*คำเตือน : บทความนี้มีการสปอยล์เนื้อหาสำคัญภายในเกม*
สังเกตกันบ้างไหมว่า วิดีโอเกมช่วงหลังๆ มานี้ มีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ตัวละครหลายตัวเกี่ยวข้องต้องสัมพันธ์กับการมีทายาทหรือการเลี้ยงลูกหลานมากขึ้น อย่างเช่นตัวเอกในเกม Yakuza 6 ที่ต้องตามหาลูกสาวบุญธรรมที่หายตัว พร้อมกับรับหน้าที่เลี้ยงลูกชายวัยแบเบาะของลูกเลี้ยงไปด้วย หรือเกม Uncharted 4: A Thief’s End ที่มีการแนะนำ Cassie สูกสาวของ Nathan Drake ให้มีบทบาทเล็กๆ น้อยๆ ในฐานะลูกที่ไม่ค่อยเชื่อพ่อแม่ว่าเคยไปล่าสมบัติมาก่อน
มีนักข่าวสายเกมวิเคราะห์เอาไว้ว่า การที่มีตัวละครรุ่นลูกรุ่นหลานมาปฏิสัมพันธ์กับตัวละครในเกมมากขึ้น ก็เพราะทั้งผู้พัฒนาเกมและคนเล่นเกมมีอายุมากขึ้น การสร้างบทบาทให้ตัวละครในเกมมีลูกๆ จึงทำได้ง่ายขึ้น เพราะคนทำเกมคนเล่นเกมอินกับเรื่องแนวนี้แล้ว กอปรกับเทคโนโลยีที่พัฒนามากขึ้นทำให้การสร้างฟีเจอร์ให้ตัวละครเด็กมีบทบาทในเกมได้มากขึ้นกว่าเมื่อก่อน แม้ไม่ต้องเป็นตัวเอกแต่สามารถของผู้เล่นได้ในบางภารกิจ
เมื่อตัวเกมสามารถสร้างบรรยากาศ อารมณ์ ความรู้สึก และความสัมพันธ์ให้ผู้เล่นสัมผัสถึงได้ง่ายขึ้น เลยมีหลายๆ เกมที่บอกเล่าความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูกหรือพ่อกับครอบครัว ที่ปกติอาจจะสัมผัสได้ยากตามวิสัยของผู้เป็นพ่อที่มักจะเคอะเขินในการแสดงออกว่ารักลูกๆ หรือครอบครัว บางเกมถึงขั้นมีคนแนะนำว่าควรไปเล่นก่อนเพื่อทำความเข้าใจความเป็นพ่อ การเลี้ยงลูกที่คุณอาจจะกำลังจะมีหรือมีแล้ว
The MATTER ขอยกตัวอย่างเกมส่วนหนึ่งที่บอกเล่าเรื่องราวเหล่านั้นได้ดี
Kratos & Atreus จาก God of War (2018)
God of War ฉบับปี 2018 เป็นเกม PlayStation 4 ที่เร้าอารมณ์คอเกมแอ็กชั่น และกระตุ้นความอยากของเหล่าเกมเมอร์ที่ยังไม่มีเกมคอนโซลเครื่องนี้ให้หาเครื่องเกมมามีไว้ในครอบครอง ความสำเร็จที่เกิดขึ้นกับเกมนี้ ส่วนหนึ่งก็เพราะการคิดใหม่ทำใหม่ ตั้งแต่การย้ายถิ่นฐานในเรื่องจากฝั่งกรีกโรมันไปเป็นฝั่งยุโรปตอนเหนือเพื่อเล่าตำนานเทพนอร์ส แถมยังปรับปรุงระบบต่อสู้และการเล่าเรื่อง เพื่อให้ตัวเกมภาคล่าสุดนี้ใหม่สดกว่าเกมภาคเดิม
อีกส่วนหนึ่งที่กลายเป็นไฮไลท์เด่นของเกมนี้ก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อ-ลูกของตัวละครเอกอย่าง เครโทส (Kratos) กับ เอเทรียส (Atreus) ลูกชายที่ยังไม่เคยรับรู้ว่าพ่อของตนคืออดีตเทพเจ้าแห่งสงคราม ภายหลังการจากไปของ เฟย์ (Faye) ภรรยาของเครโทส และแม่ของเอเทรียส ทั้งสองได้ทำตามคำขอสุดท้ายของเธอด้วยการเดินทางไปยังยอดเขาที่สูง การเดินทางก็ได้เริ่มขึ้นจากจุดนั้น ตัวเครโทสเอง ค่อยๆ สอนลูกชายให้เข้าใจวิธีการต่อสู้ ส่วนเอเทรียสก็คอยบอกเล่าเรื่องราวในดินแดนนอร์สที่เครโทสไม่สามารถทำความเข้าใจได้ การเดินทางครั้งนี้จึงกลายเป็นการเรียนรู้ที่แปลกใหม่ของพ่อกับลูกคู่นี้ไปโดยปริยาย
เบื้องหลังการพัฒนาระบบความสัมพันธ์พ่อลูกนี้เกิดขึ้นจากการที่ตัว Cory Barlog ผู้นั่งเก้าอี้ creative director ของเกม God of War ฉบับปี 2018 ได้แต่งงานกับภรรยาชาวสวีเดนและมีลูกชายด้วยกัน เขาพบว่าแม้ลูกจะยังเล็ก แต่เด็กก็เป็นตัวของตัวเองและพูดภาษาสวีเดนกับแม่เป็นระยะๆ ความสัมพันธ์ของ Cory กับลูกชายจึงเหมือนการค่อยๆ ทำความรู้จักด้านที่คนทั้งสองยังไม่คุ้นเคย และนั่นกลายเป็นแรงบันดาลใจให้การเล่าเรื่องของตัวเกมภาคใหม่ไปในที่สุด
Harry & Cheryl Mason จาก Silent Hill (1999)
แฮร์รี่ เมสัน (Harry Mason) เป็นชายวัยทำงานที่แต่งงานกับ โจดี้ (Jodie) และได้รับเลี้ยงเด็กหญิงคนหนึ่งที่ถูกทิ้งไว้ก่อนจะตั้งชื่อลูกบุญธรรมตัวน้อยว่า เชอริล (Cheryl) เวลาผ่านไปราว 3 ปี โจดี้ได้เสียชีวิตลง ทำให้แฮร์รี่ต้องกลายเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยว และเมื่อเชอริลมีอายุ 7 ปี ทั้งคู่ก็ตัดสินใจเดินทางไปเที่ยวเมืองไซเลนท์ฮิลล์ (Silent Hill) ก่อนที่จะประสบอุบัติเหตุรถชน เมื่อแฮร์รี่ฟื้นขึ้นมาหลังหมดสติก็พบว่าเชอริลได้หายตัวไปในเมืองที่เต็มไปด้วยหมอกและสัตว์ประหลาดเสียแล้ว แม้จะไม่แน่ใจว่ามีอะไรรออยู่ แฮร์รี่ก็ออกเดินทางตามหาลูกสาวบุญธรรมในเมืองแห่งนี้
แฮร์รี่ เมสัน ถือเป็นคุณพ่อดีเด่นในเกมช่วงต้นยุค 2000 ด้วยความที่ว่าลูกสาวก็ไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆ เมืองที่เข้าไปติดอยู่ก็เต็มไปด้วยสัตว์ประหลาด การใช้อาวุธก็ระดับมือสมัครเล่น แต่แฮร์รี่ก็ยอมบุกผ่าฝ่าหมอกไปจนรู้ความจริงว่า เชอริลเป็นร่างแยกของเด็กอีกคนหนึ่งที่ถูกใช้สังเวยในการทำพิธีเรียกพระเจ้า/ปิศาจ ลงมาบนโลก แถมแฮร์รี่ยังยุติพิธีกรรมนั้นสำเร็จ ก่อนที่จะได้เด็กทารกอีกคนมาเลี้ยงดู พร้อมตั้งชื่อให้ว่า เฮเธอร์ (Heather) เลี้ยงดูเธอเป็นอย่างดี
แม้ว่า แฮร์รี่จะเสียชีวิตลงในเกม Silent Hill 3 เพราะถูกคนจากลัทธิที่พยายามเรียกพระเจ้า/ปิศาจลงมาบนโลกสังหาร แต่เฮเธอร์ (หรือร่างเกิดใหม่ของเชอร์ริล) ก็ยังคงแสดงถึงความรักและรู้ซึ้งถึงความพยายามของพ่อเพื่อรักษาชีวิตอันปกติไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนที่เธอจะไปโค่นพระเจ้า/ปิศาจ ตามรอยพ่อของเธอ
Bayek & Khemu จาก Assassin’s Creed: Origins
ความสัมพันธ์ของ บาเย็ค (Bayek) กับ เคมู (Khemu) ถ้ามองแง่หนึ่งก็คล้ายๆ กับคู่พ่อลูกจาก God of War ตรงที่คนพ่อเป็นนักรบฝีมือดี ส่วนลูกยังถือว่าต้องฝึกหัดอีกมาก กระนั้นจุดที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงก็คือ การที่เคมูเสียชีวิตไปตั้งแต่ช่วงก่อนที่เนื้อเรื่องของเกมจะเริ่มต้นขึ้น แต่เราจะได้เห็นภาพความทรงจำระหว่างพ่อลูกคู่นี้ในตัวเกมหลายครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งที่มีการย้อนความนั้น ก็จะเห็นว่าตัวบาเย็คมีความคาดหวังให้ลูกชายได้มารับช่วงตำแหน่งเมดจาย (Medjay, Medjai) ต่อจากตัวเขา และพยายามสอนลูกชายทั้งด้านความรู้ในการดำรงชีพ จนถึงวิธีการต่อสู้ด้วยอาวุธต่างๆ แม้ว่าเคมูจะยังเด็กเกินไปจนไม่อาจตอบสนองการกระทำบางอย่างได้ก็ตาม
เมื่อเคมูได้เสียชีวิตลง บาเย็คก็เสียศูนย์ในชีวิตไประยะหนึ่ง ก่อนที่เขากับภรรยาจะตัดสินใจเดินบนเส้นทางแห่งการชำระแค้นต่อผู้ที่เป็นต้นเหตุในการตายของลูกชาย ซึ่งทำให้ทั้งคู่ค้นพบถึงแผนการพยายามก่อสงครามการเมือง เป็นเหตุให้พวกเขาก่อตั้งภราดรลับเพื่อสังหารผู้คลั่งอำนาจทั้งหลาย หรือจะบอกว่าถ้าไม่มีการตายของเคมู ก็คงไม่มีการเคลื่อนไหวเพื่อก่อตั้งภราดรภาพมือสังหารขึ้นมา และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของนักฆ่าผู้ปกป้องผู้คนจากโลกเบื้องหลังตามท้องเรื่องไปในที่สุด
Ethan, Jason & Shaun Mars จาก Heavy Rain
อีธาน เป็นสถาปนิกที่ประสบความสำเร็จในชีวิต มีบ้านที่น่าอยู่ มีลูกชายที่น่ารักสองคน จนกระทั่งวันหนึ่งเขาเผลอไผลปล่อยให้ เจสัน (Jason) ลูกชายคนโตของเขาเดินหลงไปบนถนนใหญ่ และเมื่อเจสันพยายามข้ามถนนกลับมาหาพ่อ ทั้งตัวเจสันกับอีธานถูกรถชน เป็นเหตุให้เจสันเสียชีวิต ส่วนอีธานได้รับบาดเจ็บสาหัส เมื่อเวลาผ่านไป อีธานได้หย่าขาดกับภรรยาย ก่อนที่ตัวเขากับ ชอว์น (Shaun) ลูกชายคนเล็ก จะย้ายไปอาศัยอยู่ด้วยกัน แต่เหตุร้ายก็เกิดขึ้นเมื่อชอว์นโดนลักพาตัวไปโดย นักฆ่าโอริกามิ (Origami Killer) ทำให้อีธานที่ยังรู้สึกผิดจากความผิดพลาดของตัวเองในอดีต ต้องยอมผ่านการทดสอบอันหลากหลาย อย่างการขับรถสวนเลนด้วยความเร็วสูง ฝ่าสถานที่อันตรายที่ทำให้เข้าต้องได้รับบาดเจ็บแน่นอน รวมไปถึงการตัดปลายนิ้วของตัวเอง ซึ่งทุกการทดสอบล้วนแต่ทำให้เจสันเสียชีวิตได้ทั้งนั้น แต่ทั้งหมดก็เพื่อช่วยเหลือลูกชายคนเดียวที่เหลืออยู่นั่นเอง
ทีมพัฒนาเกมจากประเทศฝรั่งเศสอย่าง Quantic Dream เป็นทีมงานที่ชำนาญการในการเดินเรื่องที่อุดมไปด้วยการใช้อารมณ์แบบจริงจัง จนทำให้ผู้เล่นเกมต้องเลือกต้องไตร่ตรองราวกับเป็นการเลือกเส้นทางในชีวิตจริง อย่างในเกม Heavy Rain ก็โฟกัสในประเด็น “คุณเตรียมใจมามากขนาดไหนเพื่อที่จะช่วยคนที่คุณรัก?” (How far are you prepared to go to save someone you love?) อย่างในเนื้อเรื่องของเจสัน ผู้เล่นได้รู้สึกว่า ถ้าเป็นตัวเราเองอยู่ในห้วงภาวะแบบนี้ เราก็อาจจะยอมทำอะไรที่ผิดกฎหมายก็ได้
Joel & Ellie จาก The Last of Us
จะเป็นไปได้เหรอที่คนที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลยจะมีความสัมพันธ์แนบสนิทชิดใกล้กันราวกับครอบครัว?
The Last of Us บีบเร้าหาคำตอบนั้นด้วยการให้ผู้เล่นเกมรับบท โจเอล (Joel) ชายวัยกลางคนที่ทำทุกอย่างเพื่อเอาชีวิตรอดในโลกที่มีโรคระบาดจากเชื้อราซึ่งสามารถทำให้มนุษย์กลายสภาพเป็นสิ่งมีชีวิตคล้ายซอมบี้ ในช่วงที่โลกยังเป็นปกติเขาใช้ชีวิตอยู่กับ ซาร่า (Sarah) ลูกสาวของเขาที่เสียชีวิตจากการถูกทหารยิงปืนใส่อย่างไร้เหตุผล ภารกิจล่าสุดที่เขาได้รับในเนื้อเรื่องของเกมคือการพาตัว เอลลี่ (Ellie) เด็กสาววัยรุ่นไปส่งให้กับกลุ่ม ไฟร์ฟลายส์ (Fireflies) ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่อีกแห่งหนึ่ง ระหว่างการเดินทาง ทั้งสองคนจำเป็นต้อนร่วมมือกันในช่วงแรกๆ ก่อนที่ความสัมพันธ์จะใกล้ชิดมากขึ้น และค่อยๆ ทำให้ทั้งสองคนไว้ใจกันและกัน แม้ในช่วงหนึ่งอาจจะดูออกว่าโจเอลเหมือนแค่พยายามหาตัวแทนของลูกสาวที่จากไปและพยายามปกป้องเธอแบบสุดโต่ง ถึงระดับที่ยอมฆ่าคนเพื่อปกป้องเด็กสาว แต่สุดท้ายทั้งสองคนก็เปิดอกให้กันมากขึ้น ยอมแลกเปลี่ยนความรู้ที่มีแก่กัน ก่อนจะยอมรับภาวะที่เหมือนเป็นครอบครัวของกันและกัน รวมถึงว่าจะกลับมาเป็นคู่หูผจญโลกกันอีกครั้งในเกมภาคต่อที่ยังไม่มีวันวางจำหน่ายประกาศออกมา
การไม่ระบุว่าตัวละครหลักของเกมในเรื่องมีนามสกุลว่าอะไรของเกม The Last of Us อาจจะเป็นความตั้งใจของทีมงาน Naughty Dog เพื่อให้ผู้เล่นแบบเราไม่ติดกำแพงว่าตัวละครเอกทั้งสองตัว ความจริงแล้วไม่ได้มีความสัมพันธ์ใดๆ ระหว่างกัน แล้วให้อินในความสัมพันธ์ที่ค่อยๆ ก่อขึ้นในตัวเกมก็เป็นได้
John & Jack Marston – Red Dead Redemption
Rockstar Games ทำเกมที่เกี่ยวข้องกับคนนอกกฎหมายอยู่เป็นประจำ รวมถึงยังนิยมนำเสนอความสัมพันธ์ครอบครัวที่ดูผิดเพี้ยนไปจากรูปแบบปกติอยู่บ้าง อย่างในเกม Grand Theft Auto V ก็มีตัวละคร Michael De Santa ที่เป็นห่วงครอบครัว แต่ก็เป็นการห่วงแบบค่อนข้างสุดโต่งจากความวิตกจริตหลายๆ อย่าง แต่เรื่องของ จอห์น มาร์สตัน (John Marston) ในเกม Red Dead Redemption น่าจะเป็นเรื่องของพ่อกับครอบครัวที่น่าเล่าถึงมากกว่า
จอห์น มาร์สตัน เป็นอดีตอาชญากรในแดนคาวบอยที่ตัดสินใจวางมือหลังจากเกือบเอาชีวิตไปทิ้งมาแล้วครั้งหนึ่ง จากนั้นเขาก็ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข และแจ็ค (Jack) ผู้เป็นลูกชายของก็ชื่นชมในตัวพ่อของเขา แม้ตัวพ่อค่อนข้างจะไม่อยากให้ลูกชายเข้ามายุ่งเกี่ยวกับวิถีชีวิตของคนนอกกฎหมายก็ตาม ชีวิตของครอบครัวมาร์สตันเป็นไปได้ด้วยดี จนกระทั่งจอห์นต้องรับข้อเสนอปนบังคับจากทางรัฐให้ไปตามล่าอดีตเพื่อนร่วมก๊วนโจรของเขา ทั้งหมดนี้ไม่มีเหตุผลอะไรมากมายไปกว่าการที่ตัวจอห์นอยากช่วยให้ลูกเมียของเขาที่ถูกลักพาตัวไปได้กลับมาอย่างปลอดภัย และถึงขั้นที่เขายินยอมสละชีวิตเพื่อให้ครอบครัวที่เหลืออยู่จะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข น่าเสียดายที่แจ็คกลับตามรอยจอห์นไปเป็นคาวบอยนอกกฎหมายและตามล้างแค้นให้พ่อในภายหลัง
Geralt & Ciri จาก The Witcher 3
เกม The Witcher บอกเล่า การเดินทางของ เจรัลท์ (Geralt) ผู้เป็นวิทเชอร์ (Witcher) มนุษย์ที่ยอมกินยากลายพันธุ์ และฝึกวิชาสะสมความรู้ในการล่าปิศาจที่แฝงตัวอยู่ทั่วทุกหนแห่ง แฟนเกมกลุ่มหนึ่งเรียกตัวละครตัวนี้ว่าเป็นตัวละคร ‘หงอก เหี้ยม หื่น’ จากการที่เจ้าตัวมีผมขาวปลอดจากการเปลี่ยนตัวเองเป็นวิทเชอร์ ใช้วิธีการแบบไร้ความปรานีในการจัดการเป้าหมาย และหาความสำราญกับหญิงสาวมากหน้าหลายตา แต่เรื่องนี้ก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อเจรัลท์ต้องมาดูแลเด็กหญิงที่ชื่อว่า ซิริ (Ciri)
ความสัมพันธ์ของเจรัลท์กับซิริ ใน The Witcher เป็นทั้งในรูปแบบของพ่อเลี้ยงลูกเลี้ยง และในเชิงอาจารย์กับลูกศิษย์ เดิมทีซิริเป็นค่าตอบแทนตามกฎแห่งความประหลาดใจ (law of surprise) ของเจรัลท์ ก่อนจะเกิดเหตุการณ์มากมายที่ทำให้เจอรัลท์ได้พบเจอกับซิริถึงสามครั้ง เขาจึงตัดสินใจดูแลเด็กหญิงผู้มีพลังเวทย์แฝงในตัวอยู่คนนี้ด้วยตนเอง จุดนี้เองที่ทำให้เจรัลท์ฝึกวิชาดาบและสอนความรู้ต่างๆ ของเหล่าวิทเชอร์ให้กับเธอ ส่วนเยนนิเฟอร์ (Yennifer) คนรักของเจรัลท์ก็คอยสอนเรื่องการใช้เวทมนต์ให้ ซึ่งการสั่งสอนนี้ทำให้เจรัลท์เปลี่ยนแปลงตัวเองจากคนที่เคยล่าปิศาจแล้วหาเอาความสำราญใจไปวันๆ กลายเป็นว่าต้องมาคิดหน้าคิดหลังกับคนที่เขาต้องเป็นห่วง
เหตุการณ์ในตัวเกมนั้นมีทางเลือกให้กับความสัมพันธ์ของทั้งสองคนได้หลายแบบ ทั้งการที่ฝึกฝนให้ซิริกลายเป็นวิทเชอร์ที่แท้จริง หรือให้ซิริกลับคืนสู่บ้านเกิดของเธอ และมีบางส่วนที่เรื่องไม่สอดคล้องกับตัวนิยายต้นฉบับมากนัก (ตัว Andrzej Sapkowski เคยออกปากว่าตัวเกมถือเป็นเนื้อแต่งที่อิงจากนิยายต้นฉบับของเขา แต่ไม่ใช่เจรัลท์อีกเวอร์ชั่น หรือเป็นภาคต่อ) กระนั้นความห่วงใยในตัวซิริแบบพ่อเลี้ยง (สายโหด) หวงลูกสาวนั้นมีความใกล้เคียงกันทั้งในตัวเกมและตัวนิยายอยู่ดี
Ryan & Joel Green จาก That Dragon, Cancer
เกมนี้ต่างจากเกมอื่นๆ ที่บอกเล่าไปก่อนหน้านี้ ที่ออกจะเน้นไปทางเกมสายให้ความบันเทิง (แม้ว่าจะแฝงความโศกเศร้าไว้บ้าง) เสียมากกว่า เพราะเกมนี้ถือว่าเป็นผลงานที่ ไรอัน กรีน (Ryan Green) ผู้ออกแบบตัวเกม และภรรยา เอมี่ (Amy) ผู้เขียนเนื้อเรื่อง สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้ โจเอล (Joel) ลูกชายที่เสียชีวิตด้วยวัยห้าขวบจากมะเร็งสมอง Atypical Teratoid Rhabdoid Tumor (ATRT) มะเร็งสมองชนิดหายากที่หมอผู้ชำนาญการมั่นใจว่าเด็กชายจะเสียชีวิตในช่วงเวลาไม่กี่ปี
ตัวเกมให้ผู้เล่นได้เห็นภาพสีสันเหนือจริง พร้อมกับได้รับฟังบทสนทนาและรูปถ่ายที่ครอบครัวกรีนได้เก็บสะสมเอาไว้ รวมถึงมีการอธิบายจากบันทึกในช่วงเวลาที่ทุกคนในบ้านกรีนต่างเกื้อหนุนกันเพื่อเลี้ยงดูโจเอล เรื่องราวที่บอกเล่าจึงมีทั้งด้านที่สดใสของเด็กไร้เดียงสา ช่วงเวลาที่พ่อแม่ต้องเผชิญหน้ากับโรคร้ายที่เข้าจู่โจมเจ้าตัวน้อย และนาทีที่ความท้อแท้เข้ากัดกินคนรอบตัว การเดินทางในเกมนี้จึงเหมือนการล่องเรือรับชมทัศนียภาพที่เกิดขึ้นจากความรักของพ่อแม่ที่จะอยู่กับลูกผู้จากไปตลอดกาล
อ้างอิงข้อมูลจาก