Did you see any pattern คืองานแพทเทิร์นฝีมือคนไทยที่สวยระดับหาตัวจับยาก พร้อมคอนเซ็ปต์เก๋ ที่เลือกหยิบเอาดอกไม้ไทยและต้นไม้บ้านๆ มาแปลงเป็นลวดลายงามๆ จนมีคนติดตามนับหมื่น
อั้น—เกวลิน พิมพ์สอน คือผู้กระทำความเก๋ครั้งนี้ จากสถาปนิกสาวที่พบว่าตัวเองชอบงานวาดสีน้ำและแพทเทิร์นมากกว่า จึงลาออกไปอยู่บ้านที่่ต่างจังหวัดร่วมครึ่งปี และช่วงเวลานั้นเองที่เธอได้ใช้เวลาทุกวัน ไปกับการทำแพทเทิร์นอย่างจริงจัง จนทำให้ฝีมือพัฒนาและมีผลงานสะสมกว่า 70 ชิ้น จนในที่สุดก็มี PINN Creative Space เป็นผู้สนับสนุนให้เธอมีสตูดิโอที่ออกแบบงานและพิมพ์งานออกมาได้อย่างครบครัน มีผลงานอยู่ทั้งบนลายผ้า ภาพตกแต่งในโรงแรมหรู หรือกระทั่งบนหน้าเค้ก พร้อมเปิดพื้นที่ให้เธอได้เปิดเวิร์กช็อปสอนทำแพทเทิร์นด้วย
เราจึงชวนไปคุยกับเธอเกี่ยวกับแรงบันดาลใจ ความมุ่งมั่น และวิธีคิดในการทำงานที่ให้ความสำคัญกับ ‘เรื่องเล่า’ ไม่แพ้เทคนิคและฝีมือ รวมถึงเสน่ห์ในความอารมณ์ดีที่ส่งผ่านบทสนทนาแบบที่ใครได้ฟังต้องยิ้มตามแน่นอน
Life MATTERs : Did you see any pattern? เกิดขึ้นจากอะไร
อั้น DYSAP : เราอยากตั้งคำถามกับคนที่เข้ามาดูงานเรา ว่าเคยสังเกตหรือมองรายละเอียดเล็กๆ รอบตัวให้เป็นแพทเทิร์นบ้างไหม? ช่วงแรกๆ ที่ทำเพจ เราเลยใช้แผ่นใสบางๆ มาเขียนกรอบแล้วทาบไปกับต้นไม้ใบหญ้าอีกทีหนึ่ง เพื่อชวนให้คนเห็นว่า นี่ไง แบบนี้ก็หยิบมาทำแพทเทิร์นได้ หรือกระทั่งสิ่งธรรมดามากๆ อย่างการขึ้นรถไฟฟ้าไปทำงาน มันก็จะมีรูปแบบซ้ำๆ ที่ก็มีแง่มุมตลกๆ ให้มองนะ เช่นเราเห็นคนทำความสะอาดบันไดเลื่อน ที่เขายืนถือผ้าเช็ดตรงที่จับแล้วเลื่อนไปกับบันได อั้นก็แอบไปขำเขา แล้วเคยเอาไปวาดทำเป็นแพทเทิร์นอยู่เหมือนกัน
Life MATTERs : การจะหยิบอะไรสักอย่างมาทำเป็นลายแพทเทิร์น คุณเลือกยังไง
อั้น DYSAP : อั้นต้องมีเรื่องกับมันก่อน ต้องมีประสบการณ์ร่วมหรือรู้สึกอะไรกับมัน ช่วงแรกๆ ตอนเรียนอยู่ที่เชียงใหม่ เราลองทำจากอาหารที่ใกล้ตัว คือลองมาแตกว่าในอาหารไทยที่เราชอบ แต่ละอย่างมีวัตถุดิบหลักอะไรบ้าง ก็วาดแยกเป็นชิ้นๆ แล้วมาเรียงเป็นแพทเทิร์น เอาก็ไปทำเป็นกระเป๋าขายในถนนคนเดิน ซึ่งก็ขายดีแฮะ ชาวต่างชาติชอบ เราก็เลยเริ่มคิดจริงจังกับมัน พอมาทำเพจก็ลองหาลายอื่นๆ ไปเรื่อยๆ แล้วก็พอดีเราอินดอกไม้ไทย ตอนนี้เลยใช้ดอกไม้ไทยเป็นหลัก
Life MATTERs : ทำไมถึงได้อินดอกไม้ไทย
อั้น DYSAP : เพราะเราโตมากับมันมั้ง ตอนเด็กๆ เราจะอยู่บ้านยายที่ชนบท พอมีความทรงจำกับมันเยอะๆ ก็เลยกลายเป็นงานได้ เราชอบหยิบอะไรใกล้ๆ ตัวมาทำ อย่างเช่นดอกเหลืองปรีดียาธร เราจะเห็นเขาทุกๆ หน้าร้อนตอนอยู่ที่ต่างจังหวัด เห็นที่ไรก็จะรู้สึกว่าฤดูร้อนมาแล้วเว้ย หรือดอกแคแสด จะออกดอกประมาณธันวาคม แล้วก็ท้องฟ้าช่วงหน้าหนาวมันจะใสๆ เคลียร์ๆ พอตัดกับดอกแคแสดสีส้มสดแล้วประทับใจเรามาก คือทุกลายที่ทำขึ้นมาอั้นจะเล่าได้หมดว่าเป็นมาอย่างไร ไปเจออะไรมา
Life MATTERs : ลวดลายอื่นๆ ที่หยิบมาเล่ามีอะไรอีกบ้าง อยากให้เล่าสักหน่อย
อั้น DYSAP : ที่ต่างจังหวัดจะมีต้นตะขบ ซึ่งไม่รู้ทำไมจะชอบปลูกอยู่ตามร้านปะยาง เป็นต้นไม้แบบบ้านๆ มาก เราก็ลองหยิบมาทำให้มันดูไม่บ้านๆ ดูซิ ก็เลยเอาไปเรียงเป็นช่อเหมือนมิสเซิลโทวันคริสต์มาส มันก็ออกมาสวยดีเหมือนกันนะ ส่วนลายลูกหว้า เราไปเจอที่โรงพยาบาลสวนดอก จะมีช่วงที่มันร่วงกราวเต็มพื้นแล้วรถเหยียบจนเป็นสีม่วงเต็มไปหมด อีกชิ้นคือดอกหางนกยูง เป็นงานแรกที่เริ่มเบื่อสีจริงของมัน รู้สึกว่างานเริ่มนิ่ง ก็ต้องดันให้สีมันไปทางอื่นดูบ้าง อั้นต้องหนีงานตัวเองอยู่เรื่อยๆ เช่นลองตัดเส้น หรือลองเล่นกับลายแบบครอสติช เราว่าความสนุกของงานแพทเทิร์นคือมองหาจุดซ้ำแล้วปรับให้มันไม่น่าเบื่อ
แพทเทิร์นเป็นสิ่งที่ไม่เคยท้อ อั้นทำมันได้ทั้งวัน ถึงมีปัญหาก็ยังอยากทำต่อ อยากแก้ไข อยากรับผิดชอบกับมัน เราเป็นคนที่อยากรู้ทุกเรื่องในงานแพทเทิร์น
Life MATTERs : ในการทำงานกับสิ่งซ้ำๆ เคยเจอทางตันบ้างไหม
อั้น DYSAP : แพทเทิร์นเป็นสิ่งที่ไม่เคยท้อ อั้นทำมันได้ทั้งวัน ถึงมีปัญหาก็ยังอยากทำต่อ อยากแก้ไข อยากรับผิดชอบกับมัน เราเป็นคนที่อยากรู้ทุกเรื่องในงานแพทเทิร์น คืองานเราจะมีสองส่วน คืองานวาดกับงานเทคนิค ซึ่งเราต้องรู้ทั้งสองด้าน เวลาเจออะไรที่ทำไม่เป็นก็ต้องไปศึกษาจนเข้าใจ แบบ เอาดิ ใครถามมาเราก็ตอบได้ว่าอันนี้ทำยังไง แล้วทำไมต้องทำแบบนี้ งานแพทเทิร์น ถ้าจะว่ายากมันก็ยาก งานอั้นช่วงแรกก็ไม่ได้วางลายอย่างทุกวันนี้ และการออกแบบแพทเทิร์นในแต่ละพื้นที่ก็ไม่เหมือนกัน บางชิ้นเราออกแบบให้มันร้อยเรียงกันไปเรื่อยๆ ได้จนเต็มชิ้น บางชิ้นที่ใหญ่มากก็ต้องออกแบบเป็นภาพสี่เหลี่ยมให้มันต่อกันได้ทุกด้านแล้วใช้การ repeat
Life MATTERs : ต้องใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะบอกได้ว่า ตัวเองคือคนทำแพทเทิร์นจริงๆ
อั้น DYSAP : มันก็นานอยู่นะ ถ้านับจากตอนแรกจนถึงตอนนี้ก็ 4 – 5 ปีได้แล้วมั้ง มีทั้งช่วงที่เป็นยังงานอดิเรก อยู่ จนถึงช่วงที่ลาออกจากงานไปอยู่บ้าน ก็ลุยทำแต่แพทเทิร์น ระหว่างนั้นเราก็จะมีเล่นของบ้าง (หัวเราะ) อย่างตรงไหนที่รู้สึกกว่าน่าจะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เราจะชอบพูดกับดินฟ้าอากาศว่า ถ้าสมมติว่ามาถูกทาง ก็ขอให้ทุกอย่างสว่างสดใส โชติช่วงชัชวาล มีอุปสรรคบ้างก็ไม่เป็นไร ก็แก้ได้ แต่ว่าถ้ามาผิดทาง ก็ขอให้จิตใจฝ่อดับมอดวูบไป เคยพูดไว้ตั้งนานแล้ว แล้วมันค่อยๆ ไปในทางที่ดี ซึ่งจริงๆ อั้นคิดว่าทุกอย่างมันใช้เวลา ถึงตอนนี้จะมีเด็กรุ่นใหม่มาเต็มไปหมด อั้นเองเป็นเด็กยุคเก่าแต่ก็คิดว่าเราน่าจะไปได้อยู่ ทั้งๆ ที่จริงอั้นไม่มีสตูดิโอเป็นของตัวเอง เราก็ทำงานอยู่ใน PINN นี่แหละ ดูลอยไปลอยมาด้วยซ้ำ แต่อั้นก็ให้กำลังใจตัวเองว่า เรามีงานอยู่ ขอให้มีงานให้ทำ เราจะไปนั่งทำตรงไหนก็ได้
Life MATTERs : ช่วงเวลาที่ว่างงานสำคัญกับคุณมากแค่ไหน
อั้น DYSAP : หลังลาออกจากงานสถาปนิกแล้วกลับไปอยู่บ้านที่นครสวรรค์ นั่นเป็นช่วงที่เราได้ฟอร์มตัวขึ้นมาใหม่ เพราะวิถีชีวิตเราคือ ตื่นเช้ามาปล่อยหมา กลับมากินข้าว ดูก่อนบ่ายคลายเครียด มาสเตอร์คีย์ ยังเคยถามตัวเองว่า เห้ย ชีวิตแบบวัยรุ่นกูไปไหนวะ คือตอนนั้นชีวิตซ้ำเดิมมากๆ แต่ในทุกวันเราจะวาดรูปแล้วก็ทำแพทเทิร์นเก็บไว้ ยังไม่มีใครซื้อก็ไม่เป็นไร ทำไว้ก่อน สุดท้ายเลยมีแพทเทิร์นเต็มพรึบไปหมดเลย 70 กว่าอัน พอทำทุกวันฝีมือเราก็พัฒนา เทคนิคดีขึ้น พอมีโอกาสเจอพี่ที่ PINN ตอนไปทำเวิร์กช็อปที่เชียงใหม่ เขาเห็นงานเราแล้วก็แบบ เฮ้ย คนนี้ไปอยู่ไหนมาเนี่ย พี่เขาก็เลยอยากสนับสนุนให้เราได้ทำแบรนด์ เพราะว่าเนื้อเรื่องเรามีแล้ว แพทเทิร์นเรามีแล้ว ทุกอย่างเรามีหมด ยกเว้นทำให้เป็นที่รู้จัก
Life MATTERs : ช่วงอยู่บ้านเคยมีจุดที่มองว่าตัวเองกำลังว่างงานหรือใช้เวลาให้เปล่าประโยชน์ไหม
อั้น DYSAP : ไม่เลย เพราะถึงเราไม่ได้ถูกจ้าง แต่เราก็มีงานให้ทำกองอยู่เต็มโต๊ะ คือไม่ใช่ว่าดันทุรัง แต่เราต้องมีความมั่นใจเล็กๆ ด้วยว่าเนื้อเรื่องเราแข็งแกร่งพอหรือยัง อั้นมองว่าตรงนี้สำคัญ จะขายอะไรนั้นยังไม่เท่ากับจะเล่าเรื่องอะไร แนวไหน เราต้องมีธีมให้ชัด และอีกอย่าง อาจเป็นข้อดีที่เราเป็นลูกคนเดียว พ่อแม่จะหน้าชื่นตาบานมากเวลาลูกอยู่บ้าน แต่ก็จะมีช่วงที่ชาวบ้านจะถามว่า ลูกทำงานอะไร ซึ่งเขาก็มีวิธีตอบของเขา ตอนนั้นก็ยังไม่ค่อยมีใครเข้าใจหรอก แต่มาถึงตอนนี้ พ่อแม่เริ่มอธิบายได้แล้วว่าอาชีพลูกคืออะไรวะ
Life MATTERs : คุณอั้นดูเป็นคนไม่ค่อยเศร้าเนอะ
อั้น DYSAP : อาจจะเศร้าก็ได้นะ แต่นึกดูแล้วก็ไม่ค่อยค่ะ พอเราเป็นลูกคนเดียว ก็ต้องคอยให้กำลังใจตัวเองตลอด เล่นคนเดียว พูดคนเดียว เหมือนกับถ้ามึงเศร้ามึงไม่เหลือใครเลยนะ มึงจะไปคุยกับใครล่ะ ความเศร้าเราก็มีนะ แต่ต้องรักษาให้เร็ว คิดเป็นอย่างอื่นที่ตลกโปกฮาไป ไม่มีเวลาเศร้ามากเพราะว่าใครจะมารอเราหายเศร้า โลกมันหมุนอยู่ทุกวัน
Life MATTERs : คิดว่าพลังบวกเหล่านี้สะท้อนออกมาในงานไหม
อั้น DYSAP : มันมีงานบางช่วงดาร์กเหมือนกันนะ สีจะออกหม่นๆ ปัญหาของอั้นไม่มีอะไรมาก เราไม่มีปัญหาทางบ้าน ครอบครัว การเงิน สุขภาพไม่มี จะมีก็แค่เรื่องที่นก (หัวเราะ) พอนกแล้วงานก็ดำเลย เวลาไปชอบคนนั้นคนนี้งานก็จะสดใสหน่อย ซึ่งอั้นก็จะบอกว่าตัวเรากับงานเรามันเป็นเรื่องเดียวกัน อารมณ์มันส่งผลกับงาน อั้นเล่าได้เลยว่างานนี้เราทำในช่วงอารมณ์ไหน เคยคิดนะว่าคนเราอย่ามาติสต์มาก ต้องมืออาชีพสิ แต่สุดท้ายเรานี่แหละ เป็นเอง
Life MATTERs : คุณเปิดทำเวิร์กช็อปด้วย บทบาทการเป็นครูก็สนุกเหมือนกันใช่ไหม
อั้น DYSAP : สนุก คืออั้นชอบและอยากเป็นคนสอน เพราะรู้สึกว่าการสอนมันวัดเราด้วยว่ารู้จริงรึเปล่าจะไปสอนเขา ซึ่งจริงๆ ตั้งเป้าหมายไว้เลยว่ารอบรู้เรื่องแพทเทิร์นแล้วฉันต้องสอนหนังสือ บางทีอาจจะเป็นการสอนในมหาวิทยาลัยก็ได้ เหมือนกับเราสอนในสิ่งที่เราคิดมาเองบวกกับการศึกษางานที่มันมีอยู่แล้ว การได้แก้ปัญหากับคนที่มาเรียนก็สนุก แล้วพอเขาได้ทำผลงานจริงๆ ลองปรินต์ออกมาเป็นผ้าพันคอ 90 คูณ 90 คือใหญ่มาก แล้วสำหรับนักเรียนที่วาดรูปไม่เป็น โฟโตช็อปไม่ได้ แต่ได้ผ้าหนึ่งผืนขึ้นมา มันแบบโอ้โหปรี๊ดปร๊าดเฟี้ยวฟ้าว คนสอนนี่แบบจะตายจริงๆ เพราะมันเหนื่อยมาก แต่พอเห็นนักเรียนสะบัดผ้ากันพลิ้วมันก็หายเหนื่อย
Life MATTERs : แปลว่าตอนนี้เป้าหมายที่คิดไว้ถือว่าสำเร็จลุล่วงแล้ว?
อั้น DYSAP : ถือว่าพอได้ ที่พูดกับต้นไม้มันเริ่มมาแล้ว เรามาถูกทางสว่างสดใส คืออั้นเป็นคนเพ้อฝัน มันจะมีอยู่ปีหนึ่งที่เพ้ออยากมีอะไรเต็มไปหมด แต่ว่าไม่ได้นั่งอยากอยู่อย่างเดียว คืออยากแล้วต้องทำด้วย เราจะชอบโพสต์เฟซบุ๊กเวลาอยากจะมีหรือทำอย่างนั้นอย่างนี้ เขียนไว้ทุกอย่าง พอมันขึ้นวันนี้เมื่อปีที่แล้วมาให้เราเช็ก แล้วรู้สึกว่า เฮ้ย เราทำได้แฮะ อาจารย์เราก็เป็นแล้ว แหล่งผลิตและโปรดักต์ก็มีแล้ว แค่สถานที่ไม่ได้เป็นของเราแค่นั้นเอง (หัวเราะ)
Photos by Adidet Chaiwattanakul