แด่หญิงสาวผู้หลงรักดอกไม้ และแมวฟูอีกหนึ่งตัว
“นวล แมวเรามันแพ้ดอกไม้สด เลยเลือกเก็บดอกไม้แห้งแทน” นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่เอิง—กนิษฐ์ปัญณีย์ มีดอกไม้และใบไม้แห้งอยู่ในชีวิตหลายคอลเลคชั่น รวมถึงหนังสือและข้าวของเกี่ยวกับดอกไม้ แล้วมันก็คลี่คลายออกมาเป็นงานส่วนตัวจริตงามซึ่งดูจะกลายเป็นลายเซ็นของเธอไปแล้ว
เอิงคือกราฟิกดีไซเนอร์แห่ง Teaspoon Studio ผู้อยู่เบื้องหลังอาร์ตเวิร์กสวยๆ หลายต่อหลายชิ้น เช่นงานล่าสุดของ ‘ร้านสมใจ’ ที่เธอหยิบเอาเครื่องเขียนต่างๆ มาจัดวางร้อยเรียงกันจนสวยเก๋แลเซอร์เรียล กลายเป็นงานคอมเมอร์เชียลที่ได้แต้มความอาร์ตไปสิบเต็ม
แต่วันนี้ เราจะขอพูดถึงงานส่วนตัวของเอิงที่เต็มไปด้วยดอกไม้และสะดุดตาเราเสมอ โดยเฉพาะงานสกรีนปริ๊นต์สีสวย ลายสเก็ตช์จากดอกไม้ที่เอิงสะสมเอาไว้ แถมตั้งชื่อให้พวกมันเสียน่ารัก จนทำให้เราอยากรู้จักดอกไม้ของเอิงให้มากขึ้น แล้วก็บังเอิญได้ทำความรู้จักกับเจ้าแมวฟูที่ดูท่าจะเป็นมิตรกับดอกไม้เหล่านั้นไปด้วยซะเลย
FLOWERS OF HER OWN
“ทั้งหมดสเก็ตช์จากดอกไม้ที่เราเก็บไว้ หรือเป็นดอกไม้ที่เดินผ่าน ซึ่งเกือบทั้งหมดเราไม่รู้จักชื่อมันเลย ก็เลยตั้งชื่อให้มันใหม่แล้วแต่งเรื่องให้มันจากจินตนาการของเราเมื่อเห็นมัน เช่น Cat’s Tail Flower มันจะเหมือนหางแมวเวลาโกรธ แล้วมันจะพองขึ้น หรือดอกไฮเดรนเยียเราตั้งชื่อใหม่ว่า Cumulonimbus Flower เป็นดอกเมฆฝน แล้วก็จะมีดอก Dark Eater เพราะมันจะบานแค่ตอนกลางวัน พอถึงกลางคืนจะหุบลง ซึ่งดอกนี้อยู่ตรงปากซอยเรานี่เอง”
.
“แล้วก็จะมีดอกเข็มที่เราตั้งชื่อว่า Breakfast Flower เพราะมันจะบานอยู่ตรงหน้าร้านข้าวที่เราไปกินตอนเช้า ดอกหางนกยูงเป็น Neighborhood Flower เพราะมันมีอยู่ตรงบ้านที่หัวมุมใกล้ๆ พอบานพร้อมกันแล้วสะพรั่งมาก”
“ชิ้นนี้คืองานล่าสุดที่เราทำขายในงาน Bangkok Art Book Fair นี่เป็นการตอกย้ำว่าเราไม่เคยทำอย่างอื่นเลยแฮะ นอกจากดอกไม้ ที่ผ่านมาเราไม่ได้สังเกตตัวเอง แต่มันก็มีความกลัวเหมือนกันนะ ว่าจะเป็นคนที่แค่วาดดอกไม้ไปเรื่อยๆ คือก็วาดสวยนะ แต่วาดสวยแล้วยังไงต่อวะ งานมันจะวนซ้ำรึเปล่า เลยแอบคิดว่างานหน้าจะไม่ทำเรื่องดอกไม้ แต่จะทำอะไรดีล่ะ? อาจจะหนีไม่พ้นมั้ง แค่เปลี่ยนวิธีการมากกว่า”
“ต้องขอบคุณพี่พิม (พิม จงเจริญ ผู้ก่อตั้ง Teaspoon Studio) ที่ให้โอกาสแถมออกทุนให้ กับพี่มิน The Archivist ที่มาชวนไปทำโปรเจกต์สกรีนปริ๊นต์ แล้วเราก็ลองท้าทายตัวเองที่วาดรูปไม่เก่ง เพราะเราเป็นสายกราฟิกมาตลอด แล้วการสกรีนปริ๊นต์มันเป็นเรื่องใหม่สำหรับเรา ก็ต้องสเก็ตช์มือออกมาก่อน แล้วมาแยกเลเยอร์สีออกจากกัน เป็นงานมือแล้วมาต่อด้วยงานคอมพ์ฯ”
“…แต่จริงๆ เราก็ชอบเสิร์ชชื่อดอกไม้นะ ถึงจะไม่รู้ว่ารู้ไปทำไม เราไม่ได้เป็นนักพฤกษศาสตร์ แต่พอรู้แล้วก็สนุกดี เช่นดอกพวงชมพูนี่มีชื่อเยอะมาก ทั้ง Bride’s tear ทั้ง Chain-of-love หรือ Coral Creeper อะไรอย่างงี้ ชื่อมันเยอะมาก”
Dry flowers is all about…
A CAT : “นวล แมวเรามันแพ้ดอกไม้สด เลยเลือกเก็บดอกไม้แห้งแทน เคยมีครั้งหนึ่งที่เราเอาดอกไม้สดเข้ามา แล้วมันเอาหน้าไปถูกกับดอกไม้ ปรากฏว่าตามันบวม ซึ่งหมอบอกว่ามันแพ้เกสรดอกไม้ แล้วบางทีในดอกไม้สดมันก็มีฟอร์มาลีนอยู่ด้วย สัตว์บางตัวก็แพ้ สุดท้ายเราเลยไม่มีดอกไม้สดในห้อง ทั้งที่เราก็ชอบมันนะ”
A PRESENT : “บางชิ้นก็มีหลายคนที่เก็บมาให้ เช่นเวลาเพื่อนไปเที่ยวที่ต่างๆ ก็จะเก็บใบไม้มาฝาก หรืออีกชิ้นนี้แฟนเราเป็นคนเก็บมาฝาก ตอนที่เขาไปสเกาต์โลเคชั่นที่จังหวัดเลย เป็นดอกของต้นอะไรสักอย่าง เขย่าแล้วจะมีเสียงแบบมาราคัส ซึ่งแปลกดี”
“หลังๆ แม่เราก็เก็บให้นะ แต่อยู่ที่บ้านที่ต่างจังหวัด ยังไม่ได้ไปเอามาเลย คือวันหนึ่งเขาโค่นต้นตะแบกที่โรงเรียนแม่ มันก็มีเศษอะไรตกอยู่เต็มเลย แม่เลยขอถุงดำไปเก็บไว้ให้เรา”
Dry flowers is also about…
A CORPSE (!?) : “แต่ก็มีบางคนที่เคยมาที่นี่แล้วบอกว่ากลัว เหมือนศพ (หัวเราะ) คงเพราะความแห้งและสีของมันมั้ง อันนี้ก็อยู่ที่ประสบการณ์ของแต่ละคนด้วยแหละ ว่าเห็นแล้วจะรู้สึกกับมันยังไง”
“ถามว่ามันมีความทรงจำมั้ย ก็มีนะ อย่างเช่นต้นนึงคือรากอากาศที่เราเลี้ยงแล้วตาย เพราะปกติไม่มีใครเขาทำต้นนี้ตายกัน มันตายยากมาก แต่เราก็ทำให้ตายได้ เราปลูกต้นไม้ไม่ค่อยรอดด้วยมั้ง เลยมาลงกับอะไรพวกนี้แทน”
A CHANGE : “บางชิ้นเราเก็บตั้งแต่มันยังเขียวอยู่ แล้วก็จะค่อยๆ เห็นว่ามันเปลี่ยนแปลงไปยังไงบ้าง แต่ด้วยความที่เราเก็บไม่เป็น บางชิ้นพอมันมีความชื้นอยู่ หรือกลีบมันอ่อนมากๆ สักพักก็จะขึ้นรา ก็ต้องทิ้งไป แต่บางชิ้นจะเก็บได้โอเคเพราะมันมีความแห้งมาอยู่แล้ว”
FLOWER AS A WORK
“งานแรกเลยคือเราตั้งใจจะทำขายในเพจ Pasteapaper ของเขา แต่ด้วยความที่งานประจำรัดตัวมาก เลยไม่ค่อยได้เข้าไปอัพเดต ความตั้งใจคือเราจะทำเป็นดอกไม้มาจับคู่กับเนื้อเพลง ซึ่งเนื้อเพลงมันออกจะเศร้าๆ แต่ดอกไม้จะเป็นความสวยงาม เราอยากให้มันขัดกัน จริงๆ ดอกไม้ข้างในมันกลิ้งไปกลิ้งมาได้นะ”
“ชิ้นต่อมา เราทำไปขายที่งาน Noise Market มันคือการจำลองดอกไม้ทับ จะค่อนข้างเป็นเชิงกราฟิกหน่อย เพราะเราอยากลองทำดอกไม้บนกระดาษ ตอนนั้นยังไม่ได้อยากวาดดอกไม้เพราะเราวาดรูปไม่เก่ง กลัวว่าวาดแล้วจะออกมาไม่ดี เลยใช้การตัดกระดาษแทน อีกชิ้นก็จะคล้ายๆ กัน ที่เราเอากระดาษขึ้นมาเป็นดอกแล้วเพิ่มเลเยอร์เข้าไปด้วยเส้นด้ายที่เย็บลงไป”
THAT’S HOW TO WORK WITH FLOWER
“หลังจากที่เพจเราร้างไปนาน แต่ดอกไม้ที่ปริ๊นต์ออกมายังเหลืออยู่ เราเลยจับมันมาใส่กระถาง ซึ่งทำไปทำไมก็ไม่รู้นะ แค่อยากทำ อยากลองเอามาทำโฟโต้เซ็ตอยู่เหมือนกัน”
“ที่ออฟฟิศเรามีครบรอบวันเกิด 5 ปี พี่พิมเลยอยากให้แต่ละคนทำอะไรเก็บไว้ คอนเซปต์คืออะไรก็ได้ที่สื่อถึงความเป็นเค้ก คือเค้กไม่ต้องขึ้นมาเป็นก้อนก็ได้ พี่พิมพ์เองทำเป็นกล่องไม้ขีดไฟ ส่วนเราทำเค้กดอกไม้ เป็นเค้กแบบแท่ง เพราะเราเห็นแต่เค้กที่ทำเป็นรสผลไม้ อยากมีเค้กรสดอกไม้บ้าง”
“ดอกไม้ที่หยิบมาใช้บนเค้กจำลองนี้ คือดอกไม้ทั้งหมดที่เราเจอระหว่างทางจากบ้านไปถึงออฟฟิศ เช่นดอกตะแบกหรือพวงชมพู แต่เราไม่ได้วาดออกมาให้เหมือนเป๊ะ มีการตัดทอนบางอย่าง แล้วเอามาแปะบนไม้จริง ที่เดินเก็บจากแถวๆ นี้ บางทีก็ดูเหมือนคนบ้า (หัวเราะ)”
“งานชิ้นนี้เป็นงานตกแต่งโรงแรมแห่งหนึ่ง ที่ยังไม่ได้เปิดอย่างเป็นทางการ เราก็เลยหยิบดอกไม้มาผสมกับกรอบรูปไทยสมัยก่อน ก็จะมีดอกกล้วยไม้ที่ตัดแปะเป็นเชิงกราฟิก หรืออันนี้ตัดทอนมาจากลายกระเบื้อง แล้วเรามีแก้วใบหนึ่งที่เป็นลายนี้พอดี ตอนนั่งทำงานแล้วหันมาเห็นก็เลยหยิบมาใช้”
“ส่วนใหญ่งานเราเป็นพวกทดลอง ใช้ได้ก็ใช้ ใช้ไม่ได้ก็เก็บไว้ เพราะถ้าจะเอาดอกไม้ไปใช้ในงานของ Teaspoon มันก็ไม่ได้แมทช์กันทุกอย่าง ส่วนใหญ่มันเลยออกมาเป็นงานส่วนตัว”
“ก็จะมีคนพูดว่าทำงานเกี่ยวกับดอกไม้ยังไงก็สวย เพราะดอกไม้มันสวยอยู่แล้ว เราก็ไม่รู้นะว่าเรากำลังอยู่ในเซฟโซนรึเปล่า แต่ท้ายที่สุดเราก็มีการคิดต่อจากนั้นด้วย เลยมีการผสมเอาประสบการณ์ส่วนตัวที่เรามีกับดอกไม้ไปด้วย”
LEAVES THE MEMORIES
“บางครั้งเราก็จะเขียนอะไรบางอย่างลงไปบนใบไม้ที่เก็บ สิ่งที่เขียนลงไปส่วนใหญ่จะเป็นเนื้อเพลงที่นึกออก ณ ตอนนั้น บางใบเราเก็บจากทะเล ซึ่งจริงๆ ใบนี้ตรงหน้าตึกเราก็มีนะ แต่พอไปเจอมันที่ทะเล แล้วจดเพลงลงไปก็ทำให้เรานึกถึงตอนนั้น น่าจะคล้ายไดอารี่หน้านึงแหละ”
“มันคงเป็นความชอบที่ไม่เคยรู้ตัว แต่จู่ๆ วันหนึ่งมันก็มีเพิ่มขึ้นมา แล้วพอมีคนรู้ว่าเราชอบก็จะมีคนซื้อมาฝาก แต่จริงๆ จานลายอื่นเราก็มีนะ ลายโตโตโร่ก็มี (หัวเราะ)”
“เราเริ่มหลงรักดอกไม้ตั้งแต่ตอนไหน? คิดว่าน่าจะเพราะเราเรียนสายวิทย์ แล้วเราชอบวิชาชีวะ เวลาดูหนังสือแล้วมันจะมีภาพวาดวงจรชีวิตหรือรูปพืชต่างๆ ก็น่าจะเป็นตอนนั้นที่เราเริ่มรู้สึกดีกับพืช”
“หนังสือคือของสะสมที่เราต้องมี แต่เราจะไม่ได้เก็บเล่มที่ใช้กระดาษมันหรือกระดาษใหม่ จะชอบเท็กซเจอร์หรือกลิ่นกระดาษแบบเก่ามากกว่า บางเล่มก็บอกชื่อและวิธีปลูกครบหมดเลย”
“ย้อนไปตอนเรียนจบเรา ม.หก ก็ยังไม่รู้ว่าจะไปเรียนอะไรต่อ วันหนึ่งเราไปที่ดอยอ่างขางซึ่งมีสถานีเกษตรอยู่ เราชอบมาก ลงมานั่งเสิร์ชดูว่ามีอะไรที่เกี่ยวข้องให้เราไปทำงานตรงนั้นบ้าง แล้วเราก็ไปบอกแม่ว่าอยากเป็นนักวิจัยพันธุ์พืช โดยไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรบ้าง รู้แค่อยากไปอยู่ในเรือนเพาะต้นไม้เรือนนั้น (หัวเราะ) แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนมาเรียนด้านกราฟิกดีไซน์ เพราะเราชอบวาดรูปไปด้วย”
“คนถามว่าทำไมไม่เรียนสายวิทย์แล้ววาดรูปเป็นงานอดิเรก ถ้าเราเป็นนักวิจัยที่วาดรูปพวกนี้ด้วยน่าจะเจ๋งมาก แต่ก็ไม่ทันแล้วป่าววะ แล้วอีกอย่างถ้าเราเรียนทางนั้นก็คงลงลึกเรื่องพืชมากๆ อาจจะไม่ได้ทำงานแบบนี้ก็ได้”
“อีกส่วนหนึ่งคือบ้านเราเป็นสวน มีดอกไม้เยอะ ก็เป็นดอกไม้บ้านๆ ที่เขามีกันแหละ พวกดอกเข็ม ดอกชวนชม ดอกผักบุ้ง มันมีอยู่เต็มไปหมด แล้วพอมาอยู่ในเมือง มันไม่ค่อยมีดอกไม้ คนเมืองต้องไปหาสวนดอกไม้เพื่อเจอดอกไม้ ซึ่งมันไม่ได้เศร้าอะไรขนาดนั้นนะ แต่เวลาเราเจอดอกไม้ในเมืองจะรู้สึกดีมาก”