็น ‘มนุษย์ใช้แล้วทิ้ง’ เพื่อเข้าร่วมภารกิจสุดเสี่ยงนอกโลก ซึ่งการตายแต่ละครั้งของเขาจะโคลนนิ่งร่างทดแทนขึ้นมาเรื่อยๆ แต่จะยังคงความทรงจำจากร่างก่อนหน้าไว้อยู่
Mickey 17 จึงน่าจะเป็นหนังอีกหนึ่งเรื่องที่เข้ามาท้าทายความสามารถในการแสดงของโรเบิร์ตอยู่ไม่น้อย เพราะตัวละครอย่างมิกกี้ทำให้เขาต้องแสดงความแตกต่างของแต่ละร่างออกมาให้ชัดเจน และต้องถ่ายทอดอารมณ์ที่ทั้งซับซ้อน ละเอียดอ่อนออกมาให้ผู้ชมอย่างเราเชื่อว่า ร่างโคลนเหล่านี้ล้วนมีความคิดเป็นของตัวเอง แต่ก็ยังใช้ความทรงจำร่วมกัน นี่จึงเป็นบทบาทที่ต้องอาศัยทักษะการแสดงอย่างมาก และนักแสดงหนุ่มผู้นี้ก็กำลังจะทำให้ผู้ชมทุกคนได้เห็นว่า เขาคู่ควรต่อการเป็นมิกกี้ บาร์น ที่สุดแล้ว
สำหรับใครที่อยากชมฝีไม้ลายมือการแสดงของโรเบิร์ต แพตทินสัน ใน Mickey 17 สามารถตีตั๋วไปรับชมกันได้แล้วในโรงภาพยนตร์ แถมหลังจากนี้เราก็จะได้อยู่ชมผลงานของโรเบิร์ตไปอีกยาวๆ เพราะมีหนังหลายเรื่องที่ประกาศแล้วว่า โรเบิร์ตเป็นหนึ่งในนักแสดง ไม่ว่าจะเป็น The Odyssey, Die, My Love, The Batman Part II และ The Drama
มาถึงตรงนี้แล้ว หลายคนคงเห็นแล้วว่า โรเบิร์ต แพตทินสัน เป็นนักแสดงที่มีความสามารถมากมายขนาดไหน เพราะบทบาทจากหนังที่ผ่านมาของเขา คือเครื่องพิสูจน์ในตัวมันเองเรียบร้อยแล้วว่า ตัวเขานั้นเหมาะสมที่จะถูกเรียกว่า ‘นักแสดงแห่งยุค’
อ้างอิงจาก