[บทความมีการเปิดเผยเนื้อหาส่วนหนึ่งของหนังเรื่อง Power Rangers, Beauty And The Beast และ Star Trek Beyond]
ในหนัง Power Rangers ฉบับปี 2017 ตัวละครเรนเจอร์สีเหลืองเปิดใจกับสมาชิกทีมคนอื่นๆ ว่าตัวเธอนั้นกำลังมีปัญหากับแฟนสาวคู่รักเพศเดียวกัน ทำให้สื่อหลายแห่งให้ความเห็นว่านี่เป็นภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่เรื่องแรกของฮอลลีวูดที่มีผู้มีความหลากหลายทางเพศในทีมอย่างเปิดเผย
ก่อนหน้านี้ Beauty And The Beast ฉบับเอ็มม่า วัตสัน ก็มีประเด็นเรื่องตัวละคร เลอฟู (LeFou) ที่มีการประกาศข่าวมาตลอดว่าจะเพิ่ม gay moment ให้ตัวละครตัวนี้ จนทำให้หนังถูกแบนในมาเลเซียและคูเวต
Star Trek Beyond ก็มีฉากเล็กๆ ที่ทำให้เราได้เห็นว่าตัวละคร ฮิคารุ ซูลู มีสามีและลูกแล้ว ซึ่งแน่นอนว่านี่ก็กลายเป็นข่าวที่ถูกพูดถึงอย่างมากทั้งในกลุ่ม Trekie หรือแม้แต่คนที่เพิ่งติดตามภาพยนตร์ซีรีส์นี้ก็ตาม
ดูเหมือนว่าตัวละครหลักของหนังหลายเรื่องจะมีความหลากหลายมากขึ้น ไม่ว่าพวกเขาจะมีเพศสภาพหรือเพศวิถีแบบใดก็ตาม พวกเขาก็สามารถบุกตะลุยไปกับตัวละครหลักตัวอื่นๆ ได้โดยไม่โดนกีดกัน
หลากตัวละคร LGBTQ ในหนัง Blockbuster
ตามที่จั่วหัวเอาไว้เลย หนัง Blockbuster เปิดพื้นที่ให้ LGBT หรือใช้เรื่องนี้เป็นแค่จุดขาย
ฉากทั้งหมดที่พูดไปตอนต้นบทความ เวลาลงข่าวก็อยู่หน้าแรกสุด พาดหัวด้วยฟอนต์ใหญ่สุด แต่ตัวหนังที่ฉายจริงๆ ฉากที่ถูกโปรโมตระดับลงหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์นั้น หลายๆ หนเป็นเพียงซีนสั้นๆ ไม่ถึง 5 นาทีดี แถมฉากเหล่านี้ยังไม่ส่งผลอะไรกับตัวภาพยนตร์ทั้งก่อนหน้าและภายหลังนัก
อย่างใน Power Rangers การกู้โลกของเหล่านักรบทั้งห้าก็ทำให้ตัวละครดูไม่มีเวลาไปหาแฟนเท่าไหร่ ใน Beauty And The Beast ฉากที่เลอฟูแสดงออกว่าเป็นเกย์ ก็เป็นเพียงฉากเต้นรำไม่กี่ฉาก แม้แต่การปรากฏตัวของสามีของซูลูเองก็ไม่ได้เพิ่มประเด็นอะไรนัก (นอกจากเป็นการเพิ่มกำลังใจให้ซูลูว่าต้องปกป้องโลกให้ได้ไม่งั้นครอบครัวลำบากแน่)
ในขณะที่ Moonlight ที่ได้รับรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม อันมีตัวเอกเป็นเกย์และเล่าเรื่องเกย์โดยตรง กลับโปรโมตประเด็นเรื่องความเป็นเกย์น้อยกว่า 3 เรื่องที่ยกตัวอย่างไปเสียอีก
ข้อสังเกตอีกประการหนึ่ง ก็คือความตั้งใจที่จะใช้ประเด็น LGBTQ โปรโมตหนัง ในหลายๆ ครั้งเป็นการทำให้หนังเรื่องนั้นเสี่ยงต่อการเสียรายได้ส่วนหนึ่งเช่นกัน อย่างเช่น Power Rangers ที่โดนจัดเรตในประเทศรัสเซียว่าเป็นหนังที่เหมาะสมกับผู้ชมอายุ 18 ปีขึ้นไป หรือกรณี Beauty And The Beast นั้นก็โดนแบนในมาเลเซียและระงับการขายตั๋วในคูเวตไปเรียบร้อย (ทั้งที่มีการฉายไปแล้ว) แม้จะเป็นการเสียรายได้ไม่มากมายนัก แต่ก็ดูไม่คุ้มเท่าไหร่กับการที่หนังต้องเสียโอกาสเพราะการโปรโมตฉากที่ไม่มีผลต่อเนื้อเรื่องนัก
แล้วคนทำงานสื่อบันเทิงว่าอย่างไร?
Sarah Kate Ellis – CEO ของกลุ่ม Gay & Lesbian Alliance Against Defamation หรือ GLADD กลุ่มเฝ้าระวังสื่อในอเมริกา อันก่อตั้งโดยกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศที่เป็นบุคลากรอยู่ในวงการสื่อ ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อหลายเจ้าว่าเรื่องราวเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ ‘ก้าวแรกก้าวเล็กๆ’ แต่มันก็ยังเป็น ‘ก้าวแรกที่สำคัญยิ่ง’ ด้วยเหตุผลที่ว่านี่เป็นการยอมรับจากค่ายหนังใหญ่ยักษ์ในฮอลลีวูด จากเดิมเลี่ยงการนำเสนอประเด็นสุ่มเสี่ยงสำหรับเด็กและครอบครัวอันเป็นกลุ่มผู้ชมขนาดใหญ่ ต่างจากของกรณี Moonlight ที่เป็นหนังนอกกระแส และกลุ่มผู้ชมที่เป็นกลุ่มเป้าหมายคือผู้ใหญ่อยู่แล้ว
แต่ก็มีอีกกระแสหนึ่งที่มองว่า การที่หนังทั้ง 3 เรื่องมีตัวละครหลากหลายทางเพศเนื่องจากในหนังต้นฉบับหรือซีรีส์เดิม มีทีมงานที่เป็นผู้มีความหลากหลายทางเพศ อย่างใน Beauty And The Beast เชื่อว่าเป็นการอุทิศให้ Howard Ashman ผู้แต่งเพลง Be Our Guest และ Beauty And The Beast อันเป็นเพลงเด่นที่ใครก็จำได้ ส่วนกรณีของ Power Rangers ก็เชื่อกันว่านอกจากจะเพิ่มเติมความหลากหลายของตัวละครในทีมแล้ว ยังเป็นการให้เกียรติ David Yost นักแสดง Blue Ranger คนแรกสุดที่เป็นเกย์และตัดสินใจเลิกแสดงในซีรีส์ดั้งเดิมเนื่องจากโดนกลั่นแกล้งจากทีมงานในยุคนั้น
ส่วนกรณีของ Star Trek Beyond นั้น นักแสดงบทฮิคารุ ซูลู คนแรกอย่าง George Takei ซึ่งเป็นเกย์แบบเปิดเผย และหนุนกลุ่มนักแสดงที่เป็น LGBTQ มาตลอด กลับไม่ค่อยปลื้มเมื่อเขาได้ทราบว่าในหนังฉบับรีบูทได้ปรับบทให้ซูลูเป็นเกย์ว่าเป็นเรื่องที่ ‘น่าเสียดาย’ (unfortunate) ไม่ใช่ว่าเขาไม่แฮปปี้ที่มีตัวละครเกย์แต่เพราะเขามองว่า “Star Trek Beyond ก้าวเข้าสู่ขวบปีที่ 50 ของมัน หากต้องการให้เกียรติผู้สร้าง Star Trek อย่าง Gene Roddenberry ทีมงานน่าจะสร้างตัวละครใหม่ (ที่เป็น LGBTQ) ไปเลยเสียมากกว่า”
แต่ในซีรีส์โทรทัศน์หรือซีรีส์ที่ลงฉายตามแอพพลิเคชั่นแบบ Netflix นั้นมีตัวละครประเภทนี้อยู่มากมายเลยทีเดียว การสำรวจของกลุ่ม GLADD เกี่ยวกับตัวละคร LGBTQ ในซีรีส์อเมริกา พบว่าปีที่ผ่านมาซีรีส์โทรทัศน์นั้นมีตัวละคร LGBTQ ในฐานะตัวละครหลักและตัวละครประจำในซีรีส์ 43 เรื่อง จากทั้งหมด 895 เรื่อง หรือราว 4.8% ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดเท่าที่เคยทำการสำรวจมา (สามารถอ่านรายงานฉบับเต็มได้ที่นี่) แม้แต่ซีรีส์ซูเปอร์ฮีโร่อย่าง The Flash, Arrow หรือ Agent Of S.H.I.E.L.D ก็มีการใส่ตัวละครหลากหลายทางเพศลงไปปล่อยพลังกันแล้วด้วย
LGBTQ ในสื่อบันเทิงไทยล่ะ
ส่วนในไทยนั้นแม้ว่าจะไม่ได้มีการสำรวจออกมาให้เห็น แต่ซีรีส์หรือละครโทรทัศน์ก็มีตัวละครที่มีความหลากหลายทางเพศมากกว่าหนังอย่างชัดเจน แถมในซีรีส์หลายๆ เรื่อง ต่อให้เป็นซีรีส์ที่ไม่ได้โฟกัสไปที่กลุ่มคนหลากหลายทางเพศ ก็พยายามนำเสนอให้ LGBTQ มีอะไรมากกว่าการเป็น ‘ตัวตลก’ หรือนำเสนอแบบเหมารวม
หนังไทยที่เจาะตลาดใหญ่อาจมีเพียงไม่กี่เรื่องที่นำเสนอ LGBTQ แบบไม่เหมารวม เพราะทุกวันนี้ยังมีหนังที่แขวนป้ายฐานะ ‘ตลก’ ให้กับ LGBTQ อยู่บ่อยครั้ง ตรงกันข้ามกับหนังอิสระที่พาเราไปพบหลายเฉดสีของ LGBTQ มาแล้ว
อ้างอิงข้อมูลจาก