“ตี๊ดีด ตี๊ดีด ตี๊ดีด ~”
เสียงเครื่องอิเล็กทรอนิกส์รูปไข่ดังเรียกร้องความสนใจ ในระหว่างที่ผมกำลังนั่งกินข้าวพร้อมดูซีรีส์จาก iPad ผมหยิบเครื่องที่มีปุ่มสามปุ่มเล็กจิ๋วขึ้นมาดู เพื่อจะหาสาเหตุว่าเจ้าสัตว์เลี้ยงในหน้าจอเล็กๆ นั้นต้องการอะไร เดาว่าคงหิวหรือไม่ก็อยากให้ผมเล่นด้วยแน่ๆ
หลายคนคงรู้แล้วว่าสิ่งที่กำลังพูดถึงอยู่คือ ‘ทามาก็อตจิ’ (Tamagotchi) ของเล่นสัตว์เลี้ยงที่เราชอบเรียกกันติดปากว่า ‘ทามาก็อต’ ด้วยความเคยชิน หลังจากนี้จะขอใช้แค่คำว่า ทามาก็อตแทนละกันนะครับ
นึกแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ที่คนในวัยทำงานอย่างผมกำลังเพลิดเพลินกับของเล่นสมัยยังเป็นเด็กตัวกะเปี๊ยก ว่ากันตามจริง ทามาก็อตในฐานะของเล่นก็มีประวัติศาสตร์ยาวนานเกือบ 30 ปี ถ้าสัตว์เลี้ยงในทามาก็อตโตได้แบบเดียวกับคน มันก็คงอยู่ในวัยทำงานเหมือนกันนั่นแหละ
ทามาก็อตเครื่องที่ผมถืออยู่ตอนนี้คือทามาก็อตออริจินัลรุ่นแรก หรือ Tamagotchi Original Gen 1 ที่ทาง Bandai เพิ่งนำมาผลิตใหม่ในปี 2024 ตัวเครื่องเป็นพลาสติกสีส้มโปร่งใส ระยิบระยับไปด้วยกลิตเตอร์ มีปุ่มสีเหลืองสามปุ่มด้านล่าง ตัวหนังสือสีเหลืองเขียนว่า “Tamagotchi” ด้านบน และแน่นอน ต้องไม่ลืมโซ่ไข่ปลาสีเงินไว้คล้องไปไหนมาเพื่อความเก๋ (แต่จะคล้องโชว์ให้คนอื่นเห็นมั้ย ก็อีกเรื่อง)
สำหรับคนที่เติบโตในยุค 90s ทามาก็อตนับเป็นของเล่นที่มีอิทธิพลกับวัยเด็กมากทีเดียว เราคงจำทามาก็อตเครื่องแรกของตัวเองได้ ไม่ว่าทามาก็อตที่เล่นในตอนนั้นจะเป็นของแท้ถูกลิขสิทธิ์หรือไม่ก็ตาม (เพราะตามประสาเด็กเราคงไม่รู้หรอกอันไหนจริงอันไหนแท้ จะมารู้อีกทีก็ตอนเอาไปเทียบกับของเพื่อนๆ) แต่ไม่ว่าจะอย่างไร เด็กยุค 90s กับทามาก็อตก็เหมือนโตมาด้วยกัน เราอาจจะยังจำวันแรกที่เปิดเครื่อง เฝ้ามองพิกเซลรูปไข่ค่อยๆ กะเทาะออกมาเป็นสัตว์เลี้ยวตัวกลม คอยป้อนข้าวป้อนน้ำ ไหนจะต้องคอยล้างห้องน้ำให้
น่าจะรู้กันอยู่แล้วว่า Tamagotchi คือการผสมกันระหว่างคำว่า “ทามาโกะ” (たまご) ที่แปลว่า ไข่ และคำว่า “อูโอตจิ” (ウオッチ) ที่แปลว่า นาฬิกา หนึ่งในผู้ให้กำเนิดทามาก็อต อากิฮิโระ โยโคอิ (Akihiro Yokoi) เล่าว่าชื่อนี้ได้มาระหว่างประชุมไอเดียกัน ในตอนนั้นมีนักวาดคนหนึ่งลองสเก็ตช์ภาพสัตว์เลี้ยงในเปลือกไข่ที่วางได้พอดิบพอดีบนนาฬิกา นั่นจึงกลายเป็นที่มาของชื่อของเล่นที่ออกขายครั้งแรกในญี่ปุ่นเมื่อปี 1996 และมียอดขายรวมกว่า 91 ล้านเครื่องตั้งแต่เปิดตัวจนถึงปี 2023
แม้ทามาก็อตหนึ่งเครื่องจะเล่นได้เพียงหนึ่งคน แต่ถ้าลองนึกย้อนกลับไป (หรือแม้แต่ในปัจจุบันนี้เองก็ตาม) การเล่นทามาก็อตมักไม่ใช่การเล่นเพียงลำพัง สำหรับใครหลายคน การได้นั่งเลี้ยงเจ้าทามาก็อตกับเพื่อนๆ คือโมเมนต์น่าจดจำ ต่างคนต่างชะโงกดูสัตว์เลี้ยงกันไปมา อวดสัตว์เลี้ยงให้กันดู ทั้งช่วยกันดูแลและแย่งกันดูแล การเกาะกลุ่มเล่นด้วยกันยังทำให้เกิดบทสนทนาแลกเปลี่ยนความรู้ในการเล่น เกิดเป็นพื้นที่ทางสังคมให้เด็กๆ ได้เชื่อมโยงกัน
จนถึงทุกวันนี้ แฟนๆ ทามาก็อตจะมีคอมมูนิตี้เฉพาะสำหรับคนเล่นและคนรักทามาก็อต ในกลุ่มจะมีทั้งการแชร์ข้อมูล ส่งประสบการณ์น่ารักๆ ที่มีร่วมกับเจ้าทามาก็อต ไปจนถึงมีการนัดเจอเพื่อฟักไข่พร้อมกัน หรือที่เรียกว่า ‘group hatch’ นอกจากเจ้าทามาก็อตจะเป็นเพื่อนในโลกเสมือนจะช่วยคลายเหงาให้กับเราในวันที่ไม่เหลือใคร มันอาจเป็นเพื่อนที่พาเราไปปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนคนอื่นที่มีความชอบคล้ายกับเราในโลกจริง
แน่นอนว่า เราเป็นคนเลี้ยงทามาก็อต แต่ในอีกทางหนึ่ง ทามาก็อตก็อาจจะเลี้ยงเราด้วย หรือถ้าพูดให้ถูกคือระบบการเลี้ยงเองก็เป็นการเรียนรู้ให้กับคนเล่นไปในตัว ทามาก็อตเป็นเหมือนพื้นที่จำลองให้คนเล่นได้ลองเลี้ยงดูสิ่งมีชีวิต มองเห็นการตอบสนอง ผลกระทบ และผลลัพธ์ เช่น ทามาก็อตจะไม่กินข้าวต่อถ้ากินอิ่มแล้ว หรือถ้าไม่ดุบ้างตั้งแต่เด็กพอโตมาทามาก็อตจะเป็นผู้ใหญ่ที่ทำตัวขี้เกียจ การเล่นทามาก็อตมีกลไกให้ผู้เล่นลองผิดลองถูก ลองรับผิดชอบชีวิตหนึ่งอย่างเป็นระบบ และกระทั่งเป็นบททดสอบให้เรารับมือกับความสูญเสียในวันที่เจ้าสัตว์เลี้ยงตายลง
การจากไปของทามาก็อตตัวแรกๆ หรือทามาก็อตที่ตั้งใจฟูมฟักเป็นอย่างดีมักเป็นเรื่องเจ็บปวด แต่เมื่อเวลามาถึง คนเลี้ยงจะค่อยๆ มูฟออน และกดปุ่มรีเซ็ตใหม่อีกครั้ง
ทามาก็อตเกิดขึ้นมาในยุคที่โลกกำลังเร่งตัวสู่ความเป็นดิจิทัล คอมพิวเตอร์ส่วนตัวเริ่มเป็นที่แพร่หลาย แผ่นซีดีมาแทนที่แผ่นไวนิล โทรศัพท์มือถือมีให้เห็นมากขึ้น การใช้อินเทอร์เน็ตเริ่มก่อตัว ทามาก็อตนับว่ามีบทบาทสำคัญกับเด็กยุค 90s ที่กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อระหว่างยุคอะนาล็อกและยุคดิจิทัล ด้วยความน่ารัก น่าเล่น และระบบการเล่นที่เรียบง่าย ทามาก็อตกลายเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ให้เด็กๆ ได้รับรู้และใช้เทคโนโลยีดิจิทัลผ่านกระบวนการการเล่น ส่งผลต่อทัศนคติของเด็กๆ ให้พร้อมรับเอาเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่กำลังจะมาในอนาคต จะเรียกว่าทามาก็อตคืออุปกรณ์การเรียนรู้ digital literacy สำหรับเด็กยุค 90s ก็ว่าได้
กลับมายังปัจจุบัน โลกและชีวิตของเรายังคงเต็มไปด้วยเรื่องวุ่นวาย สงครามระหว่างประเทศ ความขัดแย้งในรัฐบาล เทคโนโลยี AI ที่ก้าวหน้าไปเร็วจนตามไม่ทัน เจอเจ้านายด่าเกือบทุกวัน เดินทางจากออฟฟิศกลับบ้านไม่ต่ำกว่าสองชั่วโมง ความสัมพันธ์กับคนรักก็ร้าวฉาน หลายองค์ประกอบที่ผ่านเข้ามาในชีวิตมีแต่เรื่องที่ยากจะควบคุม ตรงนี้เองการกลับมาเล่นทามาก็อตอาจจะตอบโจทย์ เสน่ห์ของสัตว์เลี้ยงเสมือน (virtual pet) คือการที่เราเลี้ยงดูเพื่อนตัวน้อยในสภาพแวดล้อมที่ควบคุมได้และคาดเดาได้สูง ความขัดแย้งระหว่างคนเล่นและสัตว์เลี้ยงเกิดขึ้นได้แต่เล็กน้อยและเบาบาง
เมื่อเจ้าทามาก็อต
ไม่เคยเรียกร้องมากเกินไป
จริงอยู่ที่ว่า AI สามารถเป็นคู่สนทนาที่ทั้งเห็นอกเห็นใจและโต้ตอบได้มากกว่า ทว่าสภาวะที่ควบคุมได้ ความเรียบง่าย และความทรงจำที่เติบโตมาด้วยกันกับทามาก็อต ก็อาจจะเป็นสิ่งที่เราโหยหาในวันที่ปัญหาต่างประเดประดังเข้ามา เราต้องเผชิญกับโลกนับวันมีแต่จะซับซ้อนและตึงเครียดขึ้น ท่ามกลางสถานการณ์ยากลำบาก ทามาก็อตคงเป็นเหมือนเพื่อนที่คอยปลอบประโลมในวันแย่ๆ คอยอยู่ข้างๆ โดยไม่ตัดสินอะไร
ผ่านมาเกือบ 30 ปี ตั้งแต่เริ่มตั้งไข่ เทคโนโลยีทามาก็อตแม้จะเรียบง่าย แต่ก็พัฒนามาไกลจนมีมากกว่า 60 เวอร์ชั่น อีกทั้งยังคอลแลปกับตัวละครจากจักรวาลอื่นๆ ทั้งของเล่น เกม มังงะ หรือแม้แต่บอยแบนด์อย่าง BTS ก็มีมาแล้วในชื่อ TinyTAN Tamagotchi ทำให้เห็นว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาแบรนด์ทามาก็อตเองก็ไม่เคยหยุดโต
ส่วนผมที่โตแล้วก็ยังคงสนุกกับการเล่นทามาก็อต ที่มีติดตัวก็มีทั้งรุ่น Original Gen 1 หน้าจอขาวดำ หรือ Tamagotchi Uni รุ่นหน้าจอสีปี 2023 ก็มีเช่นกัน ในรุ่นใหม่จะสามารถเลือกไข่ได้ มีตัวละครให้เลี้ยงเยอะขึ้น เพิ่มระบบตกแต่งบ้าง พาออกไปเล่นข้างนอก ฟีเจอร์น่ารักๆ เพียบ ล่าสุดปี 2025 นี้ ทาง Bandai เพิ่งเปิดตัว Tamagotchi Paradise มีลูกเล่นให้ซูมเข้าซูมออก เห็นตั้งแต่มุมมองโลกทามาก็อตจนลึกเข้าไปถึงระดับเซลล์ของเจ้าสัตวเลี้ยง
ครั้งล่าสุดที่เราเล่นทามาก็อตคือเมื่อไหร่ ยังจำคราบดินสอหรือไม่ก็หมึกปากกาที่เปื้อนปุ่มรีเซ็ตได้อยู่ไหม ตอนนี้อาจจะถึงเวลาใส่ถ่าน ชาร์จไฟ กดปุ่มรีเซ็ตใหม่ เพื่อกลับไปเจอเพื่อนเก่าคนเดิมอีกครั้ง
อ้างอิงจาก