อีกรางวัลของออสการ์ที่ทั้งลับแลและลุ้นสนุกก็คือหนังภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม สาขาที่เปรียบเสมือนประตูบานแรกๆ ให้ผู้ยังไม่เจนยุทธภพได้รู้จักหนังนอกฮอลลีวูด เพราะถึงกติกาปัจจุบันของออสการ์จะไม่ปิดกั้นหนังต่างชาติต่างภาษาในสาขาหลัก (ขอแค่ฉายในอเมริกาตามข้อกำหนด) แต่ในทางปฏิบัติแล้วย่อมถูกยึดครองโดยหนังฮอลลีวูดเป็นหลัก ทั้งที่คุณภาพหรือความน่าตื่นเต้นของหนังในสาขานี้ หลายครั้งก็ชนะหนังพูดอังกฤษในสาขาหลักๆ ชนิดไม่เห็นฝุ่น
แต่ยุทธภพนั้นกว้างใหญ่ สาขานี้ย่อมไม่พ้นถูกทิ้งบอมบ์กับเขาบ้าง ทั้งผลรางวัลในบางทศวรรษที่ถูกมองว่าไม่อัพเดท คับแคบแบบอเมริกัน และไม่สะท้อนความเคลื่อนไหวหลากหลายของวงการหนังโลกอย่างแท้จริง (จนเกิดกฎให้กรรมการต้องดูหนังให้ครบเกณฑ์ขั้นต่ำถึงจะมีสิทธิ์โหวต) หรือก่อนหน้านี้มีกฎบังคับว่าภาษาที่ใช้ต้องสอดคล้องกับประเทศต้นสังกัด (เช่น หนังไทยต้องพูดไทยหรือภาษาถิ่นในไทย ไม่ใช่พูดรัสเซีย) ก็ถูกวิจารณ์ว่าไม่สะท้อนความหลากหลายและพรมแดนที่พร่าเลือนในโลกยุคใหม่ รวมถึงเป็นการกีดกันโดยอ้อมต่อคนทำหนังที่มีปัญหากับประเทศบ้านเกิด จนต้องยกเลิกกฎนี้ไป
สำหรับกฎกติกาแบบกว้างๆ ระบุว่า หนังสาขานี้ต้องไม่ใช่หนังสัญชาติอเมริกันและไม่ใช้ภาษาอังกฤษเดินเรื่องเป็นหลัก (ใช้ได้แต่ต้องมีสัดส่วนน้อยกว่าภาษาอื่น และหนังไร้บทพูดก็เข้าชิงได้) ประเทศหรือดินแดนนั้นๆ ต้องมีคณะกรรมการที่ออสการ์รับรองเป็นผู้คัดเลือก รวมถึงที่มาของแหล่งทุนและสัญชาติของทีมงานสร้างต้องสะท้อนประเทศต้นสังกัดอย่างเหมาะสม (ถ้ากรรมการกลางพิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสมพอ ก็จะถูกแจ้งเตือนหรือตัดสิทธิ์)
หนังที่เป็นตัวแทนต้องฉายอย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์ในประเทศต้นสังกัดตามรอบปฏิทินที่เริ่มนับในเดือนตุลาคม (เพื่อความไม่งง : ‘ออสการ์ 2018’ ให้รางวัลหนังปี 2017 ดังนั้นหนังต้องเข้าฉายระหว่าง ต.ค. 2016 ถึง ก.ย. 2017 ในประเทศนั้นๆ) ประเทศส่วนใหญ่รวมถึงไทยใช้วิธีประชุมเลือกตัวแทนจากหนังที่ฉายตามกรอบเวลานี้ บางประเทศให้หนังที่อยากไปออสการ์ยื่นใบสมัครเข้ามาเอง แปลกสุดคืออิสราเอลที่ให้หนังยอดเยี่ยมรางวัล Ophir Awards (ประมาณสุพรรณหงส์) เป็นตัวแทนอัตโนมัติไปเลย
เมื่อได้ตัวแทน กรรมการออสการ์จะถูกแบ่งเป็นกลุ่ม เพื่อดูหนังให้ครบหรือเกินเกณฑ์ขั้นต่ำจึงลงคะแนนได้ – 6 เรื่องที่ได้คะแนนสูงสุดและอีก 3 เรื่องที่เลือกโดยคณะกรรมการระดับสูง (executive) จะเข้ารอบเซมิไฟนอล 9 รายชื่อสุดท้าย ก่อนเลือก 5 ผู้เข้าชิงไปประกาศพร้อมสาขาอื่นในวันที่ 23 มกราคม 2018
และนี่คือหนังทั้ง 9 เรื่องที่ยังมีลุ้นออสการ์สาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยมประจำปีนี้
A Fantastic Woman
ประเทศ : ชิลี
ผู้กำกับ : Sebastián Lelio
ชิลีถือเป็นผู้เล่นหน้าใหม่ของวงการหนังโลกที่กำลังฮ็อตสุดๆ (แต่เพิ่งมีหนังเข้าชิงสาขานี้แค่ครั้งเดียวเมื่อปี 2012) ด้วยกลุ่มคนทำหนังรุ่นใหม่ในยุคหลังเผด็จการที่ผลิตผลงานต่อเนื่อง และหนึ่งในนั้นคือ Sebastián Lelio (43 ปี) ที่เคยเป็นตัวเต็งตกสวรรค์ในสาขานี้มาแล้วจาก Gloria (2013)
เสน่ห์และสปอยล์อันไม่อาจหลีกเลี่ยงของ A Fantastic Woman ก็คือเพศสภาพของตัวละครเอกที่ค่อยๆ เปิดเผยรายละเอียดในเวลาอันเหมาะสม (เมื่อหนังดังแล้วย่อมยากที่จะปิดความลับนี้ไว้) Marina Vidal ทำงานร้องเพลงกลางคืนและกำลังคบกับชายแก่อายุคราวพ่อ ก่อนชีวิตจะพลิกผันเมื่อเขาเสียชีวิตลง ทำให้เธอต้องเผชิญกับความเกลียดชังรุนแรงจากครอบครัวฝ่ายชาย และตำรวจที่เริ่มสงสัยว่าเธออาจเป็นคนฆ่า
Lelio ได้รับคำชมด้านการกำกับทั้งอารมณ์ดราม่าที่เข้มข้นและการไขปริศนาที่ชวนติดตาม แต่สิ่งที่เป็นใจความสำคัญนอกเหนือจากคุณสมบัติเหล่านั้น ก็คืออคติทางเพศที่ตัวละครต้องต่อสู้ และการโหยหาความรักในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง โดยไม่เกี่ยวข้องว่าเขาคนนั้นจะเป็นเพศใด – หนังล้อกับข้อนี้ด้วยฉากเปลือยกายหลายครั้งของ Marina ที่ไม่เฉลยเพศที่แท้จริงของเธอ (ปกติฉากแก้ผ้าของตัวละครข้ามเพศในหนัง มักเกิดขึ้นเพื่อการนี้) เพราะท้ายที่สุดแล้วมันไม่ใช่ตัวชี้วัดคุณค่าหรือความถูกผิดของใครเลย
ขณะนี้ A Fantastic Woman กำลังได้เปรียบด้วยสถานะ ‘ตัวเลือกที่กรรมการไม่กล้าปฏิเสธ’ หลังเปิดตัวด้วยรางวัลบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมกับ Teddy Award (มอบให้หนังที่พูดถึงความหลากหลายทางเพศ) ที่เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเบอร์ลินเมื่อต้นปี 2017 โดยส่วนหนึ่งที่ช่วยผลักดันคือการมีบริษัทอเมริกันร่วมทุนสร้าง แถมนักแสดงหน้าใหม่ Daniela Vega ยังเป็นที่พูดถึงและถูกยกเป็นม้ามืดสาขานักแสดงนำหญิงปีนี้ด้วย (แม้โอกาสจะน้อยนิด เพราะสาขานำหญิงปีนี้แข่งกันดุเดือดเหลือเกิน)
ส่วน Sebastián Lelio ก็กำลังกรุยเส้นทางในอเมริกา (ตามรอย Pablo Larraín ที่เข้าชิงเมื่อปี 2012 และทำ Jackie เมื่อปีก่อน) ด้วยหนังพูดอังกฤษเรื่องแรก Disobedience (2017, นำแสดงโดย Rachel McAdams กับ Rachel Weisz) และกำลังถ่ายทำ Gloria ฉบับอเมริกันรีเมค ซึ่งมี Julianne Moore รับบทสำคัญที่เคยสร้างชื่อให้เขามาแล้ว
In the Fade
ประเทศ: เยอรมนี
ผู้กำกับ : Fatih Akin
หนังเยอรมันเรื่องนี้ถือเป็น ‘นกสองตัว’ ที่กรรมการออสการ์ยิงได้ เพราะมีทั้งวิกฤติผู้ลี้ภัยกับการเหยียดเชื้อชาติในยุโรปและการก่อการร้ายในเรื่องเดียว แถมยังอยู่ในคราบหนังล้างแค้นที่ดูสนุกบีบหัวใจ และจังหวะเวลาก็เหมาะสม เพราะอาจได้ประดับยศให้คนทำหนังที่มีชื่อมานานแต่ออสการ์ไม่เคยแลอีกด้วย
โฟกัสหลักของ In the Fade คือตัวละคร Katja อดีตนักศึกษาขี้ยาที่กำลังสร้างชีวิตกับสามีอดีตพ่อค้ายาชาวเคิร์ดกับลูกชาย และต้องเสียทั้งคู่ไปเพราะเหตุวางระเบิดกลางกรุง ตำรวจปักใจเชื่อว่าเป็นการล้างแค้นของขบวนการค้ายา แต่เธอคิดว่าเชื้อชาติของเขาอาจทำให้เป็นเป้าสังหาร และเหตุการณ์ก็ดูจะเป็นไปตามที่เธอเชื่อ เมื่อสาวเยอรมันน่าสงสัยในวันเกิดเหตุถูกสืบพบว่าเป็นสมาชิกขององค์กรนีโอนาซีที่มีเครือข่ายข้ามชาติ
ความพังพินาศจากการสูญเสียฉับพลัน ถูกทับถมด้วยการสืบพยานในชั้นศาลที่สั่นสะเทือนด้วยรายละเอียดของคดี และอาการลอยหน้าลอยตาของเหล่านีโอนาซี จนผลักให้ Katja เคยคิดฆ่าตัวตายไปเสียให้พ้นๆ ก่อนที่บางอย่างจะกระตุ้นให้เธอ ‘ล่า’ เพื่อเรียกคืนความยุติธรรมในแบบของเธอเอง
หนังเปิดตัวที่เทศกาลหนังเมืองคานส์พร้อมรางวัลนักแสดงนำหญิง ทว่านอกจากการแสดงของ Diane Kruger (เคยชิงออสการ์สมทบหญิงจาก Inglourious Basterds [2009] และถ้าโชคดีสุดๆ ก็อาจมีชื่อเป็นหนึ่งในห้าของปีนี้) เสียงตอบรับจากนักวิจารณ์ต่อตัวหนังกลับค่อนข้างเฉยชา แต่ทุกปีก็มักมีแบบนี้เสมอ เมื่อหนังบางเรื่องที่ไม่ได้ถูกยกย่องอะไรมากมายในฝั่งยุโรป กลับข้ามฟากมาได้ดิบได้ดีที่อเมริกา
Fatih Akin (44 ปี) คือคนทำหนังเยอรมันเชื้อสายตุรกีที่เคยโด่งดังเมื่อทศวรรษก่อนจาก Head-On (2004, หมีทองคำเบอร์ลิน) และ The Edge of Heaven (2007, บทยอดเยี่ยมเมืองคานส์) แต่ชื่อของเขาเริ่มเสื่อมมนต์ด้วยหนังแมสเยอรมันระดับกลางที่เทียบไม่ได้กับผลงานสร้างชื่อ และหนังเทศกาลที่ถูกนักวิจารณ์ถล่มยับในยุคหลัง – บางทีหนังยาวเรื่องที่ 11 นี้ อาจกำลังพลิกชีวิตคนทำหนังของเขาไปอีกทางอยู่ก็เป็นได้
On Body and Soul
ประเทศ: ฮังการี
ผู้กำกับ: Ildikó Enyedi
Ildikó Enyedi (62 ปี) เคยเป็นผู้กำกับหญิงดาวรุ่งหลังชนะกล้องทองคำที่คานส์เมื่อเกือบ 30 ปีที่แล้วจาก My Twentieth Century (1989) ที่หายไปจากวงการภาพยนตร์นานถึง 18 ปี ก่อนจะกลับมาด้วยหนังยาวเรื่องที่ 7 ซึ่งพาเธอคืนสังเวียนอย่างยิ่งใหญ่ด้วยรางวัลหมีทองคำจากเบอร์ลิน
เราอาจอธิบายวิธีคิดของหนังอาร์ตเฮาส์ยุโรปที่มีระยะห่างกับผู้ชมสูงเรื่องนี้ได้ด้วยหนังที่ป๊อปกว่าอย่าง Her (Spike Jonze, 2013) เพราะ On Body and Soul ก็กำลังพูดถึงข้อจำกัดของมนุษย์ที่ต้องใช้ร่างกาย จนทำให้ความเป็นไปได้มากมายในความสัมพันธ์ต้องถูกปิดกั้น เพียงแต่หนังเรื่องนี้ไม่ได้ใช้ท่วงท่าของหนังรัก หากย้อนไปสู่สิ่งที่เรียบง่ายแต่ซับซ้อนกว่าอย่าง ‘จิตวิญญาณ’ และสำรวจลงลึกไปในนั้น ด้วยความเย็นชา
เซ็ตติ้งของเรื่องคือโรงฆ่าสัตว์แห่งหนึ่ง ตัวละครหลักคือ CFO ชายวัยกลางคนผู้มีปมกับสาวน้อยหน้าใหม่ที่ขยาดกลัวปฏิสัมพันธ์ทางกาย (หนังไม่ได้อธิบายชัดเจนว่าเธอเป็นอะไร หลายที่ที่เขียนถึงหนังก็อธิบายต่างกันไป บ้างบอกว่าเป็นออทิสติก บ้างบอกว่าเป็นอินโทรเวิร์ต) เมื่อนักจิตวิทยาเข้ามาสอบปากคำคนทำงานหลังเกิดเหตุในพื้นที่ ความจริงเกี่ยวกับฝันประหลาดของทั้งคู่จึงคลี่คลาย – เขาและเธอฝันถึงกันทุกคืน และรักกันในฝันนั้นด้วยอวตารร่างกวาง
เมื่อทราบถึงความผูกพันนี้ ทั้งสองก็พยายามสานสัมพันธ์เพื่อให้รักในฝันเกิดขึ้นจริง ทว่าด้วยข้อจำกัดหลากมิติทั้งเรื่องวัย สถานะทางสังคมในที่ทำงาน ลักษณะนิสัย รวมถึงสภาวะทางจิตที่มีผลต่อการปฏิสัมพันธ์ รักอันลึกซึ้งของทั้งคู่นอกร่างกวางจึงยากสาหัส ทั้งที่ต่างฝ่ายต่างได้รับรู้ความรู้สึกที่แท้จริงของกันและกัน
ไม่ว่าผลลัพธ์สุดท้ายจะเป็นเช่นไรสำหรับหนังที่วางท่ายากเรื่องนี้ การเข้าชิง 6 รางวัล European Film Awards กับเส้นทางลุ้นออสการ์ที่มาไกลถึงรอบเซมิไฟนอล คงช่วยพาทั้งชื่อของเธอและลายเซ็นในหนังที่ยังไม่ทิ้งลายความประหลาดพิศวง กลับสู่คลื่นความถี่ของนักดูหนังรุ่นปัจจุบันที่อาจไม่เคยรู้จักเธอมาก่อน
Foxtrot
ประเทศ : อิสราเอล
ผู้กำกับ : Samuel Maoz
นอกจากถูกใช้เป็นรหัสลับของกลุ่มบุคคลปริศนาในเรื่อง ฟ็อกซ์ทร็อตคือจังหวะหนึ่งของการลีลาศ “ที่ไม่ว่าจะเคลื่อนไปทางใด เราจะกลับมายังจุดเริ่มต้นเสมอ” ตามคำอธิบายของพ่อผู้สูญเสีย Jonathan ลูกชายวัยรุ่นที่กำลังอยู่ในช่วงรับใช้ชาติเพราะอยู่ในช่วงวัยเกณฑ์ทหาร
หนังฉวยใช้การ ‘ย่ำอยู่กับที่’ ของฟ็อกซ์ทร็อตเพื่อวิพากษ์วัฒนธรรมทหารอิสราเอลในหลายระดับ ตั้งแต่วิถีปฏิบัติที่คอยตอกย้ำถึงสภาวะสงครามของประเทศและความจำเป็นของทหารติดอาวุธ ซึ่งแย้งกับภารกิจหน้าที่ของลูกชาย เมื่อเขากับเพื่อนทหารวัยรุ่นแทบจะมีเพียงหน้าที่เดียวคือเปิดด่านให้อูฐเดินผ่าน
สปิริตของวัยรุ่นถูกใช้และระเหยไปในแดนแล้ง นอกจากเจ้าอูฐ พวกเขาก็มีเพียงการเต้นรำทำเพลงและพูดคุยไร้สาระ เท่าที่จิตวิญญาณวัยหนุ่มของพวกเขาจะทำได้ในที่แบบนั้น สภาวะย่ำอยู่กับที่ของฟ็อกซ์ทร็อตจึงยิ่งเสียดลึกแหลมคม เมื่อหนังค่อยๆ เดินหน้าไปสู่ความจริงที่ขัดแย้งอย่างสิ้นเชิงกับสิ่งที่ผู้บังคับบัญชาอธิบายว่าพวกเขาได้ ‘สละชีพเพื่อชาติ’
Samuel Maoz (55 ปี) ใช้ประสบการณ์ในกองทัพเป็นวัตถุดิบ แจ้งเกิดด้วยรางวัลสิงโตทองคำจาก Lebanon (2009) ซึ่งเล่าเรื่องสมรภูมิรบจากในรถถัง ก่อนจะขยับขยายสู่ความสูญเสียที่ถูกบิดเบือนและการปกปิดความผิดกับนัยซ่อนเร้นของกองทัพที่ปฏิบัติอย่างเป็นกิจวัตรในเรื่องนี้ ความจริงที่เขาเฉลยส่งแรงกระตุ้นจนรัฐมนตรีวัฒนธรรมประณามหนังออกสื่อว่าใช้ประโยชน์จากศิลปะเพื่อสร้างคำลวงต้านอิสราเอล หลังชนะรางวัลสิงโตเงิน (รองชนะเลิศ) จากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเวนิซ
ถึงจะถูกโจมตีหนักแต่ Foxtrot ก็ยังได้รับคำสรรเสริญจากวงการภาพยนตร์ และน่าจับตาอย่างยิ่งว่าการประกาศรับรองกรุงเยรูซาเล็มของรัฐบาลทรัมป์ (ที่เพิ่งถูกสหประชาชาติโหวตคว่ำ) จะส่งผลสะเทือนในแบบเดียวกับปีที่แล้วหรือไม่ เมื่อนโยบาย Muslim travel ban ยกออสการ์ใส่พานให้หนังอิหร่าน The Salesman
The Insult
ประเทศ : เลบานอน
ผู้กำกับ : Ziad Doueiri
Ziad Doueiri (54 ปี) บินกลับเวนิซพร้อมรางวัลนักแสดงนำชาย แต่เมื่อถึงกรุงเบรุตกลับถูกตำรวจคุมตัวขึ้นศาลทหาร เพราะเคยข้ามแดนไปถ่ายหนังเรื่อง The Attack (2012) ในอิสราเอล (เลบานอนกับอิสราเอลยังเป็นคู่สงคราม) หลังจากนั้นไม่กี่วันอดีตผู้ช่วยกล้องของ Quentin Tarantino ได้รับอิสรภาพ และการถูกจับแบบเซอร์ไพรส์คงทำให้กรรมการออสการ์รู้จักหนังเลบานอนสุดเดือดเรื่องนี้มากขึ้นเยอะทีเดียว
The Insult คือหนังขึ้นโรงขึ้นศาลที่วางตนเป็นภาพแทนความแตกแยกชนิดถึงรากของเลบานอนร่วมสมัย ด้วยท่าทีกับการวางพล็อตที่เล่นใหญ่ เอิกเกริก และดราม่าชนิดไม่มีเม้ม พร้อมตั้งท่าเปิดโต๊ะดีเบตทางการเมือง เชื่อได้เลยว่ามีคนพร้อมรอเถียงกับสิ่งที่หนังเลือกเล่าอยู่มหาศาล
เริ่มจากแค่ท่อน้ำหยดที่บ้านชาวเลบานอนคริสเตียน โฟร์แมนชาวปาเลสไตน์ไปขอให้เปลี่ยนท่อให้ถูกกฎหมายแต่ถูกปิดประตูใส่หน้า โฟร์แมนเปลี่ยนท่อให้โดยพลการ แต่ความเกลียดชังของเจ้าบ้านก็ทำให้ทุกอย่างแตกหัก เมื่อคำพูดแสดงความรังเกียจเหยียดเชื้อชาติ ทำให้โฟร์แมนลงไม้ลงมือถึงขั้นซี่โครงหัก
คดีทำร้ายร่างกายขึ้นสู่ศาล ก่อนจะกลายเป็นสังเวียนดราม่าระดับชาติในระดับที่กระตุ้นการประท้วงและจลาจลขึ้นมาได้ ด้วยดีเบตเรื่องเชื้อชาติ ศาสนา ผู้ลี้ภัย ความกระหายข่าวของสื่อมวลชน และทนายความสองฝ่ายที่พร้อมเปิดทุกการ์ดดราม่า โดยเฉพาะเมื่อฝ่ายหนึ่งเป็นพ่อ และอีกฝ่ายคือลูกสาว
ตัวประเด็นทางสังคมซับซ้อนที่ย่อยจนเหลือภาพแทนชัดเจน การเผชิญหน้าอย่างไม่ยอมลดราวาศอก รวมถึงอาการ ‘ถอยไม่ได้’ ระหว่างคู่ขัดแย้งและผู้มีส่วนร่วม คงทำให้กรรมการคิดถึงความขัดแย้งสีผิวในอเมริกาได้ไม่ยาก (ในปีที่ Get Out กับ The Big Sick ทั้งทำเงินและเป็นหนังแห่งปีของนักวิจารณ์หลายสำนัก) และเมื่อหนังอยู่ในมือผู้จัดจำหน่ายที่ดันหนังสู่ออสการ์ได้ดีในช่วงหลายปีหลังอย่าง Cohen Media Group คุณสมบัตินี้คงยิ่งเป็นจุดขายชั้นดี
Loveless
ประเทศ: รัสเซีย
ผู้กำกับ: Andrey Zvyagintsev
ผัวเมียชนชั้นกลางรัสเซียหมดรัก กระบวนการหย่าร้างคาราคาซัง อพาร์ตเมนต์เรือนหอที่ยังขายไม่ออก การทะเลาะทุ่มเถียงแบบไม่มีใครยอมใคร และลูกชายวัยสิบสองที่อยู่ตรงกลางของความพังทลายนี้ เย็นชืดเนิ่นช้าน่าหงุดหงิด แต่ชีวิตของครอบครัวก็ยังดำเนินไปในจังหวะของมัน พร้อมกับความสัมพันธ์ใหม่ของพ่อแม่ที่เริ่มเป็นรูปร่าง …จนถึงวันที่ลูกชายหายตัวไป
ใช้คำว่า ‘หมดรัก’ คงไม่ถูกต้องเท่าไหร่ เพราะรักที่เหือดแห้งไปยังอาจกอบกู้เติมเต็มได้ในสถานการณ์วิกฤติที่สุกงอม อย่างที่พ่อแม่ผู้หมดรักในหนังฮอลลีวูดที่พร้อมจะปรองดองกันเสมอ เมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นกับหน่อเนื้อเชื้อไขที่ถูกนิยามว่าเป็นโซ่ทองคล้องใจ ความปรองดองเช่นนั้นไม่อาจเกิดขึ้นในหนังเรื่องนี้ เพราะพวกเขาไม่ได้หมดรักกัน แต่ ‘ไร้รัก’ อยู่แล้วตั้งแต่ต้น
ตัวละครในหนังจึงแทบจะปราศจากปฏิกิริยาที่เรามักคุ้นชินจากหนังครอบครัวทั่วไป เราเห็นความโกรธแค้นชิงชัง เห็นความตระหนกกังวล แต่แทบทุกครั้งไม่ได้เกิดขึ้นจากความรักหรือโหยหารักที่สูญเสียไป และหลายครั้งไร้ความรู้สึกตอบสนองต่อสิ่งที่กำลังเผชิญหน้า อันเนื่องมาจากสภาวะไร้รักของพวกเขาเอง
Loveless สถิตอยู่ในโลกหม่นซึมเย็นยะเยือกที่ถูกจับจ้องผ่านสายตาอันเฉยชาของ Andrey Zvyagintsev (53 ปี) ที่พาหนังเรื่องนี้ไปถึงรางวัล Jury Prize ที่เมืองคานส์ (เป็นรางวัลที่สามของเขาที่เทศกาลนี้) และเป็นเพียงคนเดียวใน 9 เรื่องสุดท้ายที่เคยชิงออสการ์มาก่อนจาก Leviathan (2014) ความพังภินท์ของรัสเซียและตัวละครที่แห้งแล้งไร้สุขคือหนังยาวทั้ง 5 เรื่องของเขา ซึ่งนำเสนอชีวิตที่เผชิญกับบททดสอบครั้งสำคัญได้อย่างเจ็บปวด ไปพร้อมๆ กับการเป็นอุปลักษณ์อันเจ็บแสบถึงความสิ้นหวังของรัสเซียปัจจุบัน
หลักฐานสำคัญในเรื่องนี้คือเสียงรายงานข่าวความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครน ที่ถูกใช้เป็นฉากหลังของเรื่องราวทั้งหมด
Félicité
ประเทศ : เซเนกัล
ผู้กำกับ : Alain Gomis
กรุงคินชาซา สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก เฟลิซิเตได้รับข่าวร้ายว่าลูกชายวัยรุ่นถูกรถชนอาการสาหัสและต้องผ่าตัดด่วน ไม่เหลือทางเลือกมากนักสำหรับนักร้องกลางคืนจนๆ อย่างเธอ นอกจากวิ่งเข้าหาทุกความเป็นไปได้ที่สามารถจินตนาการถึง ทั้งคนที่เคยยืมเงินไปเมื่อนานมาแล้ว หรือคนที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิตไม่ว่าความสัมพันธ์จะติดลบแค่ไหน เพื่อรวบรวมเงินก้อนใหญ่ให้ได้ในระยะเวลาอันสั้น
บางคนอ้าแขนรับพร้อมช่วยเหลือ บ้างก็ขับไสไล่ส่งเธอเป็นหมูเป็นหมา แต่ค่ำคืนนี้ยังอีกยาวไกลสำหรับเฟลิซิเต ท่ามกลางความพลุกพล่านของเมืองหลวงอันยากไร้ พร้อมเสียงอึกทึกของบรรยากาศรายรอบ ที่เลือนประสานกับเสียงเพลงจากการขับร้องของเธอเอง
อ่านเท่านี้อาจดูเหมือนหนังดราม่ารันทดชนชั้นล่าง หรือหนังขับเน้นความทุกข์ยากจากโลกที่สาม ที่เจอได้ทั่วไปตามเทศกาลและเวทีรางวัล แต่สิ่งที่ทำให้ Félicité พิเศษคือการฉีกตัวเองจากสูตรสำเร็จ ด้วยการกระโจนลงสู่ปริมณฑลของหนังทดลองได้อย่างสง่าผ่าเผย เพราะในขณะที่คนดูเห็นตัวละครกับเส้นเรื่องชัดเจน แต่โครงสร้างของหนังกลับวูบไหวเป็นจังหวะคล้ายบทเพลง
ภารกิจหาเงินช่วยลูกของเฟลิซิเตที่สามารถบิลด์ให้ดราม่าสุดขีดได้ไม่ยาก กลับถูกเจือจางลงเรื่อยๆ ด้วยภาพการแสดงดนตรีและชีวิตของชาวเมืองอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับเส้นเรื่องของเธอ ผลักให้ดราม่าของเธอนั้นเรียบง่าย เป็นชีวิตจริง และเป็นส่วนหนึ่งของสังคมรอบตัว พร้อมกับการใส่ใจและสนใจอย่างลึกซึ้งในความเป็นมนุษย์ของตัวละคร
ผู้กำกับฝรั่งเศสเชื้อสายเซเนกัล Alain Gomis (45 ปี) ชนะรางวัล Grand Jury Prize ที่เบอร์ลินท่ามกลางความประหลาดใจ ออสการ์อาจไม่เป็นมิตรกับหนังแหวกขนบ แต่โอกาสเข้าชิงของตัวแทนเรื่องแรกจากเซเนกัลก็อาจไม่ถึงกับไกลเกินเอื้อม ด้วยความผิดแผกแตกต่างจากหนังที่ลีลาคล้ายๆ กันในบรรดาผู้เข้ารอบสุดท้าย รวมถึงความสำเร็จในอดีตของ Timbuktu (Abderrahmane Sissaki, 2014, มอริเตเนีย) และ Embrace of the Serpent (Ciro Guerra, 2015, โคลอมเบีย)
The Wound
ประเทศ : แอฟริกาใต้
ผู้กำกับ : John Trengove
ปีที่แล้ว Moonlight ได้ออสการ์หนังยอดเยี่ยมครั้งประวัติศาสตร์ ส่วนปีนี้ Call Me By Your Name ก็วิ่งนำหน้าบรรดาตัวเก็งเป็นเบอร์ต้นๆ ดูเหมือนสถานการณ์กำลังเข้าทาง จังหวะเวลากำลังเข้าที่ จนทำให้หนังเกย์แอฟริกาใต้เรื่องนี้กำลังทำท่าจะเป็นม้ามืดในหมู่กรรมการออสการ์
ฉากหลังของหนังคือการปะทะกันในภาพกว้างระหว่างโลกร่วมสมัยกับวัฒนธรรมชนเผ่าที่ยังทรงอิทธิพลในแอฟริกาใต้ ระหว่างพิธีข้ามพ้นวัยของเผ่า Xhosa ที่วัยรุ่นชายต้องขริบอวัยวะเพศ และผ่านพิธีกรรมเพื่อรับรองความเป็นชายโดยตัดขาดจากสังคมภายนอกเป็นสัปดาห์ๆ อันนำมาซึ่งการปะทะกันระหว่างตัวละครที่มีเพศสภาพกับทัศนคติเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ
Xolani กับ Vija รับงานเป็นเมนเทอร์ให้พิธีขริบและเคี่ยวเข็ญนี้เพราะเงินค่าตอบแทน แต่สำหรับ Xolani อีกเหตุผลหนึ่งคือหวังจะได้ใกล้ชิดกับอดีต ‘เพื่อนรัก’ แม้ว่า Vija จะมีเมียและลูกสามตามขนบสังคมไปแล้วก็ตาม ปีนี้ทั้งคู่ต้องรับมือกับ Kwanda เด็กเจ้าปัญหาที่ถูกพ่อบังคับเข้าพิธีเพราะนุ่มนิ่มไม่เป็นชาย และตั้งคำถามกับพิธีตลอดเวลา สถานการณ์ยิ่งร้อนรุ่มคุกรุ่น เมื่อเด็กหนุ่มจับได้ว่าสองเมนเทอร์ลอบไป ‘รำลึกความหลัง’ กันในที่ลับตาคน ทั้งที่คอยแต่ตะคอกเขาให้ทำตัวสมกับที่เกิดมาเป็นชาย
ตรงนี้เองคือความซับซ้อน ปกติเราชินกับภาพตัวละครที่มีจุดร่วมเดียวกันว่าพวกเขาจะผูกพันหรือเข้าใจกัน แต่ความโหดร้ายของสังคมกลับทำให้ Xolani และ Kwanda ยิ่งปะทะกันหนักข้อเพราะความกลัว แทนที่ฝ่ายแรกจะได้ทำหน้าที่เมนเทอร์ให้เด็กวัยรุ่นที่กำลังเผชิญประสบการณ์เดียวกับตัวเขาในอดีต ยังไม่นับว่าการรื้อฟื้นความหลังที่กระทำลงไปแล้ว ก็เป็นอีกหนึ่งเชื้อไฟของความรุนแรงและความขัดแย้งที่กำลังจะเกิดขึ้น และพร้อมจะนำพาทุกตัวละครไปสู่บาดแผลที่มีแต่จะกรีดลึกลงไปเรื่อยๆ
The Wound คือหนังยาวเรื่องแรกของ John Trengove (39 ปี) หลังทำหนังสั้นกับซีรีส์ทีวีอยู่ร่วมสิบปี และกลายเป็นหนึ่งในหลักไมล์ทางภาพยนตร์ของแอฟริกาใต้ด้วยการนำเสนอเรื่องโฮโมเซ็กชวลอย่างท้าทาย อาจดูขาดรัศมีไปบ้างหากเทียบกับอีก 8 เรื่องที่มีทั้งรางวัลและชื่อชั้นผู้กำกับเป็นจุดขาย (หนังเปิดตัวที่ซันแดนซ์และเบอร์ลินแต่ไม่ได้รางวัล) แต่ความแปลกตาของตัวละครกับวัฒนธรรมและประเด็นรวดร้าวกินใจ คงทำให้หนังสร้างกระแสปากต่อปากในหมู่ผู้ลงคะแนนไม่น้อยเลย
The Square
ประเทศ : สวีเดน
ผู้กำกับ : Ruben Östlund
นาทีนี้ยากจะหาใครแสบเท่า Ruben Östlund (43 ปี) ผู้โด่งดังจากการปอกลอกศีลธรรมแบบชนชั้นกลางที่แสนจะถูกต้องทางการเมืองด้วยลีลาปัญญาชนกวนประสาท ทั้งในสารคดีปลอมแนวรายการแกล้งแอบถ่ายที่เหลือไว้เพียงความอึดอัดกับความรุนแรง The Guitar Mongoloid (2004), ความไม่ยอมเสียหมาที่พาสู่ความฉิบหายใน Involuntary (2008), การปกป้องคนผิวสีที่ถูกใช้เพื่อการโจรกรรมจาก Play (2011) และพ่อที่พังพินาศด้วยแอกของเพศชายหลังอุบัติเหตุที่ไม่มีคนเจ็บคนตายใน Force Majeure (2014)
และเหยื่อรายใหม่ที่ล่อนจ้อนไม่เหลือดีจนพา The Square ไปถึงรางวัลปาล์มทองคำ ก็คือวงการศิลปะร่วมสมัยปกคลุมความว่างโหวงเปล่ากลวงไว้ด้วยคำศัพท์วิชาการใหญ่โต ความดัดจริตอย่างปัญญาชน และคำอธิบายเชิงสังคมการเมือง (…อันนี้หนังพูดนะ)
ตัวหนังเป็นซีรีส์รวมเหตุการณ์วิปลาสเสียสติ (และยาวเกือบสองชั่วโมงครึ่ง!) โดยตัวละครหลักคือคิวเรเตอร์ชื่อดังแห่งมิวเซียมศิลปะในกรุงสตอกโฮล์มที่กำลังอยู่ในช่วงเตรียมเปิดตัวผลงานศิลปะชิ้นใหม่ – ‘สี่เหลี่ยมจัตุรัส’ สร้างขึ้นเพื่อกระตุ้นให้มนุษย์เห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน ทว่าตลอดทั้งเรื่องนั้นไม่มีศิลปิน มีเพียงการตลาดของมิวเซียมที่เรียกกระแสให้คนแห่มาดูงาน และดึงความสนใจจากเศรษฐีผู้ร่ำรวยที่อยากจะดูรุ่มรวยด้วยการสนับสนุนทุนให้งานศิลปะ
พร้อมกันนั้นตาคิวเรเตอร์ยังพาชีวิตให้ยิ่งพังเอนจอนาถจนกู่ไม่กลับ ทั้งการพานักข่าวสาวอเมริกันขึ้นเตียงหลังให้สัมภาษณ์ซึ่งถือเป็นหนึ่งในการตัดสินใจผิดครั้งสำคัญของชีวิต และแผนล้างแค้นแสนขี้เท่อที่เจ้าตัวเดินตามอย่างหฤหรรษ์เพื่อเอาคืนโจรขโมยโทรศัพท์ แต่แทนที่จะได้ความสาแก่ใจ กลับมีแต่ความอับอายขายขี้หน้าที่พอกพูนขึ้นเรื่อยๆ จนล้างไม่ออก
Östlund เคยกรีดร้องเสียสติ (แบบเล่นใหญ่) มาแล้วเมื่อ Force Majeure ถูกออสการ์ตัดตอนที่รอบ 9 เรื่องสุดท้าย – น้อยครั้งที่ปาล์มทองกับออสการ์จะเป็นหนังเรื่องเดียวกัน แต่ก็น้อยครั้งอีกเช่นกันที่หนังปาล์มทองจะขับเคลื่อนด้วยอารมณ์ขันแบบถึงเลือดถึงเนื้อและแสนจะบันเทิงเริงรมย์ ความเสี่ยงอาจอยู่ที่ตอนนี้ฮอลลีวูดกำลังหมกมุ่นกับความถูกต้องทางการเมืองเสียยิ่งกว่าอะไร แต่คิดอีกทีก็อาจจะไม่เป็นไร เพราะหนังไม่ได้แหกเรา แต่กำลังแหกพวกอาร์ติสต์ต่างหาก (แฮ่)
The Square จะเข้าฉายให้ชาวไทยพิสูจน์เสียงลือเสียงเล่าอ้างในวันที่ 11 มกราคมนี้
ย้อนสถิติ 10 ปีหลังใครปังสุด?
สำหรับสถิติผู้ชนะและผู้เข้าชิงสูงสุดตลอดกาล คงอีกนานกว่าจะมีใครแซงหน้าอิตาลี (ชนะ 14 ชิง 31) กับฝรั่งเศส (ชนะ 12 ชิง 39) ที่สะสมแต้มตั้งแต่สมัยมีหนังประกวดไม่กี่สิบประเทศ – เราเลยอยากโฟกัสที่ตัวเลขในทศวรรษล่าสุด (ออสการ์ประจำปี 2007-2016) ที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากยุคที่ออสการ์ยังไม่มีโอกาสได้ดูหรือรู้จักหนังมุมอื่นของโลกมากนัก
ชนะมากที่สุด – ออสเตรีย และอิหร่าน
ออสเตรียได้เข้าชิง 3 ครั้งและคว้าออสการ์ 2 ตัวจาก The Counterfeiters (Stefan Ruzowitzky, 2007) ซึ่งเป็นผู้ชนะที่ถูกวิจารณ์หนักที่สุดเรื่องหนึ่งในยุคหลัง และหนังปาล์มทองคำ Amour (Michael Haneke, 2012) ที่ทะลุไปชิงสาขาหนังและผู้กำกับยอดเยี่ยมด้วย
ในขณะที่อิหร่านได้ 2 ออสการ์จากการเข้าชิงทั้ง 2 ครั้ง – A Separation (2011) แทบจะเป็นมติเอกฉันท์ของวงการหนังโลกในปีนั้น แต่ The Salesman (2016) ยังหนีไม่พ้นข้อครหาว่าชนะเพราะนโยบาย Muslim travel ban ของทรัมป์ ทั้งสองเรื่องกำกับโดย Asghar Farhadi คนทำหนังอิหร่านส่วนน้อยที่ไม่มีปัญหากับรัฐบาลในประเทศ พร้อมๆ กับเป็นที่ยอมรับของวงการหนังโลก
ส่วนที่ได้ออสการ์ไปประเทศละ 1 ตัวได้แก่ ญี่ปุ่น (Departures / 2008), อาร์เจนตินา (The Secret in Their Eyes / 2009), เดนมาร์ก (In a Better World / 2010), อิตาลี (The Great Beauty / 2013), โปแลนด์ (Ida / 2014) และฮังการี (Son of Saul / 2015)
เข้าชิงมากที่สุด – เดนมาร์ก
สิบปีหลังหนังเดนมาร์กได้ชิงออสการ์สาขานี้ถึง 5 ครั้ง (2010, 2012, 2013, 2015, 2016) การเข้าชิงสองเรื่องซ้อนของ Susanne Bier (หนังเดนมาร์กไม่ได้ชิงสาขานี้นานถึง 17 ปี ก่อน After the Wedding เข้าชิงในปี 2006 และ In a Better World ชนะปี 2010) อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่กระตุ้นให้ออสการ์สนใจหนังเดนมาร์กยุคหลัง พร้อมๆ กับกระแสโลกที่บุคลากรด้านภาพยนตร์จากภูมิภาคสแกนดิเนเวียกำลังเป็นที่จับตา รวมถึงเข้ามามีบทบาทในฮอลลีวูดและวงการซีรีส์อย่างเข้มข้น
รองลงมาคืออิสราเอลที่เข้าชิง 4 ครั้ง (2007, 2008, 2009, 2011) และหากนับสถิติทั้งหมด อิสราเอลครองแชมป์เข้าชิงบ่อยที่สุดแต่ยังไม่เคยชนะ ด้วยจำนวน 10 ครั้ง (ถ้าปั้น Foxtrot ดีๆ อาจทำลายสถิตินี้ได้)
บทบาทมากที่สุด – เดนมาร์ก แคนาดา และเยอรมนี
อย่างที่ระบุไว้ว่าก่อนถึงผู้ชนะและรอบชิงยังมีรอบ shortlist 9 เรื่องสุดท้าย – ไม่ว่าจะสมหวังหรือผิดหวัง การที่หนังผ่านมาถึงรอบรองชนะเลิศได้บ่อยครั้งก็คือมาตรวัดที่ชี้ให้เห็นว่ากรรมการส่วนใหญ่พร้อม ‘ฝากผีฝากไข้’ หรือมีทัศนคติเป็นบวกกับหนังจากประเทศเหล่านี้ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
เดนมาร์ก, แคนาดา และเยอรมนี คือสามประเทศที่ออสการ์เลือกเข้ารอบ shortlist ถึง 6 เรื่องในรอบสิบปีหลัง นอกจากเดนมาร์ก แคนาดากับเยอรมนีมีสถิติเท่ากันคือชิง 3 ชนะ 0 – รองลงมาคืออิสราเอล (shortlist 4 เรื่อง เข้าชิงทั้งหมด) และฝรั่งเศส (shortlist 4 เรื่องเข้าชิง 3)
คำนวณแล้วเท่ากับว่า จากทั้งหมด 90 ที่นั่งในช่วงสิบปีของรอบ shortlist – ออสการ์มอบพื้นที่ให้เฉพาะ 5 ประเทศนี้ถึง 26 ที่นั่ง หรือเกือบ 29% เลยทีเดียว
New Year, New Records
ปี 2017 นี้มีผลงานผ่านเกณฑ์คุณสมบัติในสาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยมมากถึง 92 เรื่อง มากที่สุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ก่อตั้งสาขานี้มา โดย 6 สมาชิกใหม่ที่ส่งหนังร่วมประกวดเป็นครั้งแรกได้แก่ เฮติ, ฮอนดูรัส, ลาว, โมซัมบิก, ซีเรีย และ เซเนกัล ที่ยังมีลุ้นเข้าชิงอยู่
ในจำนวน 92 เรื่อง มีถึง 26 เรื่องหรือกว่า 28% เป็นผลงานของผู้กำกับหญิง สร้างสถิติใหม่เป็นปีที่มีผู้หญิงได้เข้าร่วมมากที่สุด แม้จะเหลือแค่เรื่องเดียวที่เข้ารอบ 9 เรื่องสุดท้ายคือ On Body and Soul (ฮังการี)
นับรวมตั้งแต่ครั้งแรกที่ก่อตั้งสาขานี้ขึ้น มีผู้กำกับหญิงเข้าชิงสาขานี้ทั้งหมด 19 คน (รวม 22 ครั้ง) โดยมีเพียง 3 คนที่ชนะออสการ์คือ Marleen Gorris (Antonia’s Line, เนเธอร์แลนด์, 1995), Caroline Link (Nowhere in Africa, เยอรมนี, 2002) และ Susanne Bier (In a Better World, เดนมาร์ก, 2010)
ปกติออสการ์ทั้งสาขาหลักและสาขานี้มักจะถูกค่อนแคะเสมอว่าชอบตกหลุมพราง ‘หนังนาซี’ (2 จาก 3 ครั้งหลังสุด ผู้ชนะสาขานี้ก็เป็นหนังนาซี แต่ทั้ง Ida และ Son of Saul ก็เป็นหนังที่ยอดเยี่ยม) เลยเกิดสถิติฮาๆ ขึ้นเมื่อทั้ง 92 ประเทศตัวแทนในปีนี้ ไม่มีหนังนาซีเลยแม้แต่เรื่องเดียว!
มีเพียงสองเรื่องที่ใกล้เคียงแต่ไม่เป็นหนังนาซีเต็มตัว เพราะถึง In the Fade จะมีตัวละครนีโอนาซี แต่หนังก็โฟกัสวิกฤติในยุโรปปัจจุบันมากกว่าอดีตสมัยสงครามโลก และ The Miner (สโลวีเนีย, Hanna Antonina Wojcik Slak) ที่ใช้ศพในเหมืองสมัยนั้นเป็นฉากหลังของประเด็นคอรัปชั่นและสงครามกลางเมืองบอสเนีย
เราอาจอธิบายได้ว่าสถานการณ์โลกตอนนี้กำลังเป็นวัตถุดิบชั้นดีสำหรับคนทำหนัง และในขณะเดียวกันเรื่องราวในอดีตในมุมอื่นๆ ของโลกก็กำลังเริ่มมีที่ทางเป็นของตนเองมากขึ้นเช่นกัน
ตัวเต็งตกสวรรค์ และบิ๊กเนมที่หายไป
กัมพูชาน่าจะหวังสูงไม่น้อย เพราะ First They Killed My Father คือหนังลงทุนสูงสุดในประวัติศาสตร์ประเทศ ประกาศตัวชัดเจนในเนื้องานว่าต้องการเป็นเสมือน The Killing Fields ฉบับกัมพูชา นายทุนใหญ่คือ Netflix โปรดิวเซอร์หลักคือคนทำหนังระดับตำนาน Rithy Panh ซึ่งเคยพา The Missing Picture เข้าชิงมาแล้วเมื่อปี 2013 และเรียกกระแสได้ถล่มทลายด้วยผู้กำกับชื่อ Angelina Jolie (นี่คือหนังยาวเรื่องที่ 5 ที่เธอกำกับ) หนังเข้าชิงรางวัลหลายที่ในอเมริกาก่อนกินแห้ว น่าแปลกใจแต่ไม่ถึงกับเซอร์ไพรส์ เพราะถึงหนังจะไม่ย่ำแย่แต่ก็ขาดความสม่ำเสมอและติดเชย กระแสก็อาจเป็นดาบสองคมเพราะคงมีกรรมการไม่น้อยรู้สึกแปลกๆ หากจะให้หนังของ ‘ดาราฮอลลีวูดอเมริกัน’ เข้าชิงสาขา ‘ภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม’
ชื่อหลุดโผที่ช็อคกว่าคือ BPM (Beats per Minute) หนังรางวัล Grand Prix เมืองคานส์ของผู้กำกับฝรั่งเศสดาวรุ่ง Robin Campillo (55 ปี) เพราะนอกจากจะเข้าชิงแทบทุกสำนักและกวาดรางวัลเป็นว่าเล่นในฝั่งอเมริกา ตัวหนังยังเข้าทางออสการ์สุดๆ ด้วยเรื่องจริงจากประสบการณ์ของผู้กำกับ สมัยร่วมเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิคนรักเพศเดียวกันของกลุ่ม ACT UP ในช่วงโรคเอดส์ระบาดเมื่อต้นทศวรรษ 1990 ที่ปารีส (Milk ของ Gus Van Sant ซึ่งธีมใกล้เคียงกัน เข้าชิง 8 ออสการ์เมื่อปี 2008) เท่ากับเป็นปีที่สองติดต่อกันที่หนังฝรั่งเศสกระแสแรงซึ่งเป็นที่กล่าวขวัญต้องตกรอบแรกออสการ์อย่างไม่มีใครคาดคิด (ปีก่อนผู้โชคร้ายคือ Elle ของ Paul Verhoeven)
ออสการ์ไม่ได้รักปรมาจารย์อย่าง Michael Haneke (75 ปี) เพราะเขาชอบตบหน้าผู้ชมชนชั้นกลางค่อนสูงอย่างโหดร้ายทารุณ – Happy End โยนคนดูเข้าบ้านครอบครัวเศรษฐีฝรั่งเศส (แต่หนังเป็นตัวแทนออสเตรีย) ซึ่งสมาชิกทุกคนตั้งแต่ผมดำยันผมหงอกมีความลับเลวร้ายเก็บซ่อนไว้ และหนังก็เดินหน้าไปอย่างหน้าชาๆ เลือดซิบๆ โดยมีสถานการณ์ผู้ลี้ภัยในฝรั่งเศสและโซเชียลเน็ตเวิร์กเป็นฉากหลัง (เฟซบุ๊ก, สแนปแชท หรือฟังก์ชั่น ‘ไลฟ์’) ที่จริงหนังถูกเมินตั้งแต่ตอนเปิดตัวที่เมืองคานส์แล้ว (ทั้งที่ปกตินักวิจารณ์และคนทำหนังรุ่นใหม่จะรักเขามาก) บางเสียงบอกว่าประเด็นไม่ต่างจากหนังสมัยก่อนของเขามากนัก และ Haneke พยายามวิพากษ์วัฒนธรรมออนไลน์โดยไม่ได้อยู่กับมันจริงๆ
อีกหนึ่งบิ๊กเนมที่หมดลุ้นคือ Agnieszka Holland (69 ปี) ผู้เคยชิงออสการ์มาแล้ว 3 ครั้ง (สาขานี้ปี 1985 กับ 2011 และบทดัดแปลงปี 1991) เธอทำหนังตัวแทนโปแลนด์เรื่อง Spoor กับลูกสาว Kasia Adamik ที่ชนะรางวัล Alfred Bauer Prize จากเบอร์ลิน (มอบให้หนังที่ ‘ท้าทายและแปลกใหม่’) แต่หนังก็ต่างจากงานเก่าของเธอที่ซีเรียสจริงจังอย่างสิ้นเชิง และเหวอจนทำคนดูเสียงแตกเป็นสองฟาก เพราะนางเอกของเรื่องคือป้าที่ชอบแจ้งความเอาผิดคนฆ่าสัตว์ด้วยข้อหาฆาตกรรม (ป้าคงชอบ พรบ. คุ้มครองสัตว์เมืองไทย) จนตำรวจและชาวเมืองระอา แต่แล้ววันหนึ่งบรรดาผู้มีอำนาจในชุมชนที่ชอบล่าสัตว์เป็นชีวิตจิตใจเริ่มเป็นศพ ตายปริศนากลางป่าไปทีละคนๆ และทฤษฎีของป้าที่ไม่มีใครเชื่อก็คือ… สัตว์ป่ากำลังล้างแค้นมนุษย์ (!!!)
Lucrecia Martel (51 ปี) ถือเป็นผู้กำกับหนังละตินอเมริกันร่วมสมัยคนสำคัญ เธอใช้เวลาทำเรื่อง Zama อยู่เกือบสิบปี โดยดัดแปลงจากนวนิยายสมัยทศวรรษ 1950 ของ Antonio di Benedetto ซึ่งเล่าชีวิตของ Diego de Zama ข้าราชการรับใช้เจ้าอาณานิคมสเปนผู้ค่อยๆ เสียสติและเป็นบ้าไปในเมืองบ้านนอก ระหว่างรอคำสั่งย้ายเข้าเมืองใหญ่ที่ดูจะไม่มีวันมาถึง หนังของ Martel ใช้ภาษาหนังท้าทายวิธีคิดของโลกภาพยนตร์มาตลอด (ไม่ใช่ทางที่ออสการ์ชอบ และบางครั้งหนังคนดูในเทศกาลฝั่งยุโรปก็โห่ใส่หนังของเธอ) เธอไม่ได้ทำหนังประวัติศาสตร์แบบทื่อๆ แต่ลงลึกไปสำรวจ ‘นรกในจิตใจ’ ของตัวละครที่มักถูกคัดทิ้ง (ลูกหลานยุโรปที่เกิดและโตในอเมริกาใต้) รวมถึงนำเสนอภาพชนพื้นเมืองละตินอเมริกันที่พิสดารผิดจากความคุ้นชินในเส้นเรื่องหลักของเรื่องเล่าเจ้าอาณานิคมที่ถูกต้องทางการเมือง
แต่บิ๊กเนมที่หลุดโผไปตั้งแต่เริ่มคือ Aki Kaurismäki (60 ปี) กับหนัง ‘เรื่องสุดท้ายในชีวิต’ The Other Side of Hope (เวลามีประกาศอะไรแบบนี้ต้องหารสิบอยู่เสมอ โปรดดู Hayao Miyazaki) ยอดผู้กำกับชาวฟินแลนด์เคยเข้าชิงจาก The Man without a Past (2002) แต่ประท้วงออสการ์ด้วยการไม่ไปร่วมงานเพราะอเมริกาเพิ่งประกาศสงครามกับอัฟกานิสถาน และยังเคยถอนตัวอีกสองครั้งเมื่อปี 1996 กับ 2006 ด้วยเหตุผลทางการเมือง (ปี 2006 อเมริกาไม่ให้วีซ่าผู้กำกับอิหร่าน Abbas Kiarostami แกเลยถอนตัวเพื่อแสดงสปิริตภราดรภาพ ทั้งที่หนังมีชื่อเข้าชิงไปแล้ว) ยิ่งในยุคทรัมป์ที่พิสดารเกินจาระไน ไม่พ้นแกคงประท้วงออสการ์อีกแน่ ฟินแลนด์เลยส่งหนังเรื่องอื่นมาแทนซะเลย
LGBTQ Squad
ถ้า BPM (Beats per Minute) เข้ารอบตามโผ ชอร์ตลิสต์ปีนี้จะมีหนังเรื่องความหลากหลายทางเพศถึง 3 จาก 9 เรื่อง แต่ถึงจะมีแค่สองก็ยังถือเป็นสถิติที่น่าสนใจ เพราะในช่วงทศวรรษหลังสุด (2007-2016) มีหนัง LGBT เข้าถึงรอบชอร์ตลิสต์แค่ 3 เรื่องเท่านั้นคือ Beyond the Hills (Cristian Mungiu, 2013, โรมาเนีย) ที่มีตัวละครเลสเบียน แต่เน้นวิพากษ์พิธีกรรมของศาสนาคริสต์เป็นหลัก, Viva (Paddy Breathnach, 2015, ไอร์แลนด์) ที่เล่าชีวิตแดร็กควีนในคิวบา และ It’s Only the End of the World (Xavier Dolan, 2016, แคนาดา) ที่มีตัวเอกเป็นเกย์ แต่โฟกัสหลักคือดราม่าระหว่างสมาชิกครอบครัว
เท่ากับว่าตอนนี้ A Fantastic Woman และ The Wound กำลังลุ้นตำแหน่งหนัง LGBTQ เรื่องแรกที่ได้เข้าชิงสาขานี้ในรอบ 18 ปี เพราะเรื่องสุดท้ายที่ทำสำเร็จ ต้องย้อนไปถึงผู้ชนะออสการ์ประจำปี 1999 เรื่อง All About My Mother (สเปน, Pedro Almodóvar) กันเลย
ถือเป็นปีที่ดีสำหรับหนัง LGBTQ เพราะอีกสามเรื่องที่หลุดวงโคจรไปก่อนก็ไม่ใช่ไม้ประดับเสียทีเดียว ทั้ง Tom of Finland (ฟินแลนด์, Dome Karukoski) หนังชีวประวัติ Touko Laaksonen ศิลปินเกย์เจ้าของผลงานอีโรติกผู้เป็นไอคอนของวัฒนธรรมเควียร์ และสารคดีส่วนตัวอย่างยิ่งเรื่อง Small Talk (ไต้หวัน, Hui-chen Huang) ที่ผู้กำกับตั้งกล้องบันทึกบนสนทนาระหว่างเธอกับแม่ที่เป็นนักพรตลัทธิเต๋าและเลสเบียน เพื่อทลายกำแพงความสัมพันธ์ระหว่างกันหลังจากห่างเหินเย็นชากันมากว่า 20 ปี
แต่เรื่องที่เซอร์ไพรส์เหล่านักวิจารณ์ มีแววจะเลี้ยงกระแสระยะยาวได้ดี และอาจพัฒนาสู่การเป็น cult-favourite ในอนาคตคือ Thelma (นอร์เวย์, Joachim Trier) หนังรสแปลกที่ผสมหนังเลสเบียนกับหนังซูเปอร์ฮีโร่ยุคใหม่เข้าด้วยกัน เมื่อสาวน้อยเคร่งศาสนาที่เพิ่งย้ายเข้ากรุงออสโล ไม่อาจต้านทานความรู้สึกที่มีต่อเพื่อนหญิงคนใหม่ได้อีกต่อไป ความเก็บกดและความสับสนในตัวจึงระเบิดออกมาเป็นพลังเหนือธรรมชาติที่มิอาจควบคุม และคนเดียวที่จะหยุดหายนะจากพลังนี้ได้ก็คือตัวเธอเอง
ISIS + Refugee Crisis
หนังดราม่าสะท้อนสังคมถือเป็นส่วนใหญ่ของบรรดาตัวแทนประเทศในสาขานี้ แต่ประเด็นที่ยึดพื้นที่ข่าวระดับโลกได้มากที่สุดในช่วงหลายปีหลังย่อมหนีไม่พ้นเรื่องวิกฤติผู้ลี้ภัยในยุโรปและความรุนแรงกับการก่อการร้ายที่มีกลุ่ม ISIS อยู่เบื้องหลัง พ้นไปจากหนังเข้ารอบชอร์ตลิสต์ทั้ง In the Fade และ The Insult ซึ่งย่อยประเด็นนำเสนอผ่านรูปลักษณ์หนังบันเทิงที่มีฟอร์มชัดเจน (หนังล้างแค้น, หนังว่าความในศาล) ยังมีอีกหลายเรื่องในกลุ่มตัวแทนที่เล่นประเด็นนี้ได้น่าสนใจ แต่อาจตกสำรวจไปเพราะยังไม่เป็นที่รู้จัก
Road to Istanbul (แอลจีเรีย) หนังเรื่องใหม่ของ Rachid Bouchareb (เคยเข้าชิงมาแล้ว 3 ครั้งเมื่อปี 1995, 2006 และ 2010) โฟกัสที่แม่ชาวเบลเยียมที่ได้ข่าวว่าลูกสาววัยยี่สิบหนีไปอยู่กับไอซิสที่ซีเรีย เธอพยายามติดต่อจนพบลูกสาวที่กลายเป็นคนละคน และตัดสินใจออกเดินทางเพื่อสืบสาวราวเรื่องพร้อมตามหาลูกสาวด้วยตัวเอง โครงสร้างคล้ายกันยังพบใน Layla M. (เนเธอร์แลนด์, Mijke de Jong) ที่ตามชีวิตเด็กสาวเชื้อสายโมร็อคคันผู้ค่อยๆ เติบโตเข้าหาแนวคิดสุดโต่ง เธอขัดแย้งกับครอบครัว รัฐ และอคติของสังคมที่มีต่อมุสลิม จนตัดสินใจแต่งงานมาอยู่กับแฟนหนุ่มในกลุ่มญีฮัด ก่อนต้องหนีไปตะวันออกกลางเพราะถูกตำรวจบุกจับ แต่เธอกลับต้องสู้รบกับปิตาธิปไตยแบบอิสลามในดินแดนที่ใกล้กับความศรัทธาของตัวเอง
แล้วเสียงจากในพื้นที่ล่ะ? คำตอบคือ Reseba : The Dark Wind (อิรัก, Hussein Hassan Ali) ซึ่งเล่าชะตากรรมของคู่หมั้นหนุ่มสาวชาวยาซิดีในเขตแดนเคอร์ดิสถานที่ถูกไอซิสบุกยึด ฝ่ายหญิงถูกขายในตลาดทาสระหกระเหินไปถึงซีเรียก่อนฝ่ายชายจะพบตัวในสภาพที่จิตใจย่อยยับล่มสลายจนไม่อาจกอบกู้ฟื้นคืน และ Little Gandhi (Sam Kadi, ซีเรีย) สารคดีบันทึกเรื่องราวของ Ghiath Matar แอ็คติวิสต์สันติวิธีชาวซีเรียที่เสียชีวิตอย่างมีเงื่อนงำหลังถูกรัฐบาลจับกุม และกลายเป็นสัญลักษณ์ของการลุกฮือเมื่อปี 2011
ส่วนเรื่องผู้ลี้ภัย ฝั่งยุโรปมี Amerika Square (กรีซ, Yannis Sakaridis) เฝ้าสังเกตหลากชีวิตช่วงเศรษฐกิจตกต่ำในอพาร์ตเมนต์หลังหนึ่งในกรุงเอเธนส์ที่ผู้อพยพล้นทะลัก นักร้องสาวแอฟริกันกับคนรักและหมอชาวซีเรียกับลูกสาววางแผนข้ามชายแดนไปด้วยกัน แต่อุปสรรคสำคัญคือชายหนุ่มคลั่งชาติในตึกที่ดันรู้แผนเข้า และ A Ciambra (อิตาลี, Jonas Carpignano) กับการเติบโตของเด็กหนุ่มชาวยิปซีวัยสิบสี่ ผู้กลืนกลายสลายเป็นส่วนหนึ่งได้ทั้งในสังคมชาวยิปซี ชาวอิตาเลียน และแอฟริกันอพยพ ในวันที่พี่ชายหายตัวไป
ฝั่งแอฟริกามีหนังตูนิเซีย The Last of Us (Ala Eddine Slim) ที่เปรี้ยวจัดจนได้รางวัลผู้กำกับหน้าใหม่ยอดเยี่ยมจากเวนิซเมื่อปี 2016 ด้วยการนำเสนอชีวิตผู้ลี้ภัยผ่านหนังอาร์ตเซอร์เรียลไร้บทพูด โดยตลอดทั้งเรื่องคือการเดินทางข้ามทะเลทรายในแอฟริกา ล่องเรือข้ามฟากไปยุโรป ก่อนจะเดินหลงไปในป่าลึกลับ และพบกับชายแก่ปริศนาในป่านั้น (ว้อท!)
อื่นๆ ที่น่าสนใจแต่ไม่ได้ไปต่อ
เรียงตามลำดับตัวอักษร
Ayiti Mon Amour (เฮติ, Guetty Felin) : สัจนิยมมหัศจรรย์เวอร์ชั่นเฮติ ห้าปีหลังแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ วัยรุ่นหนุ่มพบว่าตัวเองมีพลังวิเศษ ชาวประมงหายารักษาเมียจากท้องทะเล และตัวละครที่พยายามหนีปลายปากกาของนักประพันธ์ (!?!?!?)
Birdshot (ฟิลิปปินส์, Mikhail Red) : เมื่อตำรวจต้องไล่ล่ามือสังหารนกอินทรี ‘สัญลักษณ์ประจำชาติ’ อย่างเอาเป็นเอาตาย และหลับตาหนึ่งข้างกับการหายตัวไปของกลุ่มเกษตรกรที่นั่งรถทัวร์เข้าเมืองมาประท้วงรัฐบาล
Breath (อิหร่าน, Narges Abyar) : Pan’s Labyrinth ฉบับอิหร่าน แฟรี่เทลของเด็กหญิงในภาวะบ้านเมืองระส่ำระสายทั้งการปฏิวัติอิสลามและสงครามกับประเทศเพื่อนบ้าน
By the Time It Gets Dark ‘ดาวคะนอง’ (ไทย, อโนชา สุวิชากรพงศ์) : ประวัติศาสตร์การเมืองที่ไหลรวมกับประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ หนังที่ท้าทายทั้งความเป็นหนังและประวัติศาสตร์การเมืองที่เป็นใบ้ ผ่านภาพแทนเหตุการณ์สังหารหมู่ 6 ตุลาคม 2519 ที่แตกแขนงไปสู่เรื่องราวใหม่ๆ
Centaur (คีร์กีซสถาน, Aktan Abdykalykov) : คนฉายหนังเมืองเล็กที่ใครๆ ก็รักกลายเป็นศูนย์กลางความขัดแย้ง เมื่อตัดสินใจขโมยม้าจากฟาร์มกลางดึก ตามความเชื่อคีร์กีซดั้งเดิมว่าม้าคือสัตว์ที่จะพามนุษย์ไปสู่สวรรค์
The Chronicles of Melanie (ลัตเวีย, Viestur Kairish) : ชีวิตในค่ายแรงงานไซบีเรียของโซเวียตช่วงทศวรรษ 1940
Dearest Sister ‘น้องฮัก’ (ลาว, Mattie Do) : สาวบ้านนอกมาอยู่บ้านญาติรุ่นพี่ที่เป็นเมียฝรั่งตาบอด เธอเห็นผีแต่จำอะไรที่ผีบอกไม่ได้ มีแค่น้องฮักที่รู้ว่าผีมาใบ้หวยเลยเอาเลขหวยไปหาเงินเข้าตัว เมื่อความลับแตก การปะทะระหว่างชนชั้นก็เริ่มต้นขึ้น!
Frost (ลิทัวเนีย, Sharunas Bartas) : โชเฟอร์กับแฟนสาวขับรถช่วยเหลือมนุษยธรรมเข้าไปในดินแดนรกร้างของยูเครน และเรื่องราวการสู้รบ (กับรัสเซีย) ก็ค่อยๆ ได้รับการเปิดเผยผ่านบรรดานักข่าวสงครามที่ทั้งคู่พบเจอ
Glory (บัลแกเรีย, Kristina Grozeva & Peter Valchanov) : ช่างซ่อมรางรถไฟเก็บเงินมหาศาลได้ กระทรวงคมนาคมเลยคิดจะปั่นข่าวเพื่อกลบเรื่องคอรัปชั่น แต่ทีมพีอาร์ที่รับงานรัฐ ดันรังเกียจความเป็นคนชั้นล่างของช่างซ่อมที่พวกเขาต้องเขียนข่าวเชิดชู
Hochelaga, Land of Souls (แคนาดา, François Girard) : นักกีฬาเสียชีวิตเพราะหลุมยุบในสนาม นักโบราณคดีสันนิษฐานว่าหลุมนี้อาจเชื่อมโยงกับการสังหารชนพื้นเมืองครั้งใหญ่ของเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศส และประวัติศาสตร์นับร้อยปีในควิเบกกับมอนทรีอัล
Newton (อินเดีย, Amit V Masurkar) : เมื่อเสมียน กกต. หน้าใหม่ถูกส่งไปดูแลการเลือกตั้งในพื้นที่เหมาอิสต์ ต้องชนกับอำนาจในพื้นที่เมื่อพยายาม educate ประชาชนให้รู้จักการลงคะแนนเสียง และพบการสร้างภาพอันไม่ชอบมาพากลของฝ่ายรัฐ
Pop Aye ‘ป็อปอาย มายเฟรนด์’ (สิงคโปร์, Kirsten Tan) + Wajib (ปาเลสไตน์, Annemarie Jacir) : โร้ดมูฟวี่ในช่วงชีวิตพลิกผัน สถาปนิกไทยชีวิตพังกับช้างเพื่อนสมัยเด็ก และสองพ่อลูกที่กำลังเตรียมงานแต่งในปาเลสไตน์
Scary Mother (จอร์เจีย, Ana Urushadze) : หญิงวัยห้าสิบค้นหาตัวตนผ่านงานเขียนแนวอีโรติก หลังยอมให้สามีอ่านต้นฉบับงานเขียน ความฝันด้านวรรณกรรมก็ค่อยๆ กลืนกินและเปลี่ยนเธอเป็นปีศาจ
Summer 1993 (สเปน, Carla Simón) : เด็กหญิงวัยหกขวบกับชีวิตใหม่ซัมเมอร์แรกที่บ้านของลุงกับป้า หลังพ่อแม่เสียชีวิตกะทันหันด้วยโรคเอดส์ ดัดแปลงจากเรื่องจริงของผู้กำกับ
A Taxi Driver (เกาหลีใต้, Jang Hoon) : ความสัมพันธ์ของคนขับแท็กซี่และนักข่าวเยอรมัน ในช่วงการชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยครั้งสำคัญที่เมืองกวางจู
White Sun (เนปาล, Deepak Rauniyar) : ลูกชายกลับบ้านนอกไปงานศพพ่อ ปัญหาคือทั้งหมู่บ้านรวมถึงครอบครัวเป็นรอยัลลิสต์และยึดถือระบบชนชั้นวรรณะอย่างแรงกล้า ในขณะที่เจ้าตัวเป็นเหมาอิสต์ที่สนับสนุนการล้มราชวงศ์