“เราทำได้ทุกทรงที่มีบนโลกและไม่มีบนโลก” คือสิ่งที่ Arty & Fern บอก นั่นหมายความว่าคุณอยากได้แว่นทรงไหนก็สั่งทำได้ทั้งนั้น และที่สำคัญคือมันจะพอดีกับใบหน้าคุณราวกับเกิดมาเพื่อกันและกันอีกต่างหาก
พวกเขาคือสองดีไซเนอร์รุ่นใหม่ ที่โด่งดังจากผลงานแว่นแคทอายแบบไทยโมเดิร์น ‘เนตรวิฬาร์’ ออกแบบแว่นทรงฮิตในรูปแบบของแมวไทย 9 ชนิด ซึ่งคว้ารางวัล DEmark Award 2017 ในสาขา Innovative Fashion ไปครองอย่างงดงาม
พูดคุยกับ อาร์ต—ชนกันต์ อุโฆษกุล อดีตอาร์ตไดเรกเตอร์โฆษณาและ เฟิร์น—อานิกนันท์ เอี่ยมอ่อง อดีตกราฟิกดีไซเนอร์ ผู้จับมือกันทำ ‘แว่นตาเฉพาะบุคคล’ คอยแก้ปัญหาเรื่องแว่นที่ไม่เคยพอดีกับหน้า ให้คนไทยเจอแว่นที่ใช่ จากสกิลขั้นสูงที่ได้จากโรงเรียนทำแว่นเก่าแก่ในฝรั่งเศส รวมถึงความสำคัญในการถนอมดวงตาและการใส่ใจในคุณภาพของสิ่งที่อยู่ใกล้ตาเราที่สุด—ไม่ใช่แค่ดีต่อใจ แต่ยังดีต่อตาด้วย
Life MATTERs : เท้าความถึงงาน ‘เนตรวิฬาร์’ ที่ได้รับรางวัลสักหน่อยได้ไหม
เฟิร์น : งานชิ้นนี้เราได้แรงบันดาลใจจากที่เราทำแว่นคัสตอมเมดกับลูกค้า แล้วก็พบว่าผู้หญิงส่วนใหญ่จะชอบและอยากได้แว่นแคทอาย อาร์ตเขาก็เลยคิดว่าคอลเล็คชั่นแว่นแมวนี้ให้เป็นแว่นแมวไทยแล้วกัน ซึ่งแมวไทยแต่ละตัวก็มีคาแรคเตอร์ที่น่าสนใจอยู่แล้ว แล้วยิ่งพิเศษมากไปกว่านั้นคือมันจะพูดเรื่องความเชื่อของคนไทยสมัยก่อนว่า พันธ์นี้เลี้ยงแล้วจะรวย พันธ์นี้เลี้ยงแลวจะมียศถาบรรดาศักดิ์ ในแมวแต่ละสายพันธ์มันก็จะมีความเชื่อที่น่าสนใจ
อาร์ต : เราอยากทำอะไรที่มันเป็น traditional หน่อยๆ แต่ก็ไม่ไทยจ๋า เลยเป็นแบบไทยโมเดิร์น เรารีเสิร์ชมาเลยว่าถ้าเราจะทำแมว 9 ตัว แล้วมันจะสื่อถึงคาแรคเตอร์ของผู้หญิงแบบไหนบ้าง แล้วมันก็ไม่ใช่แว่นแฟนซี เราทำให้คนใช้งานได้จริงด้วย
งานดีไซน์หรืองานครีเอทีฟ อย่างแรกคือ มันก็คงต้องแก้ปัญหาอะไรสักอย่าง ทีนี้ในหมู่คนเรียนดีไซน์เห็นการแก้ปัญหาก็จะรู้สึกว่ามันมีอะไร แต่สำหรับผู้บริโภคที่เป็นแมส ถ้าเขาไม่เก็ตมันก็ไม่เก็ต เราเลยต้องใช้ story มาช่วย simplify คอนเซ็ปต์หรูหราให้คนเข้าถึงให้ได้
Life MATTERs : มีการใช้โคลงกลอนประกอบด้วย?
อาร์ต : ใช่ คือเราไปเจอสมุดข่อยโบราณ ที่มีกลอนประจำแมวแต่ละชนิด เห็นว่าน่าสนใจดี เลยเอามาประกอบงานดีไซน์ของเรา
Life MATTERs : คิดว่า ‘story’ สำคัญกับงานออกแบบแค่ไหน
อาร์ต : สำหรับผม อันนี้คิดเอาเองว่างานดีไซน์หรืองานครีเอทีฟ อย่างแรกคือ มันก็คงต้องแก้ปัญหาอะไรสักอย่าง ทีนี้ในหมู่คนเรียนดีไซน์เห็นการแก้ปัญหาก็จะรู้สึกว่ามันมีอะไร แต่สำหรับผู้บริโภคที่เป็นแมส ถ้าเขาไม่เก็ตมันก็ไม่เก็ต เราเลยต้องใช้ story มาช่วย simplify คอนเซ็ปต์หรูหราให้คนเข้าถึงให้ได้
เฟิร์น : ยังไงเราก็เชื่อว่า story สำคัญ มันเป็นตัวที่ทำให้โปรดักต์น่าสนใจมากขึ้น
Life MATTERs : ทำไมถึงเลือกดีไซน์แว่นตา
อาร์ต : ผมชอบแว่น ชอบสะสมแว่นอยู่แล้ว ส่วนเฟิร์นเขาก็จะมีร้านแว่นเป็นธุรกิจของครอบครัว วันหนึ่งเราก็เลยลองทำแว่นกันเล่นๆ เริ่มแรกก็จะเป็นพวกคอลเลคชั่นที่เล่นเกี่ยวกับเลนส์ คือมันมีข้อจำกัดว่าเรายังทำเฟรมเองไม่ได้ เราก็เลยลองเล่นดีไซน์คอนเซ็ปต์ เช่นวันวาเลนไทน์ก็ทำเลนส์เป็นรูปหัวใจ ช่วงซัมเมอร์คนไปเที่ยวทะเลก็ลองทำเลนส์ขีดๆ มีอินสไปร์มาจากเส้นขอบฟ้า คือในตอนนั้นปี 2013 มันยังไม่ค่อยมีใครทำ ยังไม่มีการเล่นกับเลนส์ด้วยซ้ำ แต่พอมาปัจจุบันแบรนด์ดังๆ ใหญ่ๆ เขาก็หันมาให้ความสนใจเลนส์กัน
เฟิร์น : พอเราได้ทำแบบเริ่มนับหนึ่งตั้งแต่แรกเลย มันก็ไม่ใช่แค่สนุก แค่ทดลองแล้ว เพราะว่าฟีดแบ็คดีด้วย เลยย้อนไปถึงตอนที่อาร์ตเคยถามเฟิร์นสมัยที่รู้จักกันแรกๆ ว่ารู้ไหมว่าแว่นทำยังไง ซึ่งมันเป็นคำถามเบสิกเลยนะ แต่เฟิร์นก็ตอบไม่ได้ ทั้งๆ ที่เห็นแว่นมาตั้งแต่เกิด พอเราเริ่มรู้สึกว่านี่คือสิ่งที่เราอยากรู้จักมากขึ้น เราก็เข้ากูเกิลเลย
Life MATTERs : สิ่งที่ทำให้ตัดสินใจไปเรียนอย่างจริงจังคืออะไร
อาร์ต : เราเสิร์ชไปเจอเมืองหนึ่งที่ฝรั่งเศส ชื่อเมืองมอเรซ อยู่ฝั่งตะวันออกติดกับสวิตเซอร์แลนด์ เป็นเมืองเก่าๆ ที่น่ารักมาก และเป็นศูนย์กลางการทำแว่นในศตวรรษที่ 16 เป็นเมืองที่รวบรวมโรงงานผลิตแว่นที่เยอะที่สุดในยุคนั้น แล้วเราก็ได้ไปดูพวกโรงงานที่เขาผลิตให้แบรนด์ดังๆ เช่น Chanel หรือ Cartier
เฟิร์น : ก็เลยตัดสินใจเลือกที่นี่ จริงๆ มันเป็นคอร์สสั้นๆ ใครจะเรียนก็ได้ แต่เราเป็นคนเอเชียกลุ่มแรกที่เข้าไป เขาไม่เคยเปิดคอร์สอินเตอร์เลย เพราะว่าอาจารย์ที่สอนเขาจะมีอายุหน่อย เป็นคนฝรั่งเศสที่ทำแว่น prototype มานานมากแล้ว เขาเลยมี know how ในการทำแว่นแฮนด์เมดตั้งแต่ต้นจนจบด้วยตัวเขาเอง ซึ่งคนพวกนี้แหละจับกลุ่มกันตั้งโรงเรียนนี้ขึ้นมา ซึ่งก็ตรงกับโจทย์ที่เราอยากรู้เลย
Life MATTERs : พอไปเรียนแล้วความคิดเปลี่ยนไปเลยไหม
อาร์ต : เปลี่ยนนะ จากที่ตอนแรกเราสนใจเรียนในเชิงแฟชั่นซะมากกว่า แต่พอมาที่นี่ซึ่งเป็นคล้ายๆ โรงเรียนช่าง เขาจะสอนเทคนิค วิธีทำให้เรา แต่เรื่องดีไซน์ เราต้องคิดเอง apply เอง แต่ความคิดที่เปลี่ยนไปคือ เราเจอความสำคัญของการทำแว่นเฉพาะบุคคล เป็นอันต่ออัน มันคือการออกแบบเพื่อแก้ปัญหา ใส่แว่นเพื่อแก้ปัญหารูปหน้าของคน เช่น คนผิดสรีระ ผิดกายภาพ ตาห่าง ตาชิด ตาเอียง ไม่มีใบหู ทีมที่เขาออกแบบพวกนี้เขาต้องไปโคกับทีมแพทย์ ทีมผู้เชี่ยวชาญ เพื่อแก้ปัญหากันเป็นรายบุคคลเลย
เฟิร์น : แล้วพอเราเรียนดีไซน์กันมา ก็มีไฟกันมาก วันแรกมาถึงฉันคือคนที่สเก็ตช์แว่นดีที่สุดในห้อง เรามันมาก อันนี้เป็นครึ่งเช้า เฟิร์นจำได้เลย พอมาครึ่งบ่ายปุ๊บ อาจารย์เปิดสไลด์ให้ดูเคสต่างๆ เช่นเด็กที่กะโหลกจิ๋วมาก มีปัญหาทางด้านสรีระ แล้วต้องใส่แว่น แต่มันไม่มีแว่นสำหรับเขาในตลาด อีกคนนึงเป็นผู้ชายไม่มีใบหูมาตั้งแต่เกิดแต่มีปัญหาทางด้านสายตา จำเป็นต้องใส่แว่น แล้วจะใส่ยังไงล่ะ เอาขาไปเกี่ยวยังไง เขาก็ต้องทำงานกับทีมแพทย์ แพทย์ต้องทำเป็นชิ้นเป็นอะไรขึ้นมาเชื่อมกับขาแว่น
Life MATTERs : เรื่องของสรีระที่แตกต่าง จุดประกายอะไรให้คุณ
อาร์ต : พอเรากลับมาคิด ก็เออ จริงนะ คนมีปัญหามันก็เยอะ ดังนั้นเขาไม่ได้มาตัดแว่นเพื่อสวยงามอย่างเดียว แต่มาตัดแว่นเพื่อแก้อะไรสักอย่าง เราก็เลยมาทำ custom made ดังนั้นเราจะเหมือนเป็นการบริการมากกว่า ช่วยแก้ปัญหา เป็นที่ปรึกษาให้ลูกค้า ทีนี้ดีไซน์จะเป็นเรื่องรองแล้วแหละ ความสบายต้องมาก่อน
เฟิร์น : คือเราก็ให้ความสำคัญกับเรื่องดีไซน์นะ เพราะว่าเราก็เรียนดีไซน์มา แต่ว่าความสบายจะมาอันดับหนึ่งก่อนเลย คือความพอดีก็เหมือนคนจะใส่สูทนั่นแหละค่ะ ที่มันจะต้องพอดีกับเราจริงๆ ไหล่ต้องเท่านี้ แขนต้องเท่านี้ไม่กว้างไป สูทบางอันเอวได้ แต่ไหล่แน่น คือถ้ามันถูกตัด ถูกวัดมาจากเราเลย มันจะพอดี เราจะรู้สึกดี ใส่สบายมาก
Life MATTERs : กระบวนการ custom made เป็นอย่างไรบ้าง
เฟิร์น : เราเริ่มจากวัดหน้าลูกค้า ด้านหน้า ด้านข้าง วัดจุดระหว่างตาดำ วัดไซส์จมูก เราทำเทมเพลตในการวัดขึ้นมาเพื่อเก็บข้อมูลให้เป๊ะที่สุด เพราะตรงนี้มันเป็นจุดสำคัญที่สุดในการใส่แว่น มันต้องไม่กดมากเกินไป และไม่หลวม เราเก็บข้อมูลทุกอย่างไว้เป็นตัวเลข เพื่อให้แว่นออกมาพอดีที่สุด
อาร์ต : แล้วก็ต้องคุยเรื่องการใช้งานด้วย ว่าเป็นแว่นประเภทไหน แว่นสายตา หรือแว่นกันแดด แล้วแว่นที่มีมันมีปัญหาอะไรบ้าง เราก็จะโน้ตไว้ แล้วก็จะมาคุยเรื่องแมททีเรียลกัน
ความรู้สึกที่บอกว่าตัวเองไม่เหมาะกับทรงกลมเลย ใส่แล้วอ้วน ดูหน้าใหญ่ อันนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เราบอกกับลูกค้าเสมอว่า ที่มันเป็นแบบนั้นเพราะมันไม่พอดีกับเขา
Life MATTERs : การเลือกแบบแว่นให้ลูกค้าอาศัยปัจจัยอะไรบ้าง
อาร์ต : คือบางคนมาแบบไม่มีไอเดีย คนส่วนใหญ่มาแล้วชอบถามว่าตัวเองเหมาะกับแว่นทรงไหน เราก็ตอบไปว่ามันก็ขึ้นอยู่กับว่าคนใส่ชอบแบบไหนนั่นแหละ ส่วนไอ้ความรู้สึกที่บอกว่าตัวเองไม่เหมาะกับทรงกลมเลย ใส่แล้วอ้วน ดูหน้าใหญ่ อันนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เราบอกกับลูกค้าเสมอว่า ที่มันเป็นแบบนั้นเพราะมันไม่พอดีกับเขา ถ้าอยากได้จริงๆ เราทำให้มันรองรับกับหน้าเขาได้ มันไม่มีกฎตายตัว
เฟิร์น : มีคนบอกเหมือนกันว่างานเราเป็นแว่นที่ฉีกกฎ เพราะเวลาคนหาแว่นอันแรก หรือไม่มั่นใจกับการใส่แว่น เขาจะเสิร์ช แล้วจะเจอกฎที่ว่าหน้าแบบนี้ห้ามใส่ทรงนี้เด็ดขาด ดังนั้นถ้าเขาหน้ากลมปุ๊บ เขาจะออกตัวก่อนเลยว่า เขาอะไรก็ได้ไม่เอาทรงกลม แต่สุดท้ายแล้วเขาเลือกทรงกลมกลับไปก็มี เพราะเราทำในลักษณะที่เป็นไซส์จริงออกมาเป็นกราฟิกบนหน้าให้ลูกค้าดูเลยว่า โครงหน้าลูกค้ากับแว่นทรงต่างๆ เมื่อตัดพอดีแล้วสัดส่วนโอเคไหม รู้สึกยังไง ให้เลือกดูหลายๆ ทรง เขารู้สึกดีกับอันไหน มั่นใจกับอันไหนก็ตัดอันนั้น
อาร์ต : ส่วนใครที่อยากเพิ่มเติมกิมมิกอะไรลงไปเราก็ใส่ให้ได้
เฟิร์น : แต่ทุกๆ ดีไซน์ที่ส่งไป จะเป็นประมาณ 3-4 ดีไซน์ที่เราเรคคอมเมนด์ เราคำนวณจากการวัดว่า 3-4 ทรงนี้คุณใส่ได้แน่ แต่ให้ลองดูอีกทีว่าชอบอันไหนมากที่สุด พอลูกค้าคอนเฟิร์มปุ๊บ เราก็เริ่มโปรดักชั่นค่ะ
อาร์ต : ทำแบบ คุยกันใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์ โปรดักชั่นทำแว่นก็ประมาณ 2 สัปดาห์ รวมๆ ก็ประมาณ 3 สัปดาห์ ไม่เกินนี้
Life MATTERs : โจทย์ที่พิสดารที่สุดที่เคยทำคืออะไร
เฟิร์น : อันหุ่นยนต์นี่ก็ถือว่าพิสดาร
อาร์ต : คือลูกค้าเขาชอบกันดั้ม เลยอยากได้แว่นที่เป็นกันดั้ม เราก็ หืม แว่นกันดั้มคืออะไร คุยไปคือมา เขาก็เอารูปหุ่นยนต์มาให้ดู ว่าอยากได้เป็นเหลี่ยมๆ แบบกันดั้ม เราก็เลยทำขึ้นมาให้เขา แล้วก็มีลูกค้าที่อยากได้แว่นสองข้างไม่เหมือนกัน ข้างนึงกลม อีกข้างนึงเหลี่ยม ความยากของมันคือทำให้มันบาลานซ์ จริงๆ สองข้างนี้ไซส์ไม่เท่ากันเลย อันกลมจะใหญ่กว่า เพราะเราต้องหลอกตาคน ถ้าเราทำเลนส์เท่ากัน เราจะรู้สึกว่าทรงกลมมันใหญ่กว่า
เฟิร์น : แล้วก็มีเพื่อนอีกคนหนึ่ง เขาเป็นนักวาดการ์ตูน อยากได้แว่นที่เบื่อโลกอารมณ์เหมือนนั่งทำงานอยู่แล้วเซ็ง เขาวาดมาให้เราดูแค่เป็นเส้นๆ แล้วก็ถามว่าได้หรือเปล่า อาร์ตก็บอกว่าได้ อยากได้ก็จะทำให้
อาร์ต : คือก็ลองดู เพราะเห็นอย่างนี้มันเหมือนง่าย เหมือนว่าทำได้เลย แต่พอมาทำให้ลงกับไซส์จมูกเขามันยาก เพราะมันไม่เกาะจมูก ซึ่งสุดท้ายเราก็ทำได้สำเร็จ
Life MATTERs : เวลาเจอโจทย์ที่ค่อนข้างสวิงสวาย มีวิธีทำงานอย่างไร
เฟิร์น : ต่อให้คอนเซ็ปต์พิสดารแค่ไหน เราก็ต้องให้ความสำคัญว่าเขาใส่ได้จริงนะ ไม่ใช่ทำออกมาแล้วเป็นแว่นแฟชั่น ขำๆ ตลกๆ อย่างของพี่โอ๋ ฟูตอง เขามีแบรนด์จิวเวลรี่ที่เขาชอบอยู่ก็ให้เราทำงานโคกับแบรนด์นั้น เอาเพรชมาใส่ห้อยแบบข้างเดียว เท่ๆ ในขณะเดียวกันมันก็จะพอดีกับรูปหน้าพี่โอ๋
คือแว่นทุกอันมันจะพิเศษตรงที่ถ้าเห็นแค่แว่น เราก็พอจะนึกออกว่าเจ้าของแว่นนี้คาแรคเตอร์เป็นยังไง แล้วพอเอามาวางหลายๆ อันมันจะรู้เลยว่า คนนี้เท่ คนนี้แนวหวานๆ คนนี้ฮา คนนี้ซ่าๆ มันจะชัดมากค่ะ เพราะว่าทั้งเชป ทั้งสี เขาเป็นคนตัดสินใจ มันมาจากลูกค้าหมด
อาร์ต : จะมีแว่นดอกไม้ที่ทำนานหน่อย คือตัวกรอบเป็นดอกเดซี่เลย ซึ่งตัวแว่นดอกเดซี่นี่เป็นแว่นวินเทจมาก่อน เป็นแว่นที่พวกฮิปปี้ใส่กัน คุณหนู นักร้องเก่าวง Kidnapper เขาอยากได้ เพราะซื้อแว่นเก่ามาจากจตุจักรแล้วใส่ไม่ได้ มันเล็ก เลยเอาแบบมาให้เราทำ ตอนแรกเขาก็แบบเขินๆ หน่อย แต่เราก็บอกเขาว่าทำได้ ลองดู
เฟิร์น : แต่ตอนมารับเขาก็ใส่ไปเลย (หัวเราะ)
อาร์ต : พอมันเป็นทรงที่พิสดาร ความยากคือการคำนวณระหว่างตาจมูกให้มันพอดี
เฟิร์น : ช่วงที่เป็นกลีบดอกไม้ มันก็จะมีแป้นจมูกพอดี ซึ่งจุดนั้นมันต้องรับกัน คือมันเป็นการคำนวณที่ยากมากๆ
อาร์ต : คือมันก็จะทำนานหน่อย เราจะบอกกับลูกค้าว่าเราทำได้ทุกทรงที่มีบนโลกและไม่มีบนโลก เหมือนลูกค้าที่มาจะมีสองกลุ่ม กลุ่มแรกจะเป็นกลุ่มที่มีปัญหา หาแว่นในตลาดไม่ได้ กับอีกกลุ่มหนึ่งที่มีแว่นเยอะมากจนมองข้ามแบรนด์เนมไปแล้ว เขาอยากได้แบบที่ต้องการจริงๆ เน้นคุณภาพและใส่พอดีไปเลย
Life MATTERs : ผลตอบรับของลูกค้าเป็นอย่างไรบ้าง
อาร์ต : มันดีขึ้นเรื่อยๆ เลยครับ อย่างตอนแรกที่เข้ามาใหม่ๆ คนก็ไม่ค่อยเข้าใจว่า custom made คืออะไร
เฟิร์น : ใช่ อันนี้สำคัญเลย คือเราต้องค่อยๆ อธิบาย
อาร์ต : คือเขาคิดว่ามาเลือกหน้าแว่น มาเลือกขาแว่น เลือกสี ซึ่งมันก็มีคัสตอมอย่างนั้นนะ แต่ว่าของเราทำมากกว่านั้น พอเราได้ทำออกมาเยอะๆ คนก็จะปากต่อปาก เริ่มเข้าใจมากขึ้น
เฟิร์น : ด้วยความที่เราทำงานดีไซน์แล้วกลุ่มเพื่อน คนรอบข้าง ก็จะเป็นดีไซน์เนอร์ เป็นอิลัสเตรเตอร์ ทำงานโฆษณา ดนตรี ก็จะวนๆ อย่างนี้ เราก็เลยคิดว่าลูกค้าเราก็คงอยู่ในกลุ่มนี้แหละ แต่พอถึงเวลาจริงๆ แมสเสจที่เราพูดออกไปว่าเราให้ความสำคัญกับอะไรบ้าง และวิธีการของเราคืออะไร ทำให้มันดึงคนใส่แว่นทั่วๆ ไป เข้ามาด้วย จริงๆ แล้วคีย์มันก็คือคำว่า ‘คนใส่แว่น’ คนใส่แว่นเป็นประจำทุกคนต้องการแว่นที่พอดี
อาร์ต : มีคนถามว่าทาร์เก็ตของเราคืออะไร ทาร์เก็ตเราคือคนใส่แว่นเนี่ยแหละ ทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย ทุกอาชีพเลย
Life MATTERs : แล้วงานแบบไหนที่สนุกที่สุด
อาร์ต : เราชอบลูกค้าที่ให้ทำแบบแปลกๆ เราอยากทำอะไรใหม่ๆ คือไม่ได้ว่าลูกค้าที่ อ่า ฉันเอาทรงแบบนี้นะ เลือกทรงธรรมดา เพราะสุดท้ายแล้ว พอยท์ของมันคือความพอดี ไม่ใช่รูปทรง
เฟิร์น : ใช่ๆ คือเฟิร์นจะรู้สึกดีมากที่สุดเวลาที่ลูกค้ามารับแว่นแล้วลองใส่ วินาทีที่เขาสวมเข้าหน้า มันจะรู้สึกเหมือนสวมรองเท้าแก้ว มันจะฟริ้ง… ลูกค้าเขาก็จะบอกว่ามันสบายมากเลย เราชอบบรรยากาศแบบนี้
กรอบแว่นจะไปซื้อตลาดนัดก็ได้ แล้วค่อยเอามาทำเลนส์ซึ่งเป็นเรื่องที่ควรลงทุน เพราะเลนส์กันแดดที่ราคาถูกๆ ส่วนใหญ่มันจะไม่ค่อยโค้ท ไม่ค่อยกันยูวี พอเราใส่ไปโอกาสที่จะตาเสียมีเยอะ สามารถเป็นต้อในตอนแก่ได้ เพราะรูม่านตาเราจะขยายเวลาอยู่ที่มืด ดังนั้นเราจะรับยูวี
ไปเต็มๆเลย ไม่ใส่ยังจะดีกว่า
Life MATTERs : สำหรับคนที่ยังไม่ค่อยอินงานดีไซน์และบอกว่างานพวกนี้ราคาแพง จับต้องยาก คุณมีความเห็นอย่างไร
เฟิร์น : คือเรื่องราคา เราเข้าใจแหละ เข้าใจเลย เพราะตอนเด็กๆ เราก็ไม่ซื้อเสื้อยืดราคาสองพันเหมือนกัน แต่สำหรับแว่นเราก็จะบอกลูกค้าตลอด educate ลูกค้าเรื่องเลนส์ว่าให้เลือกใช้เลนส์ดีๆ จะดีกว่า
อาร์ต : คือกรอบแว่นจะไปซื้อตลาดนัดก็ได้ แล้วค่อยเอามาทำเลนส์ซึ่งเป็นเรื่องที่ควรลงทุน เพราะเลนส์กันแดดที่ราคาถูกๆ ส่วนใหญ่มันจะไม่ค่อยโค้ท ไม่ค่อยกันยูวี พอเราใส่ไปโอกาสที่จะตาเสียมีเยอะ สามารถเป็นต้อในตอนแก่ได้ เพราะรูม่านตาเราจะขยายเวลาอยู่ที่มืด ดังนั้นเราจะรับยูวีไปเต็มๆเลย ไม่ใส่ยังจะดีกว่า
เฟิร์น : พวกเทรนด์แฟชั่นด้วยเหมือนกัน ตอนนี้เหมือนคนจะนิยมเลนส์ สีส้ม สีแดง สีเหลือง สีสดๆ ซึ่งจริงๆ แล้วมันอาจจะไม่ได้เหมาะกับการใส่กลางแดดตอนกลางวัน คือถ้าย้อนไปสมัยก่อนมันจะมีแว่นเลนส์สีเหลือง เขาจะเขียนไว้เลยว่าสำหรับตอนกลางคืนเท่านั้น หรือสำหรับตอนแสงน้อย มันจะช่วยลดคอนทราสต์ จุดที่สว่างเกินมันก็จะฟุ้งขึ้น จุดที่มืดก็จะเห็นรายละเอียดมากขึ้น มันก็เลยดีกับการขับรถ แต่ว่าด้วยเทรนด์ หรือด้วยอะไร ทำให้คนไทยเอามาใส่ตอนกลางวันแดดๆ เฟิร์นเห็นแล้วแสบตาแทน คือเราก็เคยลองใส่ ชอบเหมือนกัน โอเคมันสวย แต่ก็เรื่องเลนส์มันเป็นอะไรที่สำคัญไม่ควรมองข้ามนะ
Life MATTERs : พอทำงานอยู่กับแว่นอย่างเดียว เคยเบื่อ หรืออยากหนีออกจากมันบ้างไหม
อาร์ต : ยังนะ คือมันก็เหนื่อย แต่ว่าโจทย์มันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เลยไม่เบื่อ
เฟิร์น : เฟิร์นยังคุยกับอาร์ตเลยว่า มันสนุกตรงนี้แหละ ตรงที่เราจะได้เจอคนใหม่ๆ ที่ไม่เหมือนเราเลย ทั้งวิธีคิด วิธีการเลือก การตัดสินใจ หรือความชอบ สไตล์ ทุกอย่างเปลี่ยนไปทุกครั้งที่เรามีลูกค้าเข้ามา เราก็ยอมรับแหละว่าประสบการณ์เรายังไม่ได้มาก ไม่ได้เคยทำทุกสิ่งมาแล้ว ดังนั้นเราก็เลยรู้สึกว่าใหม่ รู้สึกยังเฟรชกับทุกโจทย์ค่ะ
Photos by Adidet Chaiwattanakul