“นี่คือทำนองแห่งความหลังระหว่างเรา ได้ยินเมื่อไรยิ่งนึกถึงวันเก่า”
แค่ท่วงทำนองและเนื้อร้องดังขึ้น ก็เหมือนได้ย้อนเวลากลับไปเห็นภาพตัวเองในชุดนักเรียน ความทรงจำและความรู้สึกของช่วงวัยที่เต็มไปด้วยความฝัน เต็มไปด้วยพลังแห่งความเชื่อมั่น เต็มไปด้วยความกล้าได้กล้าเสีย และก็เต็มไปด้วยความไร้เดียงสาในเวลาเดียวกัน ยังคงทุ้มอยู่ในใจเราอยู่เสมอ
Suckseed ห่วยขั้นเทพ เดินทางครบรอบ 13 ปีแล้ว หนึ่งในตำนานหนัง Coming of age ของไทยที่จุดประกายความฝันในตัวเรา คงมีคนไม่น้อยที่ได้ดูหนังเรื่องนี้แล้วถึงกับหันไปชวนเพื่อนว่า “พวกเราตั้งวงดนตรีกันบ้างปะ” หนังสะท้อนให้เราเห็นภาพพลังแห่งความเชื่อ มิตรภาพในวัยเยาว์ ความรู้สึกใจเต้นแรงครั้งแรกกับใครสักคน และความไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวในชีวิตมนุษย์ออกมาได้อย่างกลมกล่อมเลยทีเดียว แม้ในช่วงวัยมัธยมฯ จะเป็นขวบวัยที่เราถูกจำกัดวิธีคิดและการแสดงออกด้วยอำนาจนิยมในคราบระบบการศึกษาไทยอยู่บ้าง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ พลังของการกล้าลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่างก็มีไม่น้อยเช่นกัน
แน่นอนว่าทุกคนคงจำกันได้ว่าจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดของวง Suckseed เริ่มจากคุ้ง เพื่อนสนิทของเป็ดที่ต้องการตั้งวงดนตรีด้วยคีย์เวิร์ดว่า “นี่มันยุคของวงดนตรีแล้วเว้ย” และก็นำไปสู่การหาสมาชิกในวงเพิ่มจนได้มาเจอกับเอ็กซ์ ทั้งหมดนี้จึงเป็นการรวมตัวของคนที่นิยามตัวเองว่า ‘ห่วย’ มาไว้ด้วยกัน ก่อนหนังจะพาคนดูอย่างเรารู้สึกร่วมสุขร่วมทุกข์ไปด้วยกันกับพวกเขาได้ไม่ยาก
ความฝันและความหวังในวัยเยาว์
ตอนเป็นเด็กใครหลายคนคงหนีไม่พ้นกับคำถามที่ถาโถมเข้ามา จะด้วยความหวังดีหรือหวังเพียงเพื่อใส่ใจก็ตามแต่ ทว่าหนึ่งในนั้นคงไม่พ้นกับคำถามว่า “โตขึ้นอยากเป็นอะไร” บางครั้งคำถามนี้ก็สร้างบาดแผลให้ใจเรา แต่หลายครั้งก็เป็นคำถามที่จุดประกายความฝันอย่างมีหวังให้ลุกโชนขึ้นมาในใจเราได้
ชาร์ลส์ อาร์. สไนเดอร์ (Charles R. Snyder) ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาคลินิก มหาวิทยาลัยแคนซัส ได้นิยามทฤษฎีความหวัง (Hope Theory) ไว้ว่า ความหวังถูกกำหนดให้เป็นความสามารถในการรับรู้ว่าจะไปถึงเป้าหมายที่ต้องการและเกิดการกระตุ้นตัวเอง ทั้งนี้ทฤษฎีแห่งความหวังนี้ยังเปรียบได้กับทฤษฎีของการมองโลกในแง่ดี คือการรับรู้ความสามารถของตนเองและเห็นคุณค่าในตนเอง การมีความหวังที่สูงขึ้นยังสัมพันธ์กับผลลัพธ์ที่ดีขึ้นในด้านต่างๆ เช่น การกีฬา สุขภาพกาย สุขภาพจิต การปรับตัว ฯลฯ
ความหวังจึงเป็นเรื่องที่สามารถผลักดันให้คนคนหนึ่งมีแรงกายและแรงใจในการก้าวไปข้างหน้า เกิดการพัฒนาในด้านบวกเพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมาย ความสำเร็จ หรือสิ่งใดๆ ที่ต้องการจากการมีความหวังเป็นแรงจูงใจ
เมื่อนึกไปถึงกิจกรรมที่วัยรุ่นหลายคนจะเลือกทำเมื่อเกิดการรวมตัว ไม่ว่าจะเป็นการเล่นกีฬา ดูซีรีส์ที่ชอบ กินข้าวร้านอร่อยๆ ด้วยกันทุกวันหลังเลิกเรียน เล่นการ์ดยูกิ หรือกระทั่งการเล่นดนตรีเช่นเดียว Suckseed ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นการเชื่อมต่อมิตรภาพ ทั้งยังเชื่อมต่อความเชื่อ หรือกระทั่งความสนใจในแบบเดียวกัน
ทั้งนี้ถ้าลองมองดูหนัง Coming of age หลายๆ เรื่องคงไม่ปฏิเสธไม่ได้ซะทีเดียวว่า ‘การเล่นดนตรี’ ดูจะเป็นกิจกรรมที่วัยรุ่นหลายๆ คนทำกัน ไม่ว่าจะเป็น Seasons Change เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย กับการค้นพบตัวเองเพราะการเติมเต็มชีวิตเพราะดนตรีของป้อม หรือในต่างประเทศเองก็มี Sing Street กับการค้นหาตัวเองและการมุ่งหน้าหาความฝันผ่านเสียงดนตรี ทั้งหมดนี้อาจเป็นเพราะการเล่นดนตรีถือเป็นช่องทางนอกจากจะแค่สนุกแล้ว ยังช่วยให้เราได้ปลดปล่อยอารมณ์ และสานต่อไปถึงความหวังที่ว่าสักวันสิ่งที่เราทำอยู่มันจะเป็นไปได้มากกว่านี้ นั่นเลยทำให้ความฝันที่ดูจะลมๆ แล้งๆ ขยับเข้ามาใกล้ชิดความเป็นจริงได้มากยาก เพราะทุกคนมีความหวังนั่นเอง
“ที่สุดถ้ามันจะไม่คุ้ม แต่มันก็ดีที่อย่างน้อยได้จดจำว่าครั้งหนึ่งเคยก้าวไป”
ความเชื่อ – bodyslam
จากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ยังพบว่า ดนตรีไม่เพียงแค่ช่วยเรื่องความเพลิดเพลิน และบันเทิงใจให้แก่คนทุกคน แต่ดนตรียังส่วนช่วยให้การพัฒนาร่างกาย อารมณ์จากการหลั่งสารเอ็นโดฟินที่ทำให้เราผ่อนคลายความเครียดลง ทำให้รู้สึกสงบขึ้นภายในใจ เกิดเป็นภาวะสมดุล และทำให้มีความคิดสร้างสรรค์
ในวัยรุ่นที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังจึงมักเป็นช่วงเวลาที่เราหลายคนกล้าจะลองผิดลองถูก ทำให้เป็นขวบวัยที่มี ‘ครั้งแรก’ ในเรื่องราวต่างๆ ในชีวิต การเล่นดนตรีในช่วงนี้เลยเป็นพัฒนาการที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว เพราะการทำงานของสมองและระบบความจำที่เติบโต ทำให้ใครหลายคนมีความทรงจำ และสามารถจดจำสิ่งที่กำลังเรียนรู้อยู่ได้อย่างรวดเร็ว ทั้งยังทำให้เกิดความผูกพันและมิตรภาพที่แน่นแฟ้น จากการใช้เวลาร่วมทุกข์ร่วมสุขคอยเคียงข้างกันอย่างเสมอมาโดยไม่มีใครโดดเดี่ยว
สนุกสุดเหวี่ยง บ้าบอไร้ขีดจำกัด
มีใครหลายคนบอกว่า ราคาของการเติบโตคือการแลกมาด้วยความศรัทธาในบางเรื่อง และการหายไปของความสุขบางอย่าง เพราะฉะนั้นแล้วในช่วงของวัยรุ่น วันแห่งความมุ่นมั่นแต่ก็ไร้เดียงสา จึงเป็นช่วงเวลาที่เราหลายคนมีความบ้าบิ่น และมีความเชื่ออย่างสุดหัวใจว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนเป็นไปได้อย่างใจหวัง หนึ่งในนั้นอาจเป็นผลพวงจากฮอร์โมนในร่างกายที่เปลี่ยนแปลง เช่น ในเพศชายเมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนเพิ่มขึ้นจากเดิมหลายสิบเท่า ซึ่งก็มีผลต่อการทำงานของสมองที่อาจส่งผลต่อสารสื่อประสาทที่จำเป็น และมีผลไปถึงพฤติกรรมทางอารมณ์ต่อมา
เช่นเดียวกับผลสำรวจในเว็บไซต์ scmp ภายใต้หัวข้อ “อะไรคือสิ่งหนึ่งที่วัยรุ่นทำได้ดีกว่าผู้ใหญ่?” หนึ่งในนั้นบอกว่ามันคือการวิ่งไล่ตามความฝัน หรือทำทุกอย่างที่อยากจะทำ เพราะเมื่อเป็นวัยรุ่น เรายังมีเวลา ทั้งยังมีผู้ใหญ่และคนรอบข้างคอยซัปพอร์ต เรียกง่ายๆ คือนั่นเลยทำให้เรามีแรงและมีพละกำลังมากเพียงพอจนกล้าทำและคว้าได้มาซึ่งสิ่งที่ตัวเองต้องการ
“ชีวิตต้องลองซักซี้ดหนึ่ง มันต้องมีดีซักซี้ดหนึ่ง”
ซักซี้ดนึง – Paradox
ทั้งนี้การปรารถนาที่จะเป็นอิสระ รวมไปถึงการไม่โดดเดี่ยว และมีเพื่อนคอยอยู่เคียงข้างเวลาจะทำอะไรสักอย่าง ก็ทำให้ทวีคูณความบ้าบิ่นมากขึ้นไปอีก เป็นไงเป็นกัน ลุย! ไม่มีใครห้ามใคร ซึ่งพฤติกรรมนี้อาจเป็นหนึ่งในหนทางสำหรับวัยรุ่น เพื่อการได้เป็นยอมรับจากเพื่อนฝูง การรับอิทธิพลทั้งจากคนรอบข้างและสื่อเอง ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้ใครหลายคนพยายามดิ้นรนปรับตัว เราหลายคนเมื่อตอนเป็นวัยรุ่นจึงใช้ชีวิตที่เรียกได้ว่า กล้าได้กล้าเสียกับทุกๆ เรื่อง กล้าที่จะดีใจให้สุด และก็เสียใจเจียนตายให้สุด อย่างที่ใครหลายคนชอบบอกว่า “เราเป็นวัยรุ่นครั้งได้ครั้งเดียว” นี่นา
และก็เพราะด้วยภาระหน้าที่ และความคาดหวังของสังคม ซึ่งอาจจะมีบทบาทกับชีวิตเราในช่วงวัยรุ่นได้ไม่มากเท่าวัยผู้ใหญ่ ใครหลายคนจึงเลือกกล้าจะเผชิญหน้า ใช้ชีวิตอย่างสุดเหวี่ยง ขอเก็บเกี่ยวความรู้สึก ความทรงจำ และช่วงเวลาเหล่านี้ไว้ให้มากที่สุด ก่อนจะต้องแลกมันคืนไปกับการเติบโตในวันข้างหน้า
มิตรภาพและความรักในวันวาน
เมื่อพูดถึงช่วงเวลาของวัยรุ่น วัยแห่งความสนุกสุดเหวี่ยงจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้ามีเราตัวคนเดียว ‘เพื่อน’ คือคนสำคัญไม่น้อยเลยในห้วงเวลาเหล่านั้น คนที่เข้ามาเติมเต็มและสร้างความหมายให้เรา คนที่กล้าจะทำเรื่องบ้าๆ ไปด้วยกัน ลองผิดลองถูกไปด้วยกัน หัวเราะด้วยกัน ร้องไห้ด้วยกัน ค้นหาตัวตนของตัวเองไปพร้อมๆ กัน หรือแม้แต่ก๋วยเตี๋ยวชามเดียวยังกินด้วยกันกว่าหลายชีวิต เรียกได้ว่าเวลา 24 ชั่วโมงใน 1 วัน เราหลายคนใช้มันกับเพื่อนไปแล้ว 1-2 ใน 3 เลยก็ว่าได้
ดังนั้น มิตรภาพและความสัมพันธ์แบบเพื่อนจึงแน่นแฟ้น จนใครหลายคนถึงกับพยักหน้าเห็นด้วยเวลาเจอคนพูดว่า “เพื่อนมัธยม คือเพื่อนที่ดีที่สุดในชีวิต” (จะจริง 100% ขนาดไหมก็คงต้องแล้วแต่คน) โดยผลสำรวจจาก CMMU ที่ทำการสำรวจข้อมูลอินไซต์มุมมองของผู้บริโภคต่างเจเนอเรชั่นตั้งแต่ X, Y และ Z ถึงความทรงจำในอดีต พบว่า “ช่วงมัธยม” คือช่วงเวลาที่คนทุกเจเนอเรชั่นอยากย้อนอดีตกลับไปมากที่สุด ทั้งอยากจะกลับไปแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาด อยากกลับไปในช่วงที่มีความสุข และอยากกลับไปบอกสิ่งที่เกิดขึ้นในอนาคต ทั้งนี้ยังพบว่ามักจะมี “เพื่อน” อยู่ในทุกความทรงจำด้วย
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า การเลือกคบเพื่อนย่อมมีผลต่อการใช้ชีวิตของเรา เรามีอิทธิพลต่อเพื่อนยังไง เพื่อนคนที่เราคบก็ย่อมเข้ามามีอิทธิพลและบทบาทต่อเราไม่มากก็น้อย ไม่เชื่อลองสังเกตตัวเองดูแบบง่ายๆ ก็ได้ว่า เราและเพื่อนสนิทมักจะมีคำพูดติดปากในช่วงนั้นที่เหมือนๆ กัน นั่นก็เพราะเวลาเราอยู่กับใครแล้วสบายใจ เราอาจจะซึมซับลักษณะนิสัย วิธีการพูด หรือกระทั่งท่าทางการแสดงออกของอีกฝ่ายมาใช้อย่างไม่รู้ตัวได้ด้วย
ทว่าช่วงเวลาวัยรุ่น นอกจากเราจะใช้ชีวิตซะส่วนใหญ่ไปกับผองเพื่อนแล้ว เรื่องราวและความลับหลายๆ อย่างก็มักรู้กันในกลุ่มเพื่อน เพราะเป็นคนที่คิดว่าเราจะเข้าใจกันเองมากที่สุดด้วยช่วงวัย ด้วยเรื่องราวที่เจอมาคล้ายๆ กัน และสภาพแวดล้อมที่ใกล้เคียงกัน และแน่นอนว่าความสัมพันธ์ และความรู้สึกที่พลุ่งพล่านในช่วงเวลานี้ นอกจากการเติมเต็มความฝันและมิตรภาพที่ก่อตัวขึ้นแล้ว อีกหนึ่งสิ่งสุดคลาสสิกของช่วงวัยนี้คงหนีไม่พ้นจาก ‘ความรัก’ หรอกว่าไหม?
“ในใจไม่เคยมีผู้ใด จนความรักเธอเข้ามา”
ก่อน – Moderndog
นอกจากรักแรกจะอยู่ในใจเราเสมอแล้ว รักแรกของเราหลายคนก็มักจะอยู่ในชุดนักเรียนเสียด้วย เป็นความรักในวัยแรกแย้มที่แม้จะเต็มไปด้วยความไร้เดียงสา แต่ก็พร้อมจะเผชิญหน้าไปกับทุกเรื่องในคราวเดียวกัน เราหลายคนคงเคยแอบไปส่องตารางเรียนของคนที่แอบชอบ เผื่อมีโอกาสจะได้แกล้งเดินผ่านหน้าห้องไปมอง เคยบอกรักรุ่นพี่ที่แอบชอบในวันวาเลนไทน์ เคยได้จับมือกันครั้งแรกกับคนที่ตกลงเรียกว่าแฟน หรือเคยมีโอกาสแค่ได้บอกความในใจไปกับเพื่อนข้างกายเท่านั้น เป็นขวบวัยที่เราได้เรียนรู้และพบเจอทั้งความสมหวังและผิดหวัง
ช่วงเวลาแห่งความไร้เดียงสา แต่ก็ไม่ได้ใสซื่อเกินไปนัก เลยทำให้เราได้เจอความรักที่อาจจะดีต่อใจ แม้จะเป็น ณ ขณะนั้นๆ หรือใครหลายคนก็คบกันมาจนยืดยาว หนึ่งในนั้นเพราะเป็นความรักที่คล้ายๆ จะบริสุทธิ์ เรามองความรู้สึก เราให้ใจ เราทุ่มเท เหมือนใน Suckseed ที่แม้เป็ดจะแอบชอบเอิร์นและไม่ได้พูดออกไป แต่พลังของความรักนั้น กลับส่งผลให้เป็ดสามารถแต่งเพลงรักโดยไม่มีคำว่ารักออกมาได้ 1 บทเพลง หรืออย่าง Seasons Change ที่ป้อมเลือกเรียนดนตรีเพราะแอบรักผู้หญิงคนหนึ่ง ก่อนจะนำมาซึ่งการค้นพบความฝันอย่างแท้จริงของตัวเอง
เช่นเดียวกับเรื่องอื่นๆ ทั้งมิตรภาพและความฝัน เราทำมันด้วยใจที่มุ่งมั่นและซื่อตรง นั่นจึงเป็นคำตอบว่า ทำไมช่วงเวลาวัยรุ่นของเราถึงมากมายไปด้วยความทรงจำอันมีค่า และเมื่อได้ยินเสียงเพลงในห้วงเวลานั้นดังขึ้นมาทีไร พอมองย้อนกลับไปก็จะเห็นว่า ความรู้สึกคิดถึงทุ้มๆ นั้นได้ทิ้งทวนอยู่ในใจเสมอมา
คงไม่ใช่แค่ตัวหนังที่เล่าถึงมิตรภาพ ความรัก และความฝันออกมาได้อย่างลงตัว แต่เพราะชีวิตของเราในวันวานก็มีความสมบูรณ์ในตัวมันเองเช่นเดียวกัน ถึงช่วงเวลานั้นจะผ่านไปแล้วก็ตาม เราเคยมีทั้งความฝัน เราเคยมีความรัก เราเคยมีมิตรภาพดีๆ เราเคยมีความสามารถในการกล้าทำสิ่งใหม่ๆ มากมาย แม้วัยรุ่นจะเป็นได้ครั้งเดียว แต่อายุของเราที่เพิ่มขึ้นทุกปีในตอนนี้ เราก็มีมันได้แค่ครั้งเดียวเช่นกัน อย่างที่คุ้งได้บอกเป็ดไว้ในตอนท้ายของเรื่องก่อนเครดิตจะว่า “ก็นี่มันยุคของพวกเราไงล่ะวะ” เพราะงั้นอย่าลืมหยิบเอาพลังและความมุ่งมั่นตั้งใจในชุดนักเรียน กลับมาเติมเต็มชีวิตปัจจุบันของเราด้วยนะ
แด่เพื่อนที่รู้ใจ แด่เธอที่เข้ามาทำให้รู้จักคำว่ารักและไม่รัก แด่เด็กคนนั้นที่ชีวิตเต็มไปด้วยความฝันและความเชื่อมั่นในตัวเองอย่างแรงกล้า
“เนิ่นนานแค่ไหนแต่เพลงนี้ของเรา…ยังทุ้มอยู่ในใจ”
อ้างอิงจาก