หากใครยังจดจำได้ถึงผลงานของ เพิร์ธ—หฤษฎ์ ศรีขาว ในนิทรรศการแสดงภาพถ่าย ‘ไร้มลทิน’ (Whitewash) ที่นำเอาเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองช่วงปี 2553 และการรัฐประหารในปี 2557 มาผูกโยงเข้ากับศิลปะของภาพถ่าย ให้ภาพทำหน้าที่เป็นตัวกลางช่วยสื่อสารกับคนดู
ครั้งนี้ เพิร์ธกลับมาพร้อมกับผลงานชิ้นใหม่ และความต้องการสื่อสารครั้งใหม่ผ่านการใช้เทคนิคที่แตกต่างออกไปจากเดิม ที่เห็นได้ชัดที่สุดคงเป็นการย้อมสี (colorization) เพราะสำหรับเขาแล้วกระบวนการเป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญที่จะทำให้ชิ้นงานเกิดความหมาย
The MATTER จึงชวนคุยสั้นๆ กับ ‘เพิร์ธ—หฤษฎ์ ศรีขาว’ ถึงเทคนิคในผลงานชิ้นใหม่ แรงบรรดาลใจ และภาพถ่ายมีผลไหมต่อการเปลี่ยนแปลงสังคม
The MATTER : มีแรงบรรดาลใจในการสร้างผลงานอย่างไร
หฤษฎ์ : ส่วนใหญ่มาจากประสบการณ์ส่วนตัว การทำงานของผมคือการกลับไปพิจารณาสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับตัวเอง ผมพบว่าความทรงจำทั้งในระดับส่วนตัวและระดับสังคมเต็มไปด้วยร่องรอยของการถูกปกปิด เต็มไปด้วยปริศนาและความปรารถนา นั่นทำให้พื้นที่ของอดีตเป็นพื้นที่ทับซ้อนของ fact และ fantasy ที่น่าหลงใหลเสมอ
อย่างงานชุดล่าสุด เป็น thesis จบปริญญาตรีที่มหาลัยเทคโนโลยีพระจอมเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ไอเดียเกิดขึ้นหลังจากไปดูนิทรรศการภาพถ่ายของ John Thomson ช่างภาพที่แวะเข้ามาถ่ายภาพในประเทศไทยในช่วงปี ค.ศ. 1865 มันเป็นภาพถ่ายขาวดำจากกระจกเปียกที่สวยมาก ในขณะเดียวกันมันก็หดหู่มากๆ ทุกภาพเป็นภาพ portrait และภาพทิวทัศน์ที่มีผู้คนเดินผ่านไปมา แต่ผมไม่รู้สึกถึงความมีชีวิตเลย โดยเฉพาะภาพของชาวบ้านที่มักจะหลบอยู่ในมุมหนึ่งของเฟรม หรือถูกสั่งให้ post ท่าอยู่หน้ากล้องอย่างกล้าๆ กลัวๆ เหมือนกับพวกเขาเป็นหุ่นขี้ผึ้ง ถูกปั้นเพื่อประกอบฉากในความศิวิไลซ์เท่านั้น สำหรับผมมันจึงไม่ใช่ภาพ documentary อย่างที่เขาว่ากัน มันเหมือน still life หรือ post-Mortem มากกว่า
The MATTER : ส่วนใหญ่แล้วใช้เทคนิคอะไรในการทำ และเทคนิคมีผลต่อสิ่งที่เราต้องการสื่ออย่างไร
หฤษฎ์ : ลักษณะการทำงานของผมคือทำเป็นชุดๆ ไป ดังนั้นผมไม่มีเทคนิคตายตัว แต่จะขึ้นอยู่กับสิ่งที่จะเล่าในงานแต่ละชุด อย่างใน Whitewash ผมเลือกใช้เทคนิคตัดกระดาษด้วยมือแทนที่จะใช้คอมพิวเตอร์ เพราะแก่นของงานคือการศัลยกรรม ส่วนงานล่าสุด ผมถ่ายเป็นขาวดำแล้วนำมาลงสีใหม่ภายหลังเพราะต้องการพูดถึงกระบวนการดัดแปลง ผลิตซ้ำ และเปลี่ยนความหมายของภาพถ่าย สำหรับผมการย้อมสีภาพ (colorization) เป็นการเน้นย้ำว่ารูปภาพเป็นแค่ ‘ภาพแทน’ (representation) และการย้อมนี้เป็นการ fantasize อดีตไปในตัว (เป็นเหมือนการสร้างหรือเติมแต่งความเป็นแฟนตาซีให้ เช่น บางอย่างเราไม่รู้มันเกิดขึ้นจริงหรือเปล่า แต่เราอยากให้มันเกิดขึ้น เลยเกิดเป็นความแฟนตาซีจากจินตนาการของเราเอง) ครั้งนี้ผมโฟกัสไปที่บทบาททางการเมืองของภาพถ่ายที่กลายเป็นรูปเคารพศักดิ์สิทธิ์ยึดเหนี่ยวจิตใจให้คนในสังคม
The MATTER : งานส่วนใหญ่มีลักษณะแปลกประหลาด ความแปลกประหลาดนั้นสื่อถึงอะไร
หฤษฎ์ : ผมคิดว่าช่างภาพอย่าง Man Ray, André Kertész, Hans Bellmer และ Brassaï เป็นตัวอย่างที่ดีมากของการใช้ความแปลกประหลาดในภาพถ่ายต่อสู้กับอำนาจ เพราะเเต่ก่อนภาพถ่ายรับใช้ระบบคิดแบบวิทยาศาสตร์ซึ่งขึ้นมาเป็นพระเจ้าองค์ใหม่แทนศาสนาคริสต์ อย่างในภาพถ่ายของ Alphonse Bertillon ตำรวจฝรั่งเศสที่เที่ยวเอาไม้บรรทัดไปวัดอวัยวะบนร่างกายของผู้คนเพื่อกำหนดบรรทัดฐานของใบหน้าอาชญากร ภาพถ่ายของเขาได้แสดงให้เห็นถึงการจัดหมวดหมู่อย่างเป็นระเบียบเพื่อตัดสินคุณค่าของผู้อื่นยัดเยียดวาทกรรมที่กดขี่ข่มเหงผู้อื่น เพราะใครที่ไม่ได้เป็นเหมือนที่เขาต้องการให้เป็น ย่อมถูกผลักให้กลายเป็นอาชญากรหรือพวกวิกลจริต
กลับกัน ช่างภาพอย่าง Man Ray, André Kertész, Hans Bellmer และ Brassaï นำเสนอภาพชายขอบอันแปลกประหลาดที่ตั้งคำถามกับระบบคุณค่าต่างๆ ความงามที่ไม่คุ้นเคย ความคลุมเครือ และความหมกมุ่นส่วนตัวที่พวกเขานำเสนอ ได้ท้าทายขนบทางสังคมในขณะนั้น ผมจึงคิดว่าความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ เป็นสิ่งที่มีพลังมากๆ ในการชักชวนให้ร่วมกันแสวงหาชุดความจริงอื่นๆและเปิดพื้นที่ให้กับความแตกต่างทั้งหลายได้อยู่ร่วมกันอย่างสันติ
The MATTER : ภาพถ่ายหรืองานศิลปะสามารถเปลี่ยนแปลงสังคมได้ไหม
หฤษฎ์ : ภาพถ่ายเปลี่ยนแปลงสังคมมาโดยตลอด เพราะภาพถ่ายมีส่วนอย่างมากในการกำหนดทิศทางการมองเห็นของคนในสังคม ทุกคนเห็นโลกและจักรวาลได้จากภาพถ่าย ในอดีตกล้องถ่ายภาพมีราคาแพงทำให้มีเพียงชนชั้นสูงเท่านั้นที่มีสิทธิในการเสนอมุมมองต่อสังคมของพวกเขา และการมองก็เป็นอำนาจที่ชัดเจนมาก การเกิดขึ้นของฟิล์ม 135 กล้องดิจิทัล เรื่อยมาจนถึงสมาร์ทโฟน ทำให้ในปัจจุบันที่ทุกคนถ่ายภาพได้ ความสามารถในการนำเสนอมุมมองต่อสังคมจึงไม่ได้จำกัดอยู่เเค่คนบางกลุ่มอีกต่อไป กลับแทบเป็นไปไม่ได้ที่คนๆ เดียวจะกำหนดว่าคนอื่นควรมองหรือไม่ควรมองอะไร อะไรสวยอะไรไม่สวยเหมือนเเต่ก่อน ซึ่งมันเจ๋งมากๆ ที่ทุกคนสามารถถ่ายภาพได้ สามารถบันทึกภาพของกลุ่มเพื่อนที่มีความหมายสำหรับพวกเขามากกว่าภาพคนแปลกหน้าในพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ สำหรับผมเทคโนโลยีในปัจจุบันได้มอบความสามารถในการสร้างอนุสาวรีย์แห่งสิ่งละอันพันละน้อย ที่จะปลดปล่อยการครอบงำคนรุ่นใหม่จากความจริงสูงสุดที่ถูกสร้างขึ้นและถูกแช่แข็งในสังคม