ภาพยนตร์ วรรณกรรม รวมถึงอนิเมชั่น เป็นพื้นที่ที่พาเราไปสำรวจประเด็นและรู้สึกอันซับซ้อน แม้หลายครั้งตัวเรื่องไม่ได้ตั้งใจพูดถึงประเด็นสงคราม สันติภาพ ชายแดนหรือ กระทั่งความเป็นมนุษย์ อย่างตรงไปตรงมา แต่เรื่องราวเหล่านั้นมักพาใจของเราไปค่อยๆ รับรู้ความสำคัญหรือความซับซ้อนจากสิ่งต่างๆ
เมื่อเราพูดถึงพื้นที่เช่นอนิเมชั่นหรือการ์ตูน งานของสตูดิโอจิบลิเป็นอีกหนึ่ง ‘การ์ตูน’ ที่ผลักเส้นของทั้งความเป็นอนิเมชั่นให้อนิเมชั่นของญี่ปุ่น มีทั้งคุณภาพที่เข้มข้นของงานภาพ เสียง และองค์ประกอบโดยรวม ไม่เพียงเท่านั้นเรื่องราวที่ถูกเล่าในงานของจิบลินั้นก็มักจะมีแรงสั่นสะเทือนพิเศษ ที่พาเราไปสำรวจเรื่องราวของมนุษยชาติที่สลับซับซ้อน หนึ่งในสิ่งที่เรามักพบทั้งโดยตรง คือเรื่องเล่าถึงตรงๆ และบริบทบางอย่าง นั่นคือ ‘สงคราม’
ในบรรดาเรื่องราวจากงานของจิบลิ นอกจากมุมมองและความสัมพันธ์ต่อธรรมชาติแล้ว ก็ดูจะมีสงคราม รวมถึงประดิษฐกรรมและวิทยาการของมนุษย์ เป็นภาพและความขัดแย้งสำคัญในเรื่องราวต่างๆ แน่นอน สุสานหิ่งห้อย (Grave of the Fireflies) ที่ตัวเรื่องเองพูดถึงผลของสงครามคือนิวเคลียร์และผลของรังสีที่มีต่อบ้านเมืองและผู้คน

ถ้าพูดอย่างเจาะจง นอกจากสงครามแล้ว ภาพที่จิบลิมักจะให้เราคือภาพของอากาศยาน ความขัดแย้งของมนุษย์ที่ต่อสู้กันด้วยวิทยาการ ผลกระทบของการสู้รบด้วยนิวเคลียร์จนเกิดการปนเปื้อนไป เรามีเรื่องราวเกี่ยวกับการบินและนักบินเช่น พอร์โค รอสโซ สลัดอากาศประจัญบาน (Porco Rosso) ไปจนถึง ปีกแห่งฝัน วันแห่งรัก (The Wind Rises) กระทั่ง เด็กชายกับนกกระสา (The Boy and the Heron) ก็เปิดเรื่องมาด้วยภาพของเพลิงสงคราม ที่ตลอดเรื่องว่าด้วยการเดินทางและการเยียวยาบาดแผลของเด็กหนุ่มจากระเบิดในสงครามโลกครั้งที่ 2
ท่าที และการพูดถึงร่องรอยของสงคราม อาจเป็นสิ่งที่ฮายาโอะ มิยาซากิ (Hayao Miyazaki) ตั้งใจจะใช้เพื่อสื่อสารหรือนัยยะที่สำคัญต่อสังคม รวมถึง อาจเป็นความคิดที่เกิดขึ้นจากคนรุ่นต่อเนื่องจากยุคสงคราม ทำให้มีความพยายามในการใช้ผลงานร่วมต่อต้านสงคราม
มิยาซากิ เด็กชาย อากาศยาน และภาวะหลังสงคราม
ถ้าเรานิยามฮายาโอะ มิยาซากิ ตัวเขาถือเป็นคนรุ่นต่อเนื่องจากยุคสงคราม ที่ยังได้รับผลกระทบจากสงครามโดยตรง มิยาซากิเกิดในปี 1941 ที่โตเกียว จริงๆ ตัวเขาถือว่าเกิดในครอบครัวที่มีฐานะและค่อนข้างก้าวหน้า ขณะนั้นพี่ชายของพ่อดำเนินการโรงงานผลิตหางเรือให้เครื่องบินรบ ชื่อบริษัท Miyazaki Airplane ส่วนพ่อของมิยาซากิเป็นผู้อำนวยการบริษัท
โดยตัวพ่อของมิยาซากิ ในบริบทสงครามของชายหนุ่มญี่ปุ่น พ่อของมิยาซากิที่แม้จะทำงานที่เกี่ยวข้องกับการผลิตยุโธปกรณ์ให้กองทัพ แต่ตัวพ่อกลับไม่ได้ชื่นชอบการรบ ในปี 1940 ก่อนฮายาโอะเกิด พ่อของเขา คัทสึจิ มิยาซากิ (Katsuji Miyazaki)เคยเข้าร่วมเป็นทหาร แต่ก็ถูกปลด และถูกอบรมในความ ‘ไม่จงรักภักดี’ เพราะตัวคัทสึจิไม่ปรารถนาที่จะรบ เพราะห่วงภรรยาและที่ลูกที่ยังอายุน้อย
นอกจากการไม่อยากเข้าร่วมสงครามรับใช้ชาติ คัทสึจิยังมีความชื่นชอบในงานศิลปะ มักจะซื้อและสะสมภาพวาด รวมถึงนำมาแสดงและพูดคุยเมื่อยามมีแขกเหรื่อมาที่บ้าน ตรงนี้ไม่ปรากฏว่าพ่อของฮายาโอะ มีอิทธิพลต่อตัวเขาในมุมของศิลปะ รวมถึงการต่อต้านสงครามมากน้อยแค่ไหน แต่ดูเหมือนว่า กิจการโรงงานชิ้นส่วนอากาศยานจะส่งผลอย่างลึกซึ้งต่อความชื่นชอบของฮายาโอะเป็นอย่างมาก ด้านหนึ่งฮายาโอะเองระบุว่า ตัวเขาเองไม่เชิงว่าชื่นชอบพ่อมากนัก และไม่ได้ใช้เวลาร่วมกันอย่างสนิทสนมมาด้วยเช่นกัน
นั่นคือรุ่นพ่อที่เข้าร่วมรบสงครามและทำกิจการเกี่ยวเนื่องกับสงคราม สำหรับชีวิตมิยาซากิผลกระทบจากสงครามที่ได้รับ คือการที่ต้องระหกระเหินหนีภัยจากกรุงโตเกียวบ้านเกิด เมื่อฮายาโอะอายุได้สามขวบ ในปี 1944 ครอบครัวมิยาซากิลี้ภัยไปที่เมืองอำเภอเมืองอุซึโนมิยะ (Utsunomiya) ห่างจากกรุงโตเกียวไปราว 100 กิโลเมตร หนึ่งปีหลังจากนั้นเมืองก็ถูกระเบิดจึงทำให้ต้องอพยพอีกครั้งไปยังเมืองคานูมะ (Kanuma) จังหวัดโทชิกิ (Tochigi)
ฮายาโอะ มิยาซากิ เติบโตขึ้นในบรรยากาศสงคราม ในฐานะเด็กน้อยต่างถิ่น และที่สำคัญคือสุขภาพของเขาเองก็ไม่ค่อยดีนัก การเติบโตขึ้นในโรงเรียนต้องอาศัยพี่ชายคอยช่วยดูแลปกป้อง ในช่วงประถม ฮายาโอะสูญเสียแม่ไปจากวัณโรค และครอบครัวมิยาซากิก็ได้ย้ายกลับมายังโตเกียว จุดที่น่าสนใจคือเมื่อขึ้นชั้นมัธยม ฮายาโอะค้นพบว่าตัวเองชอบมังงะและชอบวาดรูป ทว่าเขาวาดภาพคนไม่ได้ แต่กลับวาดวัตถุเช่นเครื่องบิน รถถังและเรือรบ และวาดพวกมันมากมาย
เครื่องบิน สุนทรียะของวิศวกรรม และไฟสงคราม
ด้วยความหลงใหลในอากาศ ถ้าเราย้อนดูเรื่องราวที่ว่าด้วยสงครามของสตูดิโอจิบลิ จากงานยุคแรกๆ เช่น มหาสงครามหุบเขาแห่งสายลม (Nausicaä of the Valley of the Wind), ปราสาทเวทมนตร์ของฮาวล์ (Howl’s Moving Castle) รวมถึงเรื่องที่พูดถึงกิจการเครื่องบินโดยเฉพาะอย่าง Porco Rosso และ The Wind Rises ที่พูดถึงการสร้างเครื่องบินในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองและภาพของเครื่องบินร่วมยุคสมัยโดยตรง อากาศยานทั้งยานรบ เครื่องบิน การต่อสู้หรือการเดินทางบนขอบฟ้า ล้วนเป็นจุดเด่นของงานวาดและงานออกแบบของสตูดิโอที่เรามักจะนึกถึง เรื่องสำคัญเช่น The Wind Rises พูดถึงความโรแมนติกของการสร้างอากาศยาน ส่วน Porco Rosso พูดถึงผลของการใช้งานพวกมัน
อันที่จริง งานของฮายาโอะที่เต็มไปด้วยภาพความสวยงามและบทบาทของเครื่องบินและยานรบ เขาจึงก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์และตระหนักว่า การเชิดชูนวัตกรรมทางวิศวกรรมการบินเหล่านี้ ท้ายที่สุดก็นับเป็นส่วนหนึ่งของความโหดร้ายของสงคราม เรื่องที่ตอนแรกประกาศว่าจะเป็นงานชิ้นสุดท้ายคือ The Wind Rises ในปี 2013 เป็นผลงานผู้ชมและนักวิจารณ์จับตา ด้วยว่าเป็นชิ้นงานที่ฮายาโอะพูดถึงบริบทสงครามโลกโดยตรง และพูดถึงการประดิษฐ์เครื่องบินรบของญี่ปุ่นในเวอร์ชั่นการ์ตูน ซึ่งล้อไปกับประวัติศาสตร์การประดิษฐ์เครื่องบินรบ Mitsubishi A6M Zero ตัวจริงในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

The Wind Rises จึงเป็นผลงานที่ได้รับการนิยามว่า เป็นการประนีประนอมของความขัดแย้งในใจของเขา ที่ทั้งรักประดิษฐกรรม และความงามของอากาศยานกองทัพ เข้ากับความพยายามที่จะต่อต้านสงครามซึ่งปรากฏในผลงานมาตั้งแต่ต้น ในขณะเดียวกันก็ถูกวิจารณ์ว่า เข้าทำนองการส่งเสริมสงครามและมีนัยส่งเสริมชาตินิยมในยุคจักรวรรดิญี่ปุ่นหรือไม่?
ทว่า ในหลายผลงานที่พูดถึงอากาศยาน หลายครั้งอากาศยานเช่นยานหรือกระทั่งเครื่องบินรบ ถูกวาดให้นำไปใช้ในวิถีปกติ บางครั้งเครื่องบิน กลายเป็นส่วนหนึ่งของประเด็นเรื่องธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พวกมันถึงขับล่องลอยไปโดยไม่กระทบต่อธรรมชาติอันสงบงาม
ถ้าเราอ่านร่องรอยของสงครามในงานของมิยาซากิ เราแทบจะพบผลของสงครามในผลงานส่วนใหญ่ และผลงานทั้งหลายมีความร้าวรานและการเยียวยาบาดแผล หรือการดิ้นรนจากผลสงครามนั้น นอกจากการสู้รบกันด้วยวิทยาการที่การทำลายศัตรูทำลายเมืองของตนไปด้วยใน Nausicaä การทำลายอาวุธที่ทรงพลานุภาพเพื่อยุติสงครามในมหานครลอยฟ้า ลาพิวต้า พลิกตำนานเหนือเวหา (Laputa: Castle in the Sky) ไปจนถึงเรื่องราวการส่งต่อความสูญเสียจาก ป๊อปปี้ ฮิลล์ ร่ำร้องขอปาฏิหาริย์ (From Up on Poppy Hill) ตัวละครสูญเสียพ่อจากสงครามเกาหลี เชิงธงขึ้นสู่เสาทุกเช้าเพื่อรำลึกถึงการจากไปและส่งครามปรารถนาดีให้กับยานรบที่บินผ่านไป แสดงถึงผลของสงครามที่กระทบไปยังคนรุ่นหลัง

เรื่องราวที่ดูพ้นจากโลกประจำวันของเราเป็นเรื่องของเวทย์มนต์ในดินแดนอัศจรรย์ในปราสาทเดินได้ของพ่อมดฮาวน์ใน Howl’s Moving Castle ขณะที่สตูดิโอพัฒนาเรื่องราวขึ้น เกิดสงครามอิรักขึ้น ในเรื่องเหนือจินตนาการ ตัวละครกลับต้องพบกับภาพหายนะจากสงครามและการสู้รบอันไร้ความหมาย
สงครามเป็นสิ่งที่มิยาซากิต่อต้านผ่านผลงานอยู่เสมอ ทั้งการให้ภาพสงครามที่ไม่เคยงดงาม ให้ภาพของผู้คน เด็กๆ และใครก็ตามที่ต่างได้รับผลกระทบอย่างซึมลึก ให้ภาพผลของสงครามที่เปลี่ยนแปลงโลกไป กระทั้งเรื่องสุดท้าย The Boy and the Heron ที่ถือว่าเป็นเรื่องอำลา เรื่องราวของเด็กหนุ่มที่อาจตีความว่าเป็นตัวแทนของฮายาโอะ มิยาซากิเอง โดยตลอดพูดถึงการอยู่ท่ามกลางเพลิงสงคราม และการใช้แดนมหัศจรรย์ในการเยียวยา ก็อาจตีความถึงผลของสงครามที่เนิ่นนานทั้งชีวิตของตัวฮายาโอะเอง
ท้ายที่สุด ผลงานของสตูดิโอจิบลิ เป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่สะท้อนผลกระทบจากสงคราม และพยายามใช้งานสร้างสรรค์ในการเยียวยา กระทั่งชี้นำผู้คนให้พ้นจากสงคราม บ้างก็ชี้ว่ามิยาซากิใช้สงคราม และผลของพวกมันเพื่อให้เรามองเห็นคุณค่าของสันติภาพ
ในด้านความสวยงามทางศิลป์ งานของจิบลิจึงเป็นได้ทั้งความเข้าใจของผู้คนที่ผ่านศึกสงครามเช่นมิยาซากิ และเป็นพื้นที่ช่วยเยียวยาผู้ชม ในดินแดนที่ปลายทางของเรื่อง แม้จะเต็มไปด้วยสงครามหรือโลกที่พบเจอหายนะแล้วจากสงครามนั้น ยังคงสวยงามในทางภาพ และมีปลายทางที่ดี หรืออย่างน้อยก็ทำให้เรามองเห็นความงดงามที่แทรกอยู่ในเปลวเพลิงเหล่านั้น
อ้างอิงจาก