และแล้ว Stranger Things ซีซั่น 2 ก็มาถึง จากที่ซีซั่น 1 ตรึงใจเราจนไม่รู้จะปริ่มเปรมไปกับอะไรก่อนดี ระหว่างความครบรสและการดำเนินเรื่องอันเข้มข้น ทั้งของรุ่นเด็ก รุ่นกลาง และรุ่นใหญ่ หรือบรรยากาศยุค 80s ที่มาพร้อมเสียงดนตรีร็อกแอนด์โรลซึ่งพาเราย้อนอดีตไปได้อย่างสมจริงสมจัง
ซีซั่นแรกว่าทิ้งทายเอาไว้แบบขนลุกแล้ว เรื่องราวในซีซั่น 2 ก็จะหนักข้อกว่าเดิม เรื่องเกิดขึ้นในปี 1984 เมืองฮอว์กิ้นส์ รัฐอินเดียนา ที่ที่ Demorgorgon ของเด็กๆ ยังคงอยู่แถมเล่นสเกลใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ พร้อมตัวละครใหม่ที่จะมาเติมความเผ็ดมันในเส้นเรื่อง และก่อนจะไปชมซีรีส์ที่คราวนี้ยาวถึง 9 อีพี เด็กๆ 6 คนนี้มีเรื่องจะมาเล่าให้เราฟัง
เริ่มจาก Finn Wolfhard ผู้รับบท Mike เด็กเนิร์ดหล่อประหลาด ที่ความเป็นพระเอกพุ่งปรี๊ดในซีซั่นแรก Gaten Matarazzo หนุ่มน้อยที่มากับรอยยิ้มเป็นเอกลักษณ์ ผู้รับบท Dustin เพื่อนรักสายบวก Caleb McLaughlin ในบทบาท Lucas เด็กสายเรียลลิสติกจอมมุ่งมั่น Noah Schnapp ผู้รับบท Will เด็กน้อยที่หายไป Millie Bobby Brown กับบท Eleven สาวน้อยพลังจิต ที่ตัวจริงแตกต่างจากคาแรกเตอร์สุดขั้ว เตรียมตัวเป็น Girl Crush คนต่อไปในเร็ววัน
และเด็กคนใหม่—Sadie Sink ผู้มารับบท Max แคลิฟอร์เนียเกิร์ลผู้ไม่แคร์โลก ที่ดันต้องย้ายมาเผชิญความพีคในฮอว์กิ้นส์ และเรื่องราวในซีซั่นใหม่จะไปในทิศทางไหนบ้าง ให้เด็กเกิดปี 2000s แก๊งนี้พาเราไปดื่มด่ำกับบรรยากาศยุค 80s กันเถอะ
*Note : บทสัมภาษณ์ต้นฉบับจัดทำขึ้นโดย Netflix เป็นการสัมภาษณ์เด็กๆ แยกทีละคน ด้วยชุดคำถามคล้ายๆ กัน เมื่อนำมาแปล ผู้เขียนจึงเรียบเรียงลำดับคำถามและคำตอบใหม่ ตัดทอนบางส่วนที่เด็กๆ เล่าซ้ำกัน เพื่อความกระชับและอรรถรส
Q : เรื่องราวในซีซั่น 2 มันเริ่มขึ้นจากตรงไหน
Gaten : เรื่องจะเริ่มต้นในวันฮัลโลวีนถัดมา หลังจากผ่านเหตุการณ์ได้ประมาณหนึ่งปี พวกเราพยายามทำเหมือนทุกอย่างเป็นปกติ แต่มันยากมาก เพราะวิลล์อาการไม่ดีเลย เขายังคงต้องเผชิญกับความกลัว ประมาณว่าสัตว์ประหลาดที่คุณเคยคิดว่ามีอยู่แต่ในบอร์ดเกมจะมีชีวิตขึ้นมา และพยายามฆ่าคุณ มันไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ
Finn: ส่วนไมค์ ตัวละครของผมเองก็ไม่ค่อยมีความสุขเพราะคิดถึงเอลเลฟเว่นโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธออยู่ไหน เป็นหรือตาย? แล้วก็มีตัวละครใหม่เข้ามาเพิ่มเส้นเรื่องให้ซับซ้อนขึ้นด้วย
Q : สิ่งที่วิลล์ต้องเผชิญคืออะไร
Noah : อย่างที่เห็นว่าเขาอ้วกออกมาเป็นปลิง หลังจากนั้นวิลล์ก็เริ่มเห็นภาพต่างๆ ในหัว เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้เขายิ่งเก็บตัวเวลาอยู่โรงเรียน เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นคนเดียวที่รู้จริงๆ ว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง และคนอื่นก็ไม่มีทางเข้าใจ
Finn : เขาจะแฟล็ชแบ็กกลับไปในอัพไซด์ดาวน์เป็นบางครั้ง—เขาเป็น PTSD (Post-traumatic stress disorder) หรือไม่แน่ ทั้งหมดที่เขาเห็นก็เป็นเรื่องจริง ในขณะที่เพื่อนๆ จอยซ์ ฮอปเปอร์ และคนอื่นๆ ก็พยายามค้นหาว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเขา
Gaten : พวกเราดีใจที่เพื่อนยังมีชีวิต แต่ก็เสียใจที่เขาต้องตกอยู่ในภาวะแบบนั้น แล้วทัศนคติเกี่ยวกับชีวิตของพวกเราก็เปลี่ยนไป จากที่เคยคิดถึงแค่เรื่องของมังกรและคุกใต้ดิน แต่ตอนนี้มันคือชีวิตจริงที่เราไม่เคยรู้สึกถึงมันมาก่อน
Caleb : ซีซั่นนี้จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับวิลล์เยอะมาก บางครั้งเขาก็ดูเหมือนจะไม่เป็นไร แต่บางครั้งเขาก็ไม่โอเคเอามากๆ เขาเล่าทุกอย่างให้พวกเราฟังว่าฝั่งนั้นเป็นยังไงบ้าง ซึ่งหลายครั้งเราก็เกิดคำถามว่าเขากลับมาแล้วจริงไหม? นี่ใช่วิลล์จริงๆ รึเปล่า? พวกคนที่รู้เรื่องต่างก็ถูกกวนใจด้วยอะไรบางอย่างอยู่ตลอด
Q : เราจะได้เห็นความตื่นเต้นแบบไหนอีกบ้างในซีซั่น 2
Finn : ความเจ๋งของ Stranger Things คือ ยิ่งเราดูตอนต่อไป เรื่องก็ยิ่งขยายสเกลขึ้นเรื่อยๆ ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วไปหมด และในซีซั่นนี้เรื่องจะเร็วขึ้นอีกเป็น 3 เท่าจากซีซั่นที่แล้ว หลังจากดูจบตอนหนึ่งแล้ว คุณก็จะ “โอ้ มันบ้าไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว” และเมื่อดูจบอีกตอนก็จะยิ่งแบบว่า “ไม่นะ มันบ้ากว่านี้ไม่ได้แล้ว”
Gaten : ซีซั่นก่อนอีกมิติหนึ่งจะอยู่อีกฝั่ง แต่ในซีซั่นนี้เรื่องมันแย่ลงไปอีก เพราะทั้งสองมิติกำลังจะหลอมรวมกัน แล้วจะมีอะไรเกิดขึ้นอีกเยอะมาก และผมเชื่อว่าคนดูจะรู้สึกสาแก่ใจเมื่อดูจบ
Noah : คุณจะได้เห็นสัตว์ประหลาดตัวใหม่แน่ๆ และจำนวนมากขึ้นกว่าเดิมด้วย
Q : พวก Hawkins Lab ล่ะ เป็นยังไงบ้าง พวกเขาเปลี่ยนไปไหม หรือยังเหมือนเดิม
Finn : พวกเขาเตรียมพร้อมมาดีมากขึ้น แล้วก็น่าจะเป็นคนดีขึ้นด้วยนะ จะมีทีมหมอที่พยายามช่วยค้นหาว่าเกิดอะไรกับเด็กๆ เมื่อปีที่แล้ว หรืออย่างหมอโอเว่นตัวละครใหม่ (รับบทโดย Paul Reiser) ก็พยายามลงลึกไปถึงต้นตอและสาเหตุที่แท้จริงของมัน
Noah : ผมเองยังไม่ค่อยเข้าใจแรงจูงใจของหมอนะ เขาพยายามทำให้ทุกอย่างกลับสู่ความสงบก็จริง แต่ก็ยังคงมีกลิ่นทะแม่งๆ เพราะงั้นเราคงต้องติดตามดูเขากันต่อไป
Q : ตัวละคร Eleven เองก็ได้รับผลตอบรับดีมากๆ
Millie : ฉันไม่ค่อยเห็นหนังยุค 80s ที่มีเด็กผู้หญิงมาช่วยชีวิตใครต่อใครนะ เพราะงั้นเด็กอายุ 13 ที่กำลังดูอยู่ในยุคนี้ น่าจะรู้สึกว่า ว้าว มันโอเคนะที่จะเป็นตัวประหลาดแบบเอลเลฟเว่นมันโอเคที่จะแตกต่างจากคนอื่น และความแตกต่างนี่เองที่ฉันรู้สึกว่าทำให้คนรู้สึกเชื่อมโยงกับเธอ
Q : ทรงผมของเธอในซีซั่นนี้จะเป็นแบบไหน
Millie : ตามเรื่องก็คือผมต้องยาวขึ้นแล้วแหละ แต่ก็ยังเป็นทรงที่ไม่เหมือนชาวบ้านอยู่ดี ซึ่งจริงๆ แล้วฉันอยากกลับไปโกนหัวอีกนะ ฉันชอบผมสั้นๆ แล้วรู้สึกว่ามันเป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่นได้เช่นคนที่ผมร่วงหรือเป็นมะเร็ง ผมสั้นมันก็คูลได้เหอะ เหมือนที่ ชาร์ลิซ เธโรน โกนหัวเพื่อความสนุกนั่นแหละ
Q : ตัวละครของพวกคุณจะมีพัฒนาการแบบไหนในซีซั่น 2
Finn : ผมมองว่าไมค์กำลังเผชิญหน้ากับช่วงแห่งการเติบโตเป็นวัยรุ่นที่ทุกข์กับเรื่องความรัก พร้อมๆ กับเจอปัญหาอื่นๆ ไปด้วย
Gaten : ดัสตินก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม คือพยายามมองโลกในแง่ดีอย่างที่เขาเป็นมาเสมอ
Caleb : ลูคัสก็ยังคงเหมือนเดิมแหละ แต่เติบโตขึ้นตามวัยและประสบการณ์ที่เจอ
Noah : ของวิลล์นี่น่าจะเป็นเรื่องแม่ด้วยนะ ในซีซั่นแรกเขามักจะรำคาญเวลาแม่ทำอะไรเวอร์ๆ ให้ต้องอาย เมื่อกลับมาสู่โลกปกติ ผมว่าแม่เริ่มรู้สึกตัวแล้ว เธอพยายามทำอะไรให้มันดีขึ้น แต่ก็อย่างที่เห็น เหมือนซีซั่นแรกเลย ใครๆ มักจะคิดว่าเธอบ้า
Millie : พลังของเอลเลฟเว่นในซีซั่น 1 ยังเป็นแค่ระดับฝึกฝนเท่านั้น เหมือนเป็นการอุ่นเครื่อง แต่ในซีซั่นนี้เราจะได้รู้กัน มันบ้าคลั่งมากๆ
Sadie : ตอนต้นซีซั่น แม็กซ์จะปิดตัวเองสุดๆ ไม่อยากคบใครเลย เธอโกรธที่ต้องมาอยู่ที่นี่ แต่เมื่อเริ่มเปิดใจให้กลุ่มเด็กๆ เธอก็จะเริ่มเผยให้พวกเขารู้เรื่องอดีตและครอบครัวของตัวเอง
Q : คุณช่วยเล่าเกี่ยวกับแม็กซ์อีกสักหน่อยได้ไหม
Finn : แม็กซ์ย้ายมาที่ฮอว์กิ้นส์กับลูกพี่ลูกน้องชื่อบิลลี่ เธอชอบอยู่คนเดียว เหมือนพวกหมาป่าเดียวดายที่ไม่ต้องการเพื่อน แต่ลูคัสกับดัสตินดันปิ๊งเธอและอยากให้มาเข้าแก๊งด้วย แน่นอนว่าไมค์ไม่อยากต้อนรับคนนอกอีกแล้ว เพราะครั้งก่อนเราก็เห็นกันแล้วว่ารับคนนอกกลุ่มเข้ามาแล้วเกิดอะไรขึ้น
Caleb : ลูคัสจะไม่ปฏิบัติกับแม็กซ์เหมือนที่เคยทำกับเอลเลฟเว่น เพราะแม็กซ์ไม่ได้มีพลังเหนือธรรมชาติ แถมยังเท่ระเบิด แล้วในที่สุดก็เหมือนจะเป็นรักสามเส้าเล็กๆ ระหว่างแม็กซ์ ลูคัส และดัสติน
Gaten : เธอย้ายมาใหม่ เป็นเด็กสเก็ตด้วย ซึ่งตัวละครใหม่นั้นหมายถึงการผจญภัยครั้งใหม่ และการผจญภัยครั้งใหม่ก็คือเรื่องสุดยอด
Millie : และฉันคิดว่าเด็กๆ จะต้องคิดว่า “โอ้ ฉันอยากเป็นเหมือนแม็กซ์” แน่ๆ
Sadie : ฉันว่าที่เด็กๆ สนใจในตัวแม็กซ์ก็คงเพราะเห็นเราชอบอะไรบางอย่างคล้ายๆ กัน เธอเล่นเกมอาร์เคดเก่งมาก แล้วลูคัสกับดัสตินเลยอยากรู้จักเธอให้มากขึ้น แล้วจากที่พวกเขาเป็นพวกชนกลุ่มน้อยอยู่แล้ว เราเองก็ต่างจากคนอื่น ในที่สุดก็เลยไปร่วมหัวจมท้ายกันจนได้
Q : สำหรับคนอื่นๆ การทำงานกับ Sadie Sink เป็นยังไงบ้าง
Gaten : เธอเยี่ยมยอดมาก ผมรู้จักเธอมาก่อนจากบรอดเวย์ที่เล่นด้วยกัน ผมคิดว่าพี่น้องดัฟเฟอร์ (Matt Duffer และ Ross Duffer) ผู้กำกับน่าจะมีอะไรกับเด็กบรอดเวย์แน่ๆ แล้วเธอก็เติมอะไรหลายอย่างเข้ามาในเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องราวส่วนของลูคัส ดัสติน ที่เราไม่ค่อยได้เห็นในซีซั่นที่แล้ว จากที่พวกเขาเคยไร้เดียงสาและไม่ได้สนเรื่องผู้หญิงเท่าไหร่ พอเธอปรากฏตัว ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ตัวละครทั้งสองมีพัฒนาการในตัวเองมากขึ้น
Caleb : ผมรู้จักเธอมาก่อนจากบรอดเวย์เช่นกัน แล้วเราก็เข้ากันได้ดีมาก ตอนแรกพวกเราในซีซั่นแรกก็สนิทกันมากๆ แล้ว พอรู้ว่าจะมีคนใหม่เข้ามาก็ตื่นเต้นมาก อยากรู้ว่าจะเป็นใคร พ่อแม่เขาล่ะจะเป็นยังไง ผลออกมาก็คือเธอเยี่ยมยอด
Q : กลับมาเจอพี่น้องดัฟเฟอร์ ผู้กำกับครั้งนี้ สนุกเหมือนเดิมหรือเปล่า
Caleb : ทุกอย่างยังเหมือนเดิม ยกเว้นแต่ว่าเราค่อนข้างกดดัน เพราะซีซั่นแรกมันฮิตมาก มาถึงซีซั่นนี้เราก็อยากทำให้มันฮิตเหมือนกัน เลยต้องโฟกัสกันมากขึ้น ทุกอย่างต้องเป๊ะกว่าเดิม ส่วนผู้กำกับทั้งสองคนก็จัดเต็ม พวกเขาเหมือนวัยรุ่นตัวเป้ง ที่มีความคิดสร้างสรรค์ได้ตลอด คิดนอกกรอบอยู่เสมอ
Q : แล้วกับผู้กำกับคนอื่นๆ ราบรื่นดีไหม
Sadie : พวกเขาทุกคนคืออัจฉริยะ มันสนุกที่ได้ทำงานกับผู้กำกับหลายคน แต่ละคนก็รับหน้าที่ในอีพีของตัวเอง แล้วพวกเขาค่อนข้างจะมีวิธีคิดกันไปคนละทาง นั่นทำให้การทำงานกับผู้กำกับเปลี่ยนรสชาติไปเรื่อยๆ
Caleb : ส่วนตัวผมผมชอบวิธีกำกับของชอว์น เลวี (Shawn Levy) เขาจะมีคำแนะนำให้เรา แต่ขณะเดียวกันก็ปล่อยให้เราทำในแบบของเราเอง เพราะเขาเองก็อยากเห็นว่ามันจะออกมาเป็นยังไง
Finn : และซีซั่นนี้นี้เรามีผู้กำกับเพิ่มมาอีกหนึ่งคนคือแอนดรู สเตตัน ( Andrew Staton) ซึ่งทำงานหนักและเป็นมืออาชีพมากๆ เขารู้ว่าต้องการอะไรในโมเมนต์นั้นๆ แล้วมันช่วยเราได้มาก ทุกอย่างง่ายขึ้นเยอะ
Millie : แล้วเราก็ยังมีรีเบคกา โธมัส (Rebecca Thomas) เข้ามาร่วมด้วย เพื่อนหญิงพลังหญิงมากๆ
Q : การได้เล่น Stranger Things ทำให้ชีวิตคุณเปลี่ยนไปแค่ไหน
Caleb : ตอนนี้ Netflix มันไปไกลมาก พวกเราไปปารีสเมื่อปีที่แล้ว คนที่นั่นก็จำเราได้ พวกเขาแบบว่า “ว้าว เด็กพวกนั้นนี่นา” แล้วก็เข้ามาคุยกับเราเป็นภาษาฝรั่งเศสรัวๆ เราก็ได้แต่ “หือ?” หรือตอนไปบราซิลก็มีคนตะโกนว่า ‘Brazil loves you!’
Millie : ที่ฟินที่สุดคือตอนที่พบว่า ปธน.โอบามาก็ดูพวกเราด้วย แล้วคนก็ตามมาฟอลโลวเราในโซเชียลมีเดียกันให้รึ่ม ฉันก็ได้แต่สงสัยว่าพวกเขาเห็นอะไรที่น่าสนใจกันเหรอ ตัวฉันมีอะไรที่เชื่อมโยงกับตัวละครเอลเลฟเว่นได้บ้างเนี่ย
Finn : คนมาฟอลโลวเยอะขึ้นมากจริงๆ บางทีก็ตั้งตัวไม่ทัน เพราะก่อนหน้านั้นคนยังไม่รู้เลยว่ามีพวกเราอยู่บนโลกนี้
Noah : ตอนที่ซีรีส์เริ่มฉาย ผมยังอยู่ที่ค่ายฤดูร้อนของโรงเรียน เลยไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง พอผมกลับมาเท่านั้นแหละ ทุกอย่างก็ถาโถมเข้ามาแล้วผมก็ช็อกกับทุกอย่างนั้นไปเลย แต่มาถึงตอนนี้ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นมืออาชีพขึ้นแล้ว
Gaten : ผมดีใจที่ทำให้คนมีความสุข วันไหนที่ผมทำให้คนเศร้าๆ หัวเราะได้วันนั้นคือคอมพลีตแล้ว และตอนนี้คนก็จดจำผมได้ นั่นทำให้ผมมีแพล็ตฟอร์มที่จะบอกเล่าในสิ่งที่เชื่อ ผมจึงเริ่มองค์กร CCD Smiles ขึ้น เพื่อช่วยคนที่เป็น Cleidocranial Dysplasia (ความผิดปกติทางกระดูกและฟัน) ให้ได้ทำการรักษา แล้วให้คนตระหนักถึงความเป็นปัญหาของมันด้วย
Sadie : เพื่อนฉันทุกคนดู Stranger Things กันทั้งนั้น มันดังมากๆ ฉันเองดูทีเดียว 2 วันจบ แล้วไม่นึกไม่ฝันมาก่อนว่าจะมีโอกาสได้มาร่วมแสดงด้วย ตอนที่รู้ฉันยืนว่างเปล่าอยู่เกือบครึ่งชั่วโมง เพื่อเรียบเรียงว่าอะไรเกิดขึ้นบ้าง
Q : เนื้อหาสำคัญในซีซั่นใหม่นี้ต้องเก็บเป็นความลับแค่ไหน ระหว่างการถ่ายทำ
Caleb : ทุกอย่างเป็นความลับสุดยอด เราต้องอ่านบทที่บ้านตอนกลางคืนเท่านั้น แล้วถ้าเรายังอยู่ในคอสตูมของเรื่องก็จะให้ใครเห็นไม่ได้ แต่ก็ยังมีคนมาที่เซ็ตอยู่เรื่อยๆ เช่น พวกปาปารัซซี่ที่มากับกล้องแพงๆ มาถ่ายรูป แล้วไม่นานผมก็จะเห็นคลิปหรือภาพพวกนั้นในอินสตาแกรม
Sadie : มันยากมากๆ เพราะฉันมีเรื่องที่อยากจะเล่าเต็มไปหมด เพื่อนๆ ก็คอยมาถาม ฉันก็ได้แต่บอกว่า “ไม่ ฉันสาบานเอาไว้แล้ว”