เรานัดกับ กุ๊ก—ชนิดา วรพิทักษ์ เจ้าของแบรนด์แอคเซสซอรี่ Cuscus the Cuckoos ที่โชว์รูมกลางซอยแห่งหนึ่ง ก่อนจะได้รู้เมื่อไปถึงที่หมายว่าโชว์รูมนั้นไม่ได้ตั้งอยู่ริมถนน แต่กลับซ่อนตัวอยู่ในห้องเล็กๆ กลางสนามหญ้าหลังบ้าน และแชร์พื้นที่กับร้านขายเครื่องดนตรีอิเล็กทรอนิกของเอิ๊ก—วรณัฐ วรพิทักษ์ผู้เป็นสามี (ที่ก็ใช้สเปซเล็กพอๆ กัน)
นอกจากร้านเครื่องดนตรีที่โชว์รูมนี้แชร์พื้นที่ร่วมกันแล้ว ในบริเวณยังมีบ้านอันเป็นที่อยู่ของคนหลายเจเนอเรชั่น มีสตูดิโอที่กุ๊กเอาไว้ทำงาน ห้องของเล่นของลูกชาย ห้องสมุดของคุณพ่อสามี ไปจนถึงห้องเลี้ยงสัตว์ exotic ของกุ๊กและเอิ๊กอีกด้วย
ภายในรั้ว ทุกคนได้มีสเปซของตัวเองและเป็นสเปซที่เล่าความเป็นตัวตนของเจ้าของแบบสุดๆ เช่น โชว์รูมของกุ๊กที่ประกอบไปด้วยสารพัดของสะสมที่หลอมรวมมาเป็นตัวตนและผลงานของเธอในวันนี้
ไม่เพียงแค่การจัดการพื้นที่ แต่โปรดัคต์จี๊ดๆ ของ Cuscus the Cuckoos ที่กำเนิดขึ้นในสเปซแห่งนี้ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน ทั้งในแง่การใช้สีสันที่ฉูดฉาด ภาพวาดสัตว์ที่เป็นซิกเนเจอร์ รวมไปถึงวัสดุคุณภาพสูง ทั้งหมดนี้ทำให้เราอดไม่ได้ที่จะชวนเธอพูดคุยทั้งเรื่องสเปซและไอเดียเบื้องหลังชิ้นงานไปพร้อมๆ กัน
Life MATTERs : แบรนด์ Cuscus the Cuckoos เริ่มต้นจากการมีพื้นที่ช็อปแค่ในโลกออนไลน์ อะไรคือสิ่งที่ทำให้คุณเลือกที่จะเปิดโชว์รูมตรงนี้ขึ้นมา
กุ๊ก : มาเริ่มรู้สึกว่าควรจะมีก็ตอนที่สามีบอก คือเราไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนอะไรเพราะเราขายในไอจีเป็นหลักอยู่แล้ว แต่พอไปออกร้านป๊อปอัพ คนก็ชอบถามว่าทำไมลายต้องเป็นกุ้ง ทำไมต้องเป็นตัวนั้นตัวนี้ เราก็ตอบไม่ได้เพราะไอเดียเรามีที่มากระจัดกระจายมาก รวมกันหลายอย่าง เลยบอกให้เขามาดูที่บ้านเราเลยละกัน
เราเป็นคนชอบเก็บของ ที่วางในร้านเป็นแค่ส่วนหนึ่งที่ที่เราเลือกมาแล้วว่าชอบ เราเอามาให้คนเห็นตรงนี้ มันก็น่าจะช่วยบอกตัวตนของเราได้มากกว่าการที่เราไปบอกเขาว่าฉันเป็นคนชอบแบบนั้นแบบนี้นะ เวลาลูกค้ามาบ้านเขาก็จะเห็นเองแล้วจะไม่ถามอะไรเท่าไหร่ ก็รู้สึกว่ามันดีที่มีสถานที่ที่ให้งานมันพูดด้วยตัวของมันเอง
Life MATTERs : แปลว่าถ้าเข้ามาที่นี่ก็เหมือนได้รู้จัก ‘กุ๊ก’ แบบวิชา 101 เลยหรือเปล่า
กุ๊ก : คิดว่าน่าจะรู้จักนะ อย่างเราไปบ้านเพื่อนเราก็จะมองว่าเขาอ่านหนังสืออะไร เขาชอบห้องสีอะไร เราคิดว่าที่นี่จัดไว้ประมาณนึงก็คิดว่าจะรู้จักกันมากขึ้น
Life MATTERs : คุณใช้เวลาในการสะสมของนานไหม มีชิ้นไหนในห้องนี้ที่ชอบเป็นพิเศษหรือเปล่า
กุ๊ก : จริงๆ เราชอบตุ๊กตาเก่า เลยซื้อเหมามาจากเว็บออนไลน์แบบยกเซ็ตเลย เรารู้สึกฟิกเกอร์ว่าแต่ละอันอยู่รวมกันแล้วมันหลอนดี ไม่ชอบซื้อทีละชิ้น ชอบให้มันมาในกล่องหลายๆ ตัว เป็นความสุขใจเวลาแกะกล่อง แล้วเห็นของพวกนี้ คือเรามองมันเป็นสมบัติอย่างหนึ่ง แต่ไม่ได้ชอบตัวไหนแบบเฉพาะเจาะจงเป็นพิเศษชอบให้มันมาอยู่รวมกัน
Life MATTERs : นอกจากจะใช้เป็นหน้าร้านแล้วแล้วคุณชอบคิดงานที่ห้องนี้ด้วยมั้ย
กุ๊ก : ไม่ค่ะ ชอบคิดที่สตูดิโอมากกว่า (อยู่บนชั้นสองของตัวบ้าน)
Life MATTERs : สถานที่มีผลกับการคิดงานมากน้อยแค่ไหน
กุ๊ก : เมื่อก่อนเราคิดว่าไม่มี แต่เดี๋ยวนี้มี เมื่อก่อนบ้านรกมาก มีลูกด้วย เราก็ไม่มีเวลาทำอะไรนอกจากดูเขา บ้านเลยรก ก็จะคิดอะไรไม่ค่อยออก แต่พอมาเริ่มจัดบ้าน ทำอะไรให้มันดูลงตัวมากขึ้นมันก็น่าทำงาน งานก็โฟลว รู้สึกว่ามันก็มีส่วนเต็มๆ หรืออย่างการมีต้นไม้มันก็มีความสดชื่นขึ้น ดีกว่ามานั่งแห้งๆ
Life MATTERs : แอบเห็นว่าคุณเลี้ยงสัตว์ไว้หลายตัวด้วย การเลี้ยงสัตว์ไว้ในบ้านมันช่วยให้งานลื่นขึ้นไหม
กุ๊ก : ช่วยๆ มันช่วยให้ผ่อนคลาย บางทีงานเครียดๆ นึกอะไรไม่ออก ตัน เรามาทำความสะอาดกรงสัตว์แล้วคิดออก มันก็เหมือนการทำสมาธิอย่างหนึ่ง แล้วฝึกตัวเองให้มีความรับผิดชอบได้ด้วย ตื่นมาเราก็จะไม่ฟุ้งซ่าน
จริงๆ ตอนนี้เราทำงานได้เพราะลูกด้วย เพราะเวลาเราน้อยลง เรามีเวลาว่างแค่ 2 ชั่วโมงต่อวัน เราจะใส่เต็มมาก จะไม่มีเวลาวอกแวก เราจะมีภาพในหัวเหมือนรอกดปุ่มสตาร์ท พอจงอางหลับปุ๊บ เราก็กดปุ่มเลยมันดีกว่าตอนที่ไม่มีลูกอีก ตอนนั้นชิลมาก
Life MATTERs : คุณมีการตกลงเสปซอย่างไรกับสามี เพราะสองห้องนี้ใช้ผนังร่วมกันแต่เหมือนอยู่คนละโลกเลย
กุ๊ก : เราไม่มีสิทธิ์เลือกเลย (หัวเราะ) เพราะเขาจะเป็นคนเรื่องมากในเรื่องการทำงาน เรื่องดีเทล ต้องบอกเลยว่าตรงนี้คือของเขา ตรงนี้คือของเรา เพราะเขาทำซาวด์ มันเลือกที่มากไม่ได้ แล้วเวลาเปิดเครื่องดนตรีอิเล็กทรอนิกมันจะแรงมากห้องก็ต้องเป็นเก็บเสียงได้ด้วย
Life MATTERs : นอกจากการแบ่งสตูดิโอกับร้าน Sathon Chainsaw แล้ว มีการจัดสรรพื้นที่อื่นๆ ในบ้างอย่างไรบ้าง
กุ๊ก : บ้านนี้มีคุณพ่อคุณแม่สามีอยู่ด้วย มีเจนพี่สาวของสามีอีกที่อยู่บ้านข้างๆ มีเจนของเรา แล้วก็มีรุ่นเด็กคือลูกๆ
ซึ่งพื้นฐานเดิมเราอยู่คอนโด แล้วจะชินกับการที่ต้องมีของทุกอย่างอยู่ในชั้นเดียว พอแต่งงานคุณแม่ก็เลยทำชั้น 2 ให้เป็นของครอบครัวเราไปเลย ให้อยู่กับสามีกับลูก
ส่วนพ่อสามีเป็นช่างภาพก็จะต้องการพื้นที่นั่งรีทัชรูป หรือพบปะเวลาเพื่อนฝูงมา เขาก็จะมีสเปซของเขา คือมีที่ของใครของมันเลย หรือลูกชายเราชื่อน้องจงอางเขาก็จะมีห้องอยู่ข้างห้องเรา มีห้องของเล่นเด็กเปิดรับลมธรรมชาติ
Life MATTERs : ทั้งๆ ที่เป็นครอบครัวใหญ่แต่ก็มีพื้นที่ส่วนตัวเยอะเหมือนกันเนอะ
กุ๊ก : เยอะมาก (เน้นเสียง) แต่จริงๆ นี่ถือว่าเป็นบ้านขนาดกลางนะ ไม่ใช่ว่าใหญ่อะไรมาก บ้านในซอยนี้ส่วนใหญ่ก็จะอยู่รวมเจนกันแบบนี้ทั้งนั้นเลย
Life MATTERs : บ้านหลังนี้เหมือนมีการต่อเติมหรือปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา ตอนนี้คุณยังมีแพลนที่จะปรับปรุงสเปซอะไรอีกหรือเปล่า
กุ๊ก : ตอนนี้พื้นที่ข้างหน้าเรามีแพลนจะทำเป็นกึ่งๆ เกสเฮาส์ 4 ชั้น ชั้นล่างจะเป็นร้านคัสคัสที่ใหญ่ขึ้น มีเวิร์กช็อป ชั้นบนก็ไว้ให้เช่าทำซาวด์เพราะเอิ๊กเขาก็มีแพลนที่จะดึงนักดนตรีระดับโลกที่ชอบแนวเดียวกับเขามา เป็นนักดนตรีที่ไม่มีคนโปรโมตแต่เราจะเอาเข้ามาเพื่อให้คนรู้จักว่ามันมีดนตรีแบบนี้ในเอเชียเหมือนกัน
ส่วนชั้น 3 – 4 ก็จะเป็นห้องเช่า เป็นธีมเกี่ยวกับความฝัน คนที่เข้ามานอนเราจะมีชาเสิร์ฟ ซึ่งชานี้จะทำให้หลับลึกแล้วฝันเห็นอะไรบางอย่างในจิตใต้สำนึก แล้วก็จะมีสตอรี่ต่างๆ เกิดขึ้น แต่ขออุบไว้ก่อน
Life MATTERs : มาพูดถึงงานที่เกิดขึ้นในสเปซนี้กันบ้าง ชื่อแบรนด์ Cuscus the Cuckoos มีที่มาจากอะไร
กุ๊ก : ชื่อแบรนด์ Cuscus the Cuckoos นี่มาจากชื่อเราคือชนิดากับกุ๊ก ถ้าเป็นภาษาอังกฤษมันก็จะเป็นตัวย่อ CC เราก็เลยไปเสิร์ชดูในเน็ตว่าจะเอาชื่อสัตว์อะไรมาตั้งเป็นชื่อแบรนด์ดีที่มีตัวย่อว่า CC ก็บังเอิญเจอลิงที่ชื่อ Cuscus พอดี มันเป็นลิงที่อยู่ที่เมลเบิร์น หน้าน่ารัก เห็นแล้วทุกคนจะต้องกรี๊ด
Life MATTERs : อะไรคือแรงบันดาลใจที่ทำให้คุณมักใส่สัตว์ต่างๆ ลงไปในลายผ้าของคุณ
กุ๊ก : เราชอบเป็นการส่วนตัว อีกอย่างคือเราคิดว่าโครงสร้างหรือเชปมันน่าสนใจ มันเป็นของที่ทุกคนรู้จัก ไม่ส่วนตัวเกินไป ไม่แอ็บแสตร็กต์เกินไป จะเขียนให้ดูน่ารักก็ได้ ดูเหมือนจริงสวยงามก็ได้
แต่จริงๆ ก็ไม่ได้อยากให้เป็นสัตว์ไปตลอด แพลนไว้ว่าอยากจะวาดเมืองเก่า บ้านเก่าในกรุงเทพ หรืออย่างปีนี้เราก็ปักเสื้อสูททั้งเซ็ต เป็นธีมเกี่ยวกับเพลง เกี่ยวกับบรรยากาศในการฟังเพลง ถ้าพูดถึงเพลงนี้จะเห็นซีนในหัวเป็นอย่างไรสูทตัวนั้นก็จะเพนต์ซีนนั้นแล้วปักชื่อเพลงลงไป
คือมันเฉพาะคนมาก ถ้าคนนั้นชอบเพลงเดียวกับเรา เขาเห็นสูทตัวนี้เขาจะรู้เลย จะทำประมาณ 6 ตัวเป็นคอลเล็คชั่นที่ไม่ใช่สัตว์ละ เป็นซีนเมือง ซีนบรรยากาศแทน
เราพยายามหนีออกจากสัตว์เพราะกลัวว่าคนจะเบื่อ แต่เอาเข้าจริง เราก็ยังถนัดวาดเสือ วาดไปแล้วก็วาดซ้ำกลายเป็นพยายามหนีก็หนีไม่ได้เลยทำไปก่อน แล้วเรากลัวว่าพอไปทำอย่างอื่นจะทำไม่ได้เพราะไม่ชินกับมัน
อย่างตอนนี้ก็เริ่มมีออเดอร์เข้ามา เช่น เราไปเที่ยวแล้วเจอเสือที่สวยมาก พอกลับมาแล้วเราวาด ก็มีพี่คนนึงบอกว่าวาดภาพนี้ให้หน่อย มีเสือด้วย เราก็โอเคได้ แต่พอมีพี่อีกคนบอกขอทาร์ซานหน่อย เราก็อิกนอร์ละเพราะเราทำไม่ได้ (หัวเราะ) เราไม่รู้ว่าทาร์ซานของเขากับของเรามันเป็นแบบไหน
เรามองว่าตัวเองไม่ค่อยถนัดรับงานตามออเดอร์ขนาดนั้น แต่ก็เริ่มเพิ่มงานสไตล์อื่นด้วย ให้เขาลบภาพสัตว์เลี้ยงเราไปหน่อย จริงๆ ก็คงหนีไม่ได้หรอก เพราะเราเป็นคนชอบคาแรคเตอร์แบบนี้ คงไม่เลิกทำ แต่จะเพิ่มให้มันกว้างขึ้น
Life MATTERs : เวลาคุณชอบสัตว์ตัวหนึ่งแล้วอยากเอามาวาดเป็นรูป คุณจะเริ่มจากอะไรก่อน
กุ๊ก : อย่างอันนี้ (ชี้ที่ลายเสือ) เราจะ recall ลายเสือทั้งหมดที่เราเคยเห็นในชีวิต แล้วก็คิดว่าเราอยากได้แบบไหนถึงจะไปเสิร์ชในอินเทอร์เน็ตอีกทีเพื่อดูว่าโครงสร้างมันเป็นยังไง
มันเป็นเพราะเราไม่ใช่พวกเป๊ะในการเขียนฟิกเกอร์ ถ้าเห็น บางอย่างเรายังเขียนเบี้ยวอยู่เลย ถ้าเป็นการรวมกันของหลายๆ เสือ หลายๆ สี เราก็มาจะมาค่อยๆ ร่างมัน หรือบางอันมันมีต้นแบบเราก็จะดูแล้ววาดตาม ต้องศึกษาให้ดีนิดหนึ่ง
อย่างลายเสือโคร่งเป็นยังไง เสือทิเบตจะตาเหลือกหน่อย หรือเสือดำหน้าจะเป็นยังไง นึกแล้ววาดเลยก็อาจจะเละ เพราะเราไม่ใช่คนเขียนอนาโตมี่เป๊ะขนาดนั้น
Life MATTERs : แล้วจริงๆ แล้วคนที่วาดรูปสัตว์ควรวาดอนาโตมี่เป๊ะมากมั้ยในความคิดของคุณ
กุ๊ก : โห ไม่ต้องเลย นอกจากเราจะเป็นสายดรอว์อิ้งสวยๆ มันอยู่ที่ความถนัดของแต่ละคนมากกว่า บางคนก็บอกว่าที่เราวาดมันดูแห้ง แข็ง หรือบางคนเขาก็ชอบแบบที่เป๊ะๆ ดินสอคม ของเราทุกตัวคือวาดเสร็จ แสกน แล้วทำเลย ไม่คิดมาก
เราเชื่อในดีไซน์แรก เราเคยทดลองกับตัวเองแล้วเพราะเราทำอาร์ตไดฯ แฟชั่นออนไลน์มาเยอะมาก ตรวจงานสิบแบบ สุดท้ายมันจะกลับไปแบบแรกเสมอ เฟิร์สไอเดียมันดีที่สุดแล้วไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่มันก็แล้วแต่สายงานด้วย ของเรามันไม่มีลูกค้าไง มันคือการทำยังไงก็ได้ให้เราพอใจมากกว่า
Life MATTERs : เท่าที่เห็นคุณมีหนังสือจากศิลปินหลายคน คุณได้แรงบันดาลใจจากศิลปินคนไหนเป็นพิเศษมั้ย
กุ๊ก : ศิลปินนี่จริงๆ เราชอบทุกคนเพราะว่าเราเรียนกราฟิกดีไซน์มา เรารู้ว่าแต่ละคนมันมีความยากลำบากในชีวิตกว่าจะมาเจอตัวตน หรือคนที่ไม่ดังเลย คนที่ไม่เคยโดนตีตราว่าประสบความสำเร็จ คนนั้นน่ะน่าสนใจ
คือเราไม่ได้มีไอดอลเป็นศิลปินขนาดนั้น มีแค่บางคนที่บังเอิญเจอ คุยกันแล้วก็เป็นไอดอลเราได้ เช่น อาจจะเป็นเพื่อนเราเอง หรือเป็นคนที่สอน jewelry ที่เราไปเรียน อย่างนั้นแหละ
แต่ถ้าถามว่าชอบงานศิลปะของใครมากที่สุดเราว่าน่าจะเป็นของ Francis Bacon ที่เขาเขียนภาพแล้วเขาหลอน เราชอบงานแบบนั้นมาตั้งแต่เด็ก แล้วด้วยความบังเอิญ หนังที่เราชอบก็มักจะมีงานของ Francis เข้าไปสิงอยู่ในหนังเราก็รู้สึกว่าคงใช่แล้วแหละ ชอบ
แล้วก็มีงานของ David Hockney อันนั้นก็สีสวย น่ารัก แล้วส่วนใหญ่มันจะดูโลกสวยแต่พอไปดูประวัติเขาแล้วมันไม่ใช่ มันต้องศึกษาเรื่องส่วนตัวนิดหนึ่งมันถึงจะอินมากๆ ส่วนตัวไม่อยากอินอะไรมากเพราะมันอินแล้วเศร้า พอไปรู้ประวัติลึกๆ แล้ว โห ทำไมมันเศร้าขนาดนั้น
Life MATTERs : คุณบอกว่าศิลปินที่ไม่ประสบความสำเร็จนั้นมีความน่าสนใจ แต่อะไรเป็นปัจจัยที่เขาไม่ประสบความสำเร็จ อะไรคือสิ่งที่จะทำให้ศิลปินประสบความสำเร็จ
กุ๊ก : มันยากเนอะ อาจจะเป็นเพราะจังหวะชีวิตหรือเปล่า หรืออาจจะเป็นเพราะรางวัล ถ้าเป็นบ้านเรา ใครที่ได้รางวัลคนนั้นจังหวะชีวิตไปอีกเรื่องหนึ่งเลย หรือว่าเป็นโอกาสชีวิตที่เขาไปเจอใครสักคนที่ซัพพอร์ตแล้วตีพิมพ์เรื่องของเขา
สมัยก่อนมันไม่มีเฟซบุ๊ก มันไม่มีสื่อของตัวเอง ไม่มีไอจี คนจะเกิดได้ก็เพราะคุณได้ลงหนังสือหรือว่าคุณมีรางวัลแล้วหัวหน้าดึงตัวคุณไปบริษัทต่างๆ แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แบบนั้นแล้ว
อย่างศิลปินหน้าใหม่มันจะต้องมีกลุ่มคนที่เข้าไปชอบงานของเขา แม้จะไม่ดังมากแต่เขาจะมีแฟนคลับ เรารู้สึกว่ามันมีความหวัง มีคนกลุ่มแบบนี้เยอะมากที่พยายามอยู่ให้ได้ในเวย์ของตัวเองโดยที่ไม่ต้องมีชื่อเสียงก็ได้ มีความสุขกว่า
Life MATTERs : ทุกวันนี้คุณมีวิธีหาความรู้หรือ input ใหม่ๆ มาสร้างงานยังไงบ้าง
กุ๊ก : เคยคิดอยากเรียนต่อโท ต่อเอกเหมือนกัน แต่เอาเข้าจริงเรารู้สึกว่ามันอาจจะไม่ได้ช่วยเราขนาดนี้
การเรียนของเราจริงๆ คือปิดสื่อต่างๆ หมดเลย คือไม่ดูหนังสือแฟชั่น ไม่ดูพินเทอเรสต์ ไม่ต้องดูอะไรเลย แล้วตอบให้ได้ว่าวันนี้คุณอยากทำอะไร ทำสมาธิกับสิ่งนั้น
สมมติมีเสื้อสูทตัวหนึ่งเป็นของวินเทจ จะทำยังไงให้เราเองเราอยากใส่ เอาแค่นั้น ง่ายๆ ไม่ต้องหลอกตัวเองว่ามันเป็นสุดยอดคอลเล็กชั่น เอาว่าเราอยากใส่แบบไหน เราก็เชื่อว่าจะมีคนที่อยากใส่แบบเราบ้าง นั่งคิด นั่งคุยกับมัน แล้วก็ทำมันออกมา
แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เราไปนั่งดูพินเทอร์เรสต์นะไอเดียมันจะมาไม่หยุดเลย มันจะเหมือนคนฟุ้งซ่าน จะคิดๆๆ อยากนั่นอยากนี่ ก็เครียดเหมือนกัน แล้วตอนนี้แบรนด์ต่างๆ เก่งๆ เยอะมาก การแข่งขันก็เหนื่อย ถ้าเรากระโดดลงไปอีกคนมันโคตรเหนื่อยเลยอะ เราก็เลยทำไปเรื่อยๆ คิดว่าอย่างนี้ก็คือการเรียนของเราอีกแบบแล้ว แต่เป็นด้วยตัวเราเอง คือทำไปเรื่อยๆ
อีกส่วนก็คือเรียนกับคนอื่นที่ไม่ใช่ในหลักสูตร เราเคยไปเรียนงานปักของคนฝรั่งเศส เขาเริ่มปักจากด้านหลัง ซึ่งมันง่ายมาก แต่เราไปเรียนแล้วถอดใจเพราะรู้สึกว่าตัวเองไปติดกับเทคนิก
เรารู้สึกว่าคนเราทำอะไรมันต้องไม่มีข้อจำกัด ซึ่งพอไปเรียนทำ jewelry กับครูญี่ปุ่น เขาก็จะสอนในเรื่องการสื่อสารกับแมททีเรียล ซึ่งการเรียนคอร์สนี้คือเปลี่ยนโลกไปเลย แต่ถ้าเป็นคอร์สของครูชาวเนเธอร์แลนด์ก็จะเป็นอีกมู้ดนึงเลยคือ
เขาจะให้กระดาษมา 30 แผ่น อยากวาดอะไรก็วาด เปิดเพลงฟัง แล้วเขาก็บอกว่าระหว่างทางที่ทำก็คืองานนะ มันก็จะได้วิธีคิดงานในหลายๆ แบบ เราว่าถ้าไปเรียนเจาะลงไปมากๆ กลับมามันตันเหมือนกันนะ เพราะงานที่เราทำมันเป็นตัวเราค่อนข้างมาก
Life MATTERs : ดูคุณเป็นคนที่ทำอะไรตามสัญชาตญาณมากเลย
กุ๊ก : ใช่ๆ ประมาณนั้น คือตื่นมาเรารู้สึกว่าอยากจะทำอะไรเราก็ทำ กับทุกเรื่องเลยไม่ว่าจะเป็นเรื่องชีวิตคู่หรือเรื่องอะไรเราจะใช้สัญชาตญาณตัวเอง
ขนาดแมวสฟิงซ์ที่เพิ่งซื้อมา ก่อนตายเราเอาไปไว้ที่บ้านน้องที่เป็นหมอหมา เราหลับไปแล้วรู้ว่าคืนนี้มันไปแน่ๆ ในความรู้สึกเรารู้สึกว่ามันสื่อกัน หรือตอนสัตว์ตัวอื่นที่บ้านตาย มีบางวันเราตื่นมาแล้วเราก็บอกเพื่อนว่าวันนี้ฉันเศร้ามาก หรือฮอร์โมนส์ตก ก็เดินบ่นทั้งบ้านเลยปกติไม่ได้เป็นแบบนี้ ตอนเย็นมาสามีมาบอกว่ากิ้งก่าตายแล้วแต่เขาก็ไม่กล้าบอกเรา คือเขาก็ทำใจทั้งวันกลัวเราเศร้า
หรือบางทีเรารู้สึกว่าเชปกุ้งมันสวยดี เรามีความชอบอยู่แล้วผสมกับอะไรหลายๆ อย่าง จริงๆ มันก็เป็นเรื่องที่บอกยากเหมือนกันนะ เคยมีคนติดต่อมาให้ไปทำเวิร์กช็อป เราก็บอกว่า โห เราจะไปสอนใครได้เพราะในหัวเรายังรวบรวมไม่รอดเลย (หัวเราะ)
Life MATTERs : นอกจากลายภาพวาดที่คุณเลือกวาดสิ่งที่ชอบแล้ว มีอะไรอีกมั้ยที่คุณใช้ความชอบของตัวเองเป็นตัวตั้ง
กุ๊ก : มี อย่างผ้าไหมเราก็ต้องเลือกจนว่าจะพอใจ เช่น พิมพ์แล้ว finishing จะออกมาเป็นแบบไหน ก็ต้องไปดูโรงงานผ้า ตัวผ้าที่ใช้นี้เป็นไหมไทยอุบล
เราเพิ่งเริ่มลงลึกเรื่องเนื้อผ้าเหมือนกัน ตอนแรกเราก็พิมพ์ผ้าแบบธรรมดาแต่พอทำไปหลายๆ รอบเรารู้สึกว่าสีมันไม่คงที่หรือสีมันเลอะ หมึกไม่ซึม เรารู้สึกว่าไม่ได้แล้ว เราต้องมาลงดีเทล
ในอนาคตเราก็อยากจะเปลี่ยนไปใช้ผ้าไทยทั้งหมด ในตอนนี้เรายังผสมผ้าโพลีเอสเตอร์กับผ้าไทยอยู่ เพราะผ้าไทยแพงมาก อย่างผืนนี้ต้นทุนอย่างเดียวก็พันกว่าบาทแล้ว (ชี้ไปที่ผ้าพันคอผืนหนึ่ง)
ส่วนตึกข้างหน้าถ้าเสร็จก็อาจจะทำเป็นที่เวิร์กช็อปแล้วก็หาคนที่คล้ายๆ กับเรามาคุยงานกัน ปีหน้าก็มีแพลนจะทำกับคุณพิม Teaspoon Studio
อยากออกแบรนด์ชื่อ Mosquito เป็นแบรนด์สำหรับของแต่งบ้าน ตามใจฉันเหมือนเดิม คือฉันอยากวาดอะไรฉันก็จะวาด จะมีสินค้า เช่น พรมทอมือ หรือพรมเชปเสือตัวใหญ่ๆ แต่ก็ต้องทอมือ คุยกันว่าจะเป็นแบรนด์เฉพาะกลุ่ม ไม่ได้ขายเยอะ แต่ขายราคาสูง อยากให้คนได้ใช้แบบภูมิใจว่ามีแค่ไม่กี่ชิ้น เหนื่อยเหมือนกันตอนแพลนนี่แหละ
Life MATTERs : จริงๆ ดูเหมือนคุณไม่ค่อยเหนื่อยที่จะทำอะไรใหม่ๆ เลย
กุ๊ก : เหนื่อยมั้ย ไม่ค่อยเหนื่อย แต่เหนื่อยเลี้ยงลูกเพราะตอนนี้น้องยังกินนมแม่อยู่เลย เรื่องงานจะมีเหนื่อยตอนออกหน้าร้านมากกว่า หรือว่าเหนื่อยผลิตสินค้าแล้วมันเสีย แต่จะไม่ได้เหนื่อยเรื่องการบีบตัวเองว่าจะต้องทำ ต้องส่ง ต้องขายทุกวันเป๊ะๆ ไม่ทำ ไม่ถนัด ถนัดเหลวไหลมากกว่า (หัวเราะ)
ช่วงปีแรกจะเหนื่อยตรงที่บิลด์แบรนด์ออกไปแล้วเราต้องใช้เวลาดูลูกมากกว่าทำงาน แต่ตอนนี้จงอางมันโตมากแล้ว สองขวบครึ่ง รู้เรื่องแล้ว อยู่กับพี่เลี้ยงได้ทั้งวันก็ถือว่าเป็นกำไรแล้ว จนกว่าลูกจะเข้าโรงเรียนก็น่าจะขยับไปอีกเสต็ปได้
เราได้แต่พยักหน้าตามและคิดในใจว่าไม่ว่าอีกสเต็ปนั้นของกุ๊กจะเป็นอะไร เราก็อยากจะติดตามต่อไปเพราะมันช่างดูน่าสนุกเหลือเกิน
Photos by Adidet Chaiwattanakul