แม้ความหวานหยดย้อยของ Eddie Redmayne ในบทบาท Lili Elbe จากหนังเรื่อง The Danish Girl (2015) จะกุมใจผู้ชมได้อยู่หมัด แต่สำหรับเราแล้ว คาแรคเตอร์ Gerda Wegener ศิลปินผู้เป็นภรรยา ที่อยู่เคียงข้างและร่วมยืนหยัดเพื่อเพศสภาพของสามีอย่างแข็งแกร่ง กลับจับใจเรายิ่งกว่า
ไม่ใช่แค่เพราะบทบาทที่ Alicia Vikander ถ่ายทอดออกมาอย่างขยี้หัวใจ แต่ด้วยเรื่องราวของเกอร์ดาและภาพวาดแฟชั่นเนเบิ้ลของเธอต่างหาก ที่ทำให้เราหลงรักยิ่งกว่าสิ่งที่หนังเล่าออกมา

ภาพของเกอร์ดาและไอนาร์ (ลิลิ) ก่อนผ่าตัดแปลงเพศ via artblart.files.wordpress.com
อย่างที่คุณทราบ The Danish Girl ถูกสร้างขึ้นจากนวนิยายว่าด้วยเรื่องจริงแสนเศร้า เกอร์ดากับลิลิมีชีวิตอยู่จริงๆ ตั้งแต่ปลายยุควิคตอเรียนจนถึง 1930s และเรื่องจริงนี้ ได้ทิ้งคำถามหนึ่งไว้ในใจเราตั้งแต่นั้น ว่าการที่หญิงสาวคนหนึ่งซึ่งเลือกที่จะสนับสนุนสามีของเธออย่างเต็มที่ให้เข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศ จนกลายเป็นหญิงข้ามเพศคนแรกของโลกพร้อมกับเป็น muse ตลอดกาลให้งานวาดของเธอ
—เกอร์ดาต้องมีใจรักให้สามีล้นเหลือแค่ไหนกัน? เพศสภาพไม่สำคัญอีกต่อไปแล้วในความรักที่เธอมีให้เขา? หรือแท้จริงแล้วร่างกายผู้หญิงเองก็เป็นสิ่งที่เธอปรารถนาอยู่ลึกๆ
ภาพวาดในตลอดชีวิตของเกอร์ดาอาจเผยบางคำตอบกับเราได้

ภาพ Sur la route d’Anacapri (1922) via i.pinimg.com
เกอร์ดาวาดภาพผู้ชายน้อยมาก ตั้งแต่สมัยเพิ่งเริ่มจับพู่กันวาดภาพ
ก่อนแต่งงาน เธอคือ Gerda Marie Fredrikke Gottlieb เด็กสาวผู้มีแววศิลปินตั้งแต่เด็ก เธอจากบ้านเกิดในเมือง Hammelev ประเทศเดนมาร์ก เพื่อมาเรียนศิลปะที่ Royal Danish Academy of Fine Art ในโคเปนเฮเกน ที่นั่น เธอได้พบกับ Einar Wegener นักวาดภาพแลนด์สเคปและแต่งงานกันหลังจากหนึ่งปีที่พบกัน (ขณะนั้นเกอร์ดาอายุ 18 ส่วนไอนาร์อายุ 22) โดยหลังแต่งงาน เธอก็ยังคงเรียนไปด้วย
ทันทีที่เรียนจบ ภาพวาดหญิงสาวของเกอร์ดาได้จุดประเด็นถกเถียงใหญ่โตในวงการศิลปะเดนมาร์ก ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อ ‘Peasant Painters Fued’ เมื่อภาพ Portrait of Ellen von Kohl ของเธอ ถูกปฏิเสธจากทั้งแกลเลอรี่ของ Royal Danish Academy of Art และแกลเลอรีของสมาคมศิลปินเดนิช เนื่องด้วยสไตล์งานของเธอไม่ใช่งานตามขนบนิยม
เพราะในเวลานั้น ถือเป็นยุคสมัยของกลุ่มศิลปิน Funen Painters ที่อินกับภาพวาดแนวแนเชอรัลลิสซึมและเรียลลิสซึม ซึ่งว่าด้วยชีวิตประจำวันแสนสงบงามของผู้คนในชนบท ในขณะที่อีกฝ่ายกลับนิยมภาพแนวซิมโบลลิสซึ่มที่ต้องการการตีความและหาความหมายในภาพวาด ไม่ใช่แค่วาดสิ่งที่เห็นตามชนบทออกมาอย่างตรงไปตรงมา ศิลปินกลุ่มหลังจึงเรียกศิลปินกลุ่ม Funen อย่างดูแคลนหน่อยๆ ว่าพวกนักวาดบ้านนา หรือ Peasant Painters
และจุดเริ่มต้นการถกเถียงว่าวงการศิลปะเดนิชควรเทไปทางไหน ก็เริ่มจากการที่ภาพของเกอร์ดาถูกปฏิเสธนั่นเอง

Portrait of Ellen von Kohl via artblart.files.wordpress.com
เกอร์ดาไม่ได้เข้าไปแจมข้อพิพาทนั้นแต่อย่างใด เธอพยายามจัดนิทรรศการของตัวเองขึ้นมาในปีต่อๆ มา พร้อมกับวางแผนย้ายไปปารีสด้วยกันกับไอนาร์ ในปี 1912 อาจเพราะเกอร์ดาเองอินกับเรื่องอื่นใดเสียมากกว่าการมานั่งถกเถียงเรื่องศิลปะแนวไหนดีกว่าแนวไหน
เมื่อย้ายไปฝรั่งเศสทั้งคู่กระโจนลงสู่ชีวิตแบบโบฮีเมียน สนุกกับแฟชั่น ไลฟ์สไตล์ แฮงก์เอาต์กับกลุ่มศิลปินปารีเซียนและวงการศิลปะ ในช่วงเวลานั้นเอง หลายคนเชื่อว่าไอนาร์ที่เปลี่ยนมาเรียกตัวเองว่าลิลิแล้ว ยอมวาดภาพของตัวเองน้อยลงเพื่อมาสนับสนุนงานวาดของเกอร์ดาผู้เป็นภรรยาอย่างเต็มที่ ทั้งเป็นพาร์ตเนอร์ ผู้สนับสนุน และเป็นแบบให้ด้วย—แน่นอน เขาแต่งหญิง
ดูเหมือนเกอร์ดาจะชื่นชอบความเป็นหญิงเอามากๆ ความงามของผู้หญิงปรากฏอยู่ในภาพของเธอมาแต่ไหนแต่ไร โดยนอกจากวาดภาพบนเฟรมผ้าใบแล้ว เธอยังเป็นนักวาดภาพประกอบตัวท็อปของนิตยสารแฟชั่นหัวใหญ่ในยุคนั้น อย่าง Vogue หรือ La Vie Parissienne
งานสไตล์อาร์ต เดโค ของเธอมีเอกลักษณ์ด้วยภาพหญิงสาวแต่งตัวชิคๆ ในกิจกรรมต่างๆ ตั้งแต่ทางแฟชั่น ไลฟ์สไตล์แบบปารีเซียง จนถึงกิจกรรมทางเพศ เธอวาดภาพร่างหญิงสองร่างที่ทำออรัลเซ็กส์ให้กัน โอบกอดกันเปลือยเปล่า หรือมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ต้องง้อองคชาติ ซึ่งนอกจากสวยเก๋อีโรติกแล้วยังเป็นการผลักขอบเขตของเพศสภาพให้ออกไปไกลกว่าเดิม แม้ความรักในเพศเดียวกันจะไม่เป็นที่ยอมรับเท่าไหร่นักในยุคสมัยนั้นก็ตาม
และเมื่อรับรู้ว่าลิลิผู้เป็นสามีคือ muse ในภาพของเธอ เราจึงอดจินตนาการไม่ได้ว่าคู่สู่สมในแต่ละภาพคือเธอเองกับลิลิหรือไม่?

งานภาพประกอบของเกอร์ดาในช่วงที่อยู่ปารีส via i.pinimg.com

งานภาพประกอบของเกอร์ดาในช่วงที่อยู่ปารีส via lauravianello.files.wordpress.com
ในฐานะศิลปิน เกอร์ดามีสามีเป็น muse หนึ่งเดียว พวกเขาทั้งคู่สร้างพื้นที่แสนเสรีให้ลิลิดำรงอยู่ในสถานะ ‘ผู้หญิง’ แสนโฉบเฉี่ยว ซึ่งหากตีความตามที่หนังเล่า เป็นเกอร์ดาเองที่ชักนำให้ไอนาร์ให้ค้นพบความอิ่มใจในการเป็นหญิงและการเป็นลิลิ
แต่เพียงในภาพวาด อาจไม่เพียงพอ ด้วยลิลิเชื่อว่าตัวเองคือผู้หญิง เพียงแต่เกิดมาผิดร่างเท่านั้น เธอจึงต้องการเป็นหญิงทั้งโดยร่างกายและกฎหมาย จนตัดสินใจเข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศและผ่าตัดปรับแต่งส่วนนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนจะเสียชีวิตในปี 1931 ด้วยผลของการผ่าตัดครั้งสุดท้าย
ก่อนนั้นในปี 1930 พระราชาของเดนมาร์ก ตัดสินให้การแต่งงานของทั้งคู่เป็นโมฆะ เพราะลิลิไม่ได้อยู่ในสถานะสามีที่กฎของสังคมบังคับว่าเป็นหน้าที่ของ ‘ผู้ชาย’ เท่านั้น แต่กระนั้นเกอร์ดาก็ยังคงให้อดีตสามีเป็นแบบวาดภาพในช่วงเวลาที่เหลือ เหมือนที่เคยเป็นตลอดมา

ภาพ Two Cosette with Hats ปี 1925 via artblart.files.wordpress.com

ภาพ Queen of Hearts (Lili) ปี 1928 via frieze.com
“ผู้หญิงก็ควรปลดปล่อยสัญชาติญาณความเป็นหญิงออกมา เล่นกับเสน่ห์แห่งอิสตรี และเอาชนะผู้ชายด้วยความเป็นหญิงของเรา ไม่ใช่พยายามเลียนแบบพวกเขา” เกอร์ดากล่าวอย่างนี้เอาไว้ในปี 1934 แต่หากมองในทางกลับกันเมื่อเพศชายพยายามเลียนแบบ (เธอใช้คำว่า imitate) เพศหญิงอย่างที่ลิลิทำล่ะ? เราไม่แน่ใจว่าเธอคิดเห็นในข้อนั้นอย่างไร อาจจะยินดีต้อนรับก็เป็นได้
เมื่อนึกอย่างนั้น การข้ามมาสู่การเป็นหญิงของสามี อาจไม่ได้นำมาซึ่งความเจ็บปวดแสนสาหัสอย่างในหนัง แต่เธอเองมองเห็นความงามในหญิง-หญิงอยู่แล้ว หรือไม่ เรื่องอาจจะเป็นอีกด้าน—ภาพหญิงรักหญิงเหล่านั้นเป็นเพียงการกลบเกลื่อนความเจ็บช้ำ จำกัดสิ่งเหล่านั้นไว้เพียงในภาพวาด แต่ยังคงเจ็บปวดในชีวิตจริงแทบปางตาย—เราไม่อาจรู้เลยว่าโลกในเฟรมผ้าใบจะเป็นโลกใบเดียวกับชีวิตจริงมากน้อยแค่ไหน
แต่จากภาพวาดทุกชิ้น เราเชื่อว่าเกอร์ดารักลิลิมากเหลือเกิน ไม่ว่าจะในฐานะคนรัก เพื่อน หรือ muse ก็ตาม และความรักนั้นก็ตั้งอยู่บนเส้นแบ่งทางเพศสภาพของมนุษย์เราอย่างน่าสนใจเป็นที่สุด
อ้างอิง