สามปีที่ผ่านมานี้ Sahred Toy หรือ ต๊อด—อารักษ์ อ่อนวิลัย ถือเป็นหนึ่งในคนที่มีผลงานชุกมากถึงมากที่สุด เขาเขียนหนังสือของตัวเองหลายต่อหลายเล่ม วาดภาพประกอบให้แบรนด์สินค้า ทำโปสเตอร์ให้เทศกาลคอนเสิร์ต ออกแบบลายเสื้อผ้า ทำแอนิเมชั่น และอีกสารพัดผลงานที่ทำให้เขากลายเป็นหนึ่งในนักวาดภาพที่ผู้คนรู้จักเป็นอย่างดี แถมคาแรคเตอร์ก็จัดจ้านในใจความว่าสีสดใส และมี ‘จู๋’ เป็นตัวละครสำคัญ
อันที่จริงเราเตรียมจะเขียนต่อไปว่าเขาประสบความสำเร็จ โด่งดังมีชื่อเสียง ขึ้นแท่นเป็นหนึ่งในนักวาดตัวท็อปของประเทศ แต่ชายหนวดสวมแว่นกรอบดำผู้นี้ตีมือให้หยุดพิมพ์แล้วบอกว่าไม่ใช่ สามปีผ่านไปเขาก็ยังไม่รวย งานก็ไม่ได้หาง่ายไปกว่าคนอื่น ทุกวันนี้เขาเองต้องขยับขยายออกจากเส้นทางศิลปะด้วยการไปลองทำธุรกิจใน URFACE แบรนด์สตรีทแวร์ที่มากับลวดลายป๊อปอาร์ตตามสไตล์ต๊อดและผองเพื่อน
และถึงแบรนด์จะปังแค่ไหน เขาก็ยังเคลมถึงตัวเองว่าชีวิตก็ไม่ได้ดีมากนัก ช่วงที่ผ่านมาอารมณ์ก็ปั่นป่วน ขึ้นๆ ลงๆ ต้องต่อสู้กับตัวเองอย่างมหาศาล ส่วนชื่อเสียง เขาบอกว่าไม่ได้สนใจเท่าไหร่ สิ่งที่ Sahred Toy ในวันนี้สนใจมีเพียงแค่ความสนุกเท่านั้น ก็อย่างที่เขาเล่าในบทสนทนาชิ้นนี้นี่เอง
Life MATTERs : ทุกวันนี้คุณทำอะไรอยู่
ต๊อด : ทำ URFACE เป็นหลัก ช่วงหลังวาดรูปน้อยลงมาก คือเมื่อก่อนคิดอะไรไม่ออกก็จะวาดรูปเล่น แต่พอเริ่มทำ URFACE เราก็จะมีอะไรในหัวตลอดเวลา สิ่งที่วาดจะไม่ใช่การ์ตูนแล้ว แต่เป็นอะไรที่จริงจังอย่างการสเกตช์แบบกระเป๋า ศิลปินที่จะชวนมาทำด้วยคนต่อไปจะเป็นใคร ออกแบบนั่นนี่ ทุกอย่างเป็นงานหมด
เรารู้สึกว่ายิ่งโตยิ่งจริงจังมากขึ้น แต่คิดน้อยกว่าเดิม (หัวเราะ) คิดน้อยของเรามันหมายถึงการที่รู้แล้วว่าอยากทำอะไรกันแน่ สมัยก่อนเราอยากทำมันทุกอย่างเลย สมัยนี้อยากทำแค่ไม่กี่อย่าง แต่อยากทำให้มันดี อย่าง URFACE นี่เราตั้งใจสุดๆ เลยนะ เพราะเราทำแล้วสนุก รู้สึกเหมือนไม่ได้ทำงานประจำอยู่
Life MATTERs : หน้าที่ของคุณใน URFACE คืออะไร
ต๊อด : เราเป็นหุ้นส่วน แต่หน้าที่หลักๆ ของเราคืออาร์ตไดเรคเตอร์ ดูแลทุกอย่างที่เกี่ยวกับโปรดักต์ ส่วนเรื่องของการประสานงาน ติดต่อผู้คน หรือบัญชีต่างๆ จะเป็นพี่โจ๊ก แล้วก็มีบุ๊ก (ณัฐริณีย์ บูรณะสิงห์) ที่คอยติดต่อกับ Supplier ซึ่งพอเวลาจะทำกระเป๋าหรือมีปัญหาอะไร ทุกคนก็จะมาช่วยกันแชร์ไอเดีย
Life MATTERs : ทำไมอยู่ดีๆ ถึงหันมาทำธุรกิจ
ต๊อด : เรามองว่ามันคือโชค แต่ในพื้นฐานของโชคมันก็มาจากงานแหละ งานมันพาเราไปที่ต่างๆ สามปีก่อนหน้านี้ ไม่ว่างานไหนเข้ามาเราทำหมด ในหมายเหตุว่าถ้าเราสนุกที่จะทำมันนะ URFACE ก็คือหนึ่งในงานพวกนั้น เราไม่รู้จักพี่โจ๊ก (ทีฆาวัฒน์ ปัทมาคม หนึ่งในผู้ก่อตั้งแบรนด์ URFACE) มาก่อนเลย เคยเจอกันบ้างตามงาน แต่ไม่เคยทัก
แต่หลังจากพี่ตั้ม (พฤษ์พล มุกดาสนิท หรือ MAMAFAKA หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์ URFACE) เสียไปได้สองปี ก็มีโอกาสได้มาคุยกัน พี่โจ๊กบอกว่าเรามีความคล้ายพี่ตั้มอยู่ ไม่ว่าจะเป็นงานภาพประกอบหรืองานศิลปะที่ค่อนข้างแมส เข้าถึงได้ง่าย รวมไปถึงการที่แบรนด์ชอบหยิบไปใช้ทำสินค้า แถมนิสัยบางอย่างก็เหมือนกัน พี่โจ๊กเลยลองเรียกเรามาคุย แล้วเขาก็คิดว่าเราน่าทำงานด้วยก็เลยได้ทำมาตั้งแต่ตอนนั้น
เราทำ URFACE มาได้นานขนาดนี้ ไกลขนาดนี้ ส่วนหนึ่งก็เพราะคิดว่าถึงวัยต้องทำธุรกิจแล้ว เริ่มอยากเป็นอะไรมากกว่าฟรีแลนซ์ คือถ้าอายุ 40 แล้วต้องมาคอยนั่งลุ้นว่าเอเจนซี่จะจ้างกูหรือเปล่า จะไปจ้างเด็กคนนั้นแทนมั้ย หรือถ้าเงินไม่ออก เราในตอนนั้นคงเครียดกว่านี้มากๆ เราเลยอยากมีอะไรที่ลงปักหลักฐาน ซึ่งพอมานั่งดูดีๆ ศิลปินหรือนักออกแบบหลายๆ คน เขาก็ไม่ได้วาดรูปกันอย่างเดียว ศิลปะเป็นแค่พาร์ตหนึ่งของชีวิต เขาก็มีร้านค้าหรือทำธุรกิจกันเพื่อที่จะสามารถวาดรูปอย่างอิสระได้ เราเองก็อยากเป็นอย่างนั้น
Life MATTERs : พูดได้ไหมว่า วาดรูปอย่างเดียวอาจอยู่ไม่ได้?
ต๊อด : ช่วงที่ผ่านมาถือว่าอยู่ได้นะ แต่มันไม่น่าจะถาวรหรือเปล่า การทำงานฟรีแลนซ์มันมีปัจจัยอื่นๆ อย่างกระแสหรือการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องเยอะ เราไม่อยากเครียดตามปัจจัยพวกนั้น
Life MATTERs : การทำธุรกิจก็ต้องเจอปัจจัยพวกนั้นหรือเปล่า
ต๊อด : เราว่ามันคนละอย่างกัน อาจเพราะการทำแบรนด์ มันมีพี่น้องช่วยกันแบ่งเบา ช่วยกันรับผิดชอบ เราไม่ต้องคอยหาทางออกคนเดียว แล้วบังเอิญกลุ่มคนที่เราทำงานด้วยเป็นคนบวกๆ ทำงานกันแบบไม่เครียดมาก ทีมเวิร์กก็กำลังเข้าขา มีปัญหาอะไรก็ช่วยกันแก้ มีเรื่องเครียดก็หัวเราะ แทนที่จะนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดก็ดันขำแล้วคิดว่าแน่จริงมึงเข้ามาเรื่อยๆ จนถึงสิ้นปีเลยสิวะอะไรแบบนี้ (หัวเราะ) ด้วยทีมเวิร์กที่ดีแบบนี้เราเลยเชื่อว่าจะพากันผ่านปัญหาไปได้ และมันเป็นส่วนที่ทำให้เราชอบ เพราะเราก็เป็นคนที่อยากทำแต่สิ่งที่สนุกตลอดเวลา
คือสมัยเด็ก เราชอบคิดว่าคนที่ทำธุรกิจต้องยุ่งตลอดเวลา ต้องเหนื่อยมากๆ อะไรแบบนี้ พูดตรงๆ ตอนนี้ก็เหนื่อยนะ แต่เรารู้สึกว่ามีส่วนที่สนุกกับมัน เรามีเวลาเล่นเกม มีเวลาว่างไปซื้อต้นไม้
Life MATTERs : คุณซื้อต้นไม้ด้วย?
ต๊อด : ใช่ (หัวเราะ) ชอบมาตั้งนานแล้ว นับตั้งแต่ซื้อบ้านจนถึงตอนนี้หมดเงินกับต้นไม้ไปน่าจะแสนกว่าแล้ว ช่วงนี้ก็กำลังบ้าการจัดสวนเฟิร์น วันไหนไม่ได้ทำงานก็จะไปซื้อต้นไม่เข้าบ้าน คือในแต่ละวัน ถ้าไม่ทำงาน ไม่เล่นเกม ก็จะดูต้นไม้ เห็นแล้วมีความสุข ส่วนหนึ่งอาจเพราะที่บ้านเป็นคนสวน ทำนา เลี้ยงกล้วยไม้อะไรพวกนี้ เราชอบดู ชอบปลูกมัน เวลามันบานแล้วฟิน นั่งดูได้เป็นวันๆ
Life MATTERs : ดูเหมือนชีวิตก็มีความสุขดีนี่นา
ต๊อด : ก็มีช่วงที่หนักอยู่เหมือนกันนะ ซึ่งต้องย้อนกลับไปประมาณสองปีที่แล้ว บอกก่อนว่างานที่เราทำอยู่ อย่างการทำภาพประกอบหรือวาดอะไรต่างๆ เป็นงานที่มีความไม่นิ่งอยู่มาก เดือนนี้อาจมีงานเข้าเยอะมาก เดือนถัดไปอาจไม่มีเลย
แล้วช่วงนั้นเราซื้อบ้านพอดี เราปลีกตัวออกมาใช้ชีวิตคนเดียว วันๆ ได้แต่นั่งหน้าคอมพ์ทำงานไปเรื่อยๆ พอทำเสร็จก็นั่งๆ นอนๆ อยู่แต่ในบ้าน เราอยู่บ้านตัวคนเดียวสองปีเต็มๆ ยังไม่มีต้นไม้ให้นั่งดูแล้วผ่อนคลายอย่างทุกวันนี้ วันหนึ่งเราก็พบว่าตัวเองคิดมาก ไม่มีเรื่องอะไรให้เครียดก็จิตตก ตัดสินใจไปหาหมอ เพราะสงสัยว่าตัวเองจะเป็นโรคซึมเศร้า คุยกันสักพัก หมอบอกว่าไม่ต้องสงสัย มึงเป็นโรคซึมเศร้าแล้วล่ะ (หัวเราะ)
Life MATTERs : คิดว่าปัจจัยของโรคมาจากอะไร
ต๊อด : สองอย่าง อย่างแรกคือการเป็นฟรีแลนซ์ มันเป็นสิ่งที่มีความไม่แน่นอน แล้วเราดันมีภาระที่ต้องผ่อนบ้าน คือเงินก็มีนะ แต่จากคนที่ไม่เคยต้องมาคิดมากเรื่องเงินแล้วอยู่ดีๆ ต้องมาคิดมาก ทำให้เราโคตรกังวลว่าวันนี้จะมีงานมั้ย ถ้าไม่มีงานจะทำอะไร ว่างแล้วกูต้องทำตัวยังไง นอนอยู่ห้องมองเพดานเหรอ นอนอยู่แบบนี้แล้วกูจะมีเงินมั้ย เราคิดวนเวียนอยู่แบบนี้โดยไม่ได้ออกไปเที่ยวเล่นที่ไหน ซึ่งหมอก็บอกนะว่าการอยู่ที่เดิมๆ ซ้ำๆ มีส่วนทำให้เป็นโรคซึมเศร้า
ส่วนอีกอย่างหนึ่ง เราคิดเองว่าเป็นเพราะทำงานศิลปะนี่แหละ เคยคุยกันในหมู่เพื่อนว่าศิลปะมันเป็นศาสตร์ที่คิดมากคิดเยอะ คือไม่ได้คิดเยอะแบบว่าจะก่อร่างสร้างตัวยังไง แต่คงคิดเยอะว่างานฉันดีพอหรือยัง ฉันจะทำงานนี้ได้ดีแค่ไหน ซึ่งพอมันคิดเยอะไปก็เลยคงไปเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เราจิตตก
ตอนนั้นเราเป็นหนักมาก วันๆ คิดถึงแต่เรื่องความตาย ทั้งที่ปกติ ชีวิตเราแม่งเป็นคนไม่เครียด ไม่คิดมากอะไรเลย แต่พอเป็นปุ๊บ มันกลายเป็นอีกคน ถึงขั้นขับรถอยู่แล้วคิดว่าถ้าหักพวงมาลัยสักหน่อยก็ไปสบายแล้วเลยนะ ชีวิตช่วงนั้นแม่งโคตรไม่มีความสุข ขนาดเล่นเฟซบุ๊กยังเครียดเลย
Life MATTERs : ทำไมกัน เฟซบุ๊กถึงทำให้คุณเครียด
ต๊อด : ก่อนหน้านี้เราสนฟีดแบ็คมากๆ โดยเฉพาะเฟซบุ๊กนี่เรียกว่าโคตรสนเลย เพราะแต่ก่อนเวลาโพสต์ทีได้ 600-700 ไลก์ การจะโพสต์แต่ละครั้งเลยต้องคิดเยอะฉิบหาย มีการกะด้วยนะว่าอันนี้โดนแน่ คือเราคิดถึงคนอื่นมากกว่าคิดถึงตัวเอง แล้วพอถึงจุดหนึ่ง อารมณ์มันสวิง เออ ที่เราเป็นซึมเศร้าอาจเพราะเรื่องนี้ด้วยก็ได้นะ คือยอดไลก์มันน้อยลงๆ จนเราเอาไปบ่นกับแฟนว่าทำไมมันเป็นงี้วะ
เราตั้งใจกับการโพสต์มากเลยนะเว้ย กำหนดตารางให้ตัวเองว่าจะต้องโพสต์วันอังคาร พฤหัสฯ เสาร์ ถ้าเป็นวันศุกร์จะไม่โพสต์ เพราะคนไปเที่ยว แล้วคิดด้วยนะว่าจะโพสต์ทุกสามทุ่ม เพราะคนกลับถึงบ้าน ต้องเปิดโทรศัพท์ พอเปิดปุ๊บ มึงเจอกูแน่ (หัวเราะ)
พอเราคิดมากแบบนี้แล้วยอดไลก์มันน้อย เราก็เลยนอยด์ ส่วนหนึ่งคงเพราะเราคิดว่าที่มีงานมีการทำก็เพราะเฟซบุ๊กนี่แหละ พอมันมีคนไลก์แค่ร้อยสองร้อยเลยจิตตก แล้วมาคิดๆ ดู เราคงเป็นเด็กคนหนึ่งที่หลงโซเชียลฯ หลงยอดไลก์แหละ เราเป็นอยู่ประมาณครึ่งปี จนเวลาเยียวยาเราเอง คือพูดเหมือนเว่อร์นะ แต่เวลาแม่งคือทุกสิ่งจริงๆ
อยู่ดีๆ เราก็ไม่สนใจเฟซบุ๊ก ไม่สนยอดไลก์ ไม่แคร์อะไรทั้งนั้น เราตัดขาดในเรื่องของการเอาใจไปพ่วงกับเฟซบุ๊กเลย แล้วเราก็พบว่างานมันไม่เกี่ยวกับเฟซบุ๊กเว้ย เพิ่งรู้ (หัวเราะ) คือต่อให้มีคนไลก์ไม่มีคนไลก์ ก็ยังมีงานทำอยู่ ทุกวันนี้เราเลยตัดขาดจากเฟซบุ๊ก เล่นบ้าง แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร ซึ่งดี แฮปปี้มาก ส่วนโรคซึมเศร้า เราเป็นอยู่ประมาณสองปี กินยาไปเรื่อยๆ จนทุกวันนี้ไม่เป็นแล้ว
Life MATTERs : อะไรคือข้อบ่งชี้ว่าไม่เป็นแล้ว
ต๊อด : เพราะกลับมาเป็นคนไม่เครียดอะไรเลยอีกครั้ง ตอนนี้ไม่มีเงินจะกินข้าวยังไม่สนใจ เดือนนี้ไม่มีเงินผ่อนบ้านก็ไม่สน อะไรจะเกิดกับเราก็ได้แล้ว ไม่เครียด พรสวรรค์ชัดๆ โคตรเจ๋ง (หัวเราะ)
Life MATTERs : มันพลอยทำให้คุณเลิกซีเรียสกับการวาดรูปไหม
ต๊อด : คงไม่ แต่คือสมัยก่อนเราตั้งเป้าว่าอยากเป็นศิลปินที่ดังระดับโลก แล้วกลายเป็นว่าเป้าที่ตั้งไว้มันบังคับให้เราคิดเยอะเกินไป คิดว่าทำแบบนี้แล้วจะกลายเป็นงานที่ดีมั้ย งานที่ทำไปจะได้รับการยอมรับจากสังคมหรือเปล่า เราคิดเยอะมาก จนถึงจุดหนึ่งมันคิดจนเหนื่อย ก็เลยไม่คิดดีกว่า พอไม่คิดนี่โอ้โห สบาย แล้วอย่างที่เรามาทำธุรกิจอย่างทุกวันนี้ สมมติเกิดทำแล้วอยู่ได้ เราก็ไม่ต้องแคร์แล้วว่าต้องวาดรูปให้จริงจังหรืองานศิลปะเราจะขายได้มั้ย เราจะดังหรือเปล่าก็ไม่เป็นไรแล้ว เพราะทุกวันนี้อยู่บ้านก็มีความสุขดี ไม่เห็นต้องดังอะไรขนาดนั้นเลยนี่หว่า
เป้าหมายก็ยังเหมือนเดิมนะ มันแค่เบนไปยังทิศทางที่หาความสุขให้ตัวเองเยอะขึ้น ตอนนี้เรารู้สึกว่าไม่ต้องดังระดับโลกแล้วก็ได้ ยิ่งช่วงหลังๆ พอเข้าไปเจอคนเยอะขึ้นเรากลับยิ่งไม่ชอบ และคิดว่าถ้าต้องดังก็จะต้องเจอกับสังคมที่ไม่ชอบเข้าไปใหญ่ เราชอบอยู่ในสังคมที่เจอกันแค่ห้าหกคน เจอกันเป็นกลุ่มเล็กๆ มากกว่า คือเคยไปอยู่ในสถานการณ์ที่คนเยอะๆ แล้วต้องไปยืนอยู่กลางสปอตไลต์ หรือไปเป็นแขกตามงานปาร์ตี้ แล้วรู้สึกว่ามันสนุกแค่เสี้ยวเดียว สักพักก็อยากกลับบ้านนอนแล้ว
Life MATTERs : กลายเป็นว่าไลฟ์สไตล์คุณแตกต่างกับตัวงานเสียอย่างงั้น
ต๊อด : งานไม่ได้บ่งบอกถึงความเป็นเราเลย คือเราอยากวาดอะไรที่มันเชี่ยๆ มาตั้งแต่เด็ก มีความอยากระบายบางอย่าง แต่ไลฟ์สไตล์เราไม่ได้เป็นคนอย่างนั้น ที่จริงเป็นคนเงียบสงบมากๆ เรียบง่ายมากๆ ไม่สังคมเลย
เราเกลียดการเปิดตัวมาก เกลียดการเป็นคนที่ยืนอยู่ในงานแล้วมีคนเดินมาถามว่างานชิ้นนี้เป็นยังไงคืออะไร เราขี้เกียจบอก เพราะบางทีเราไม่ได้คิดอะไรหรอก แค่อยากทำเฉยๆ แล้วเราเป็นเด็กกลางห้องมาตลอด เป็นเด็กที่รู้จักเพื่อนทุกคน แต่ไม่ได้เป็นตัวชูโรง ครูเหมือนจะจำได้ แต่จำไม่ได้อะไรแบบนี้ เพราะแบบนี้มั้ง เราเลยเกลียดการอยู่ในที่แจ้ง ไม่ชินกับการเป็นคนที่อยู่ในสายตาคนอื่น
เราชอบบทสัมภาษณ์ Coldplay ของ Dudesweet มาก คือ วิล แชมเปียน (มือกลอง) และ กาย เบอรีแมน (มือเบส) พูดในบทสัมภาษณ์ทำนองว่าพวกเขาอยู่ในวงดนตรีชื่อดัง แต่ตัวเองไม่ใช่คนดัง ตอนเล่นคอนเสิร์ตคนอาจจะกรี๊ดกร๊าด แต่พอวันรุ่งขึ้น เดินถนนก็ไม่มีใครจำได้ ซึ่งเราอยากเป็นแบบนี้ เช่นเราทำ URFACE แล้วไม่ต้องออกหน้า คือคนเรามันต้องการมีตัวตนแหละ แต่เรารู้สึกว่าเคยผ่านช่วงที่ได้มีตัวตนชัดๆ มาแล้ว รู้แล้วว่ามันเป็นยังไง เราพอแล้ว ตอนนี้เราอยากเป็นคนที่ทำสิ่งหนึ่งได้เจ๋งสัดๆ แต่ไม่มีใครจำหน้าไอ้คนที่ทำได้เลย รู้สึกว่าใช้ชีวิตง่ายดี
Life MATTERs : คุณคิดแบบนี้มานานหรือยัง
ต๊อด : คิดตอนอ่านบทสัมภาษณ์ Coldplay นี่แหละ (หัวเราะ) เอาจริง คือเราอ่านแล้วเหมือนเห็นตัวเอง อารมณ์แบบ เฮ้ย กูเป็นคนแบบนี้มาตลอดเลยนี่หว่า แค่ไม่มีใครมาพูดแทนเรา ก่อนหน้านี้เราแค่สงสัยว่าทำไมเราไม่ชอบวะ ทำไมพอถือไมค์มีไฟส่องแล้วพูดไม่ได้ เราคงเป็นคนหน้าบางด้วยมั้ง ไม่พร้อมจะแบกรับความผิดหวัง เกิดแบบทำร่วมกับเพื่อนแล้วทุกคนได้ดีหมดเลย เราแป้กอยู่คนเดียว คงรับไม่ได้ เราเป็นคนรับความผิดหวังไม่เก่งเลยเลือกที่จะไม่เจออะไรแบบนี้ดีกว่า
Life MATTERs : แต่ไม่นานมานี้คุณก็เพิ่งมีงานแสดงกับเพื่อนไป
ต๊อด : มันไม่ใช่งานสเกลใหญ่ไง แล้วเราก็ทำกับเพื่อนที่สนิทกันมากๆ ชื่อกลุ่มว่า Freak Show เป็นกลุ่มคนที่อยากทำอะไรก็ทำ ไอ้ที่จัดแสดงงาน (Freak Show 2: Siamese Twins) นี่ก็ไม่ได้คุยกันนะว่าใครจะทำอะไร ต่างคนต่างทำไปเลย อย่างเราเป็นที่คนเกลียดการวาดภาพโดยใช้มือมาก เพราะวาดไม่เก่ง เป็นคนทำงานในคอมพ์ ทำจนเสียนิสัย ทำจนรู้สึกว่าการทำงานมือไม่สนุกเลย มัน undo ไม่ได้
แต่พอจะจัดงานนี้ก็ดันไปเห็นเสน่ห์บางอย่างของงานมือ ก็เลยคันไม้คันมืออยากทำ คือเราเป็นพวกคิดอะไรได้ต้องทำทันที รอไม่ได้ไม่งั้นหมดไฟ จะให้ไปทำพวกงานเรซิ่น นั่งหล่อนั้งปั้นก็นานไป เลยทำตุ๊กตาเอาดีกว่า แค่วาดรูปแล้วก็ตัดเย็บเอง
ก่อนหน้านี้เราเคยเย็บแต่พวกชายเสื้อตอนเรียน กพอ. สมัย ม.3 นานมากแล้วนะ แต่ดันจำวิธีทำได้ เราอาจมีความเป็นเพศหญิงอยู่ในตัวเยอะโดยไม่รู้ตัวก็ได้ อย่างสมัยเด็กๆ อาซื้อโครเชต์มานี่อยากถักมาก (หัวเราะ) แต่ที่เลือกทำตุ๊กตา จริงๆ คือเพราะมันเร็ว แค่ตัด เย็บ ใส่นุ่นก็จบ แล้วงานเราไม่ใช่งานเนี้ยบ อารมณ์เหมือนโยนผ้าโยนเข็มให้เด็กประถมทำ หน้าตาก็คงออกมาประมาณนี้เหมือนกัน ก็สนุกดีนะ เพราะเราไม่ได้คาดหวังว่าต้องทำงานศิลปะเพื่อขาย อยากทำอะไรก็ทำ ไม่ได้อยากอยู่ในกรอบของการทำงานศิลปะเท่าไหร่
Life MATTERs : กรอบของงานศิลปะสำหรับคุณมันคืออะไร
ต๊อด : เราเคยเชื่อว่าการทำงานศิลปะให้ได้รับความนิยม โด่งดัง มีชื่อเสียง มันต้องมีสตอรี่หรือคอนเซปต์ซ่อนอยู่ในตัวชิ้นงานหรือคนทำหยิบอะไรบางอย่างขึ้นมาจากความคิดหรือตะกอนชีวิตอะไรประมาณนี้ แต่งานของเราไม่มีอะไรเลยนอกจากจิ๋ม จู๋ ใช้สีสดๆ พูดตรงๆ มันกลวงมาก ชีวิตเราไม่มีอะไรเลย เราวาดจู๋วาดจิ๋มก็เพราะมันสนุก คือแต่ก่อนก็มีคิดบ้างนะว่ามันจะเหยียบเส้นล่อแหลม/ไม่ล่อแหลมยังไง แต่หลังๆ เราว่าโลกมันกว้างขึ้นอย่างรวดเร็ว หลายคนพูดเรื่องนี้กันจนมันกลายเป็นเรื่องธรรมดา เราเองก็เริ่มไม่สนุกกับการต้องพยายามคิดสตอรี่ให้มันแล้ว ก็แค่อยากทำอะไรที่สนุกเฉยๆ
Life MATTERs : พอเล่นกับความสนุกแล้ว เมื่อเจอคนที่ไม่สนุกกับเราจะทำยังไง
ต๊อด : เรื่องของเขา ก็ไปสนุกเรื่องอื่นสิ (หัวเราะ) ทำกระเป๋าแล้วไม่มีคนซื้อก็เฟลนะ แต่เดี๋ยวก็ต้องสร้างลายใหม่ที่มันต้องโดนจนได้แหละ คือทุกวันนี้ ทำมาห้าลาย โดนสามหรือโดนหนึ่งก็โอเคแล้วนะ เพราะอย่างน้อยก็มีโดนบ้าง อย่างทำงานให้ลูกค้า ถ้าเขาแฮปปี้ เราแฮปปี้ ก็โอเค จบ ไม่มีความซับซ้อนเลย
เรานับถือคนที่เข้าใจเรื่องยากๆ ได้มากเลยนะ อย่างไอ้เรื่องเข้าใจความสุขข้างใน ไปใช้พลังงานข้างนอกอะไรพวกนี้ มึงเข้าใจเรื่องพวกนี้ได้ไงวะ กูอ่านตั้งนานกว่าจะเข้าใจ (หัวเราะ)
เราไม่สามารถเข้าใจเรื่องยากๆ ได้ เลยพยายามทำทุกอย่างให้มันง่ายที่สุด อย่างเวลาทำ URFACE มันก็จะมีเรื่องยากๆ อย่างพวกบัญชี การเงิน เราก็ชัดเจนเลยว่าจะอยู่แต่ในส่วนของการออกแบบ ทำให้มันดี ส่วนที่เหลือให้คนอื่นรับผิดชอบไป
Life MATTERs : ยังจำกัดความตัวเองว่าเป็นศิลปินอยู่ไหม
ต๊อด : ไม่รู้ว่ะ ไม่แคร์ด้วย เราก็ไม่รู้ว่าเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ คือถ้ามองย้อนกลับไป สองปีที่แล้วเราอยากดังมากๆ ช่วงนั้นคือชัดเจน แต่ระหว่างทางมันก็ค่อยๆ คลี่คลายมาเรื่อยๆ จนตอนนี้เฉยๆ ไม่อยากดังแล้ว โชคดีที่ทุกวันนี้ได้วาดรูปหาเงินหรือทำธุรกิจแล้วยังสนุกอยู่
เอางี้ดีกว่า เคยคิดว่าสิ่งที่เราทำแม่งเท่เว้ย แต่ตอนนี้เราไม่คิดว่าตัวเองเท่แล้ว เลิกสนใจ คิดว่าตัวเองโชคดีที่ได้ทำสิ่งในที่รัก มีงานทำ มีเงินเข้าทุกเดือนก็โอเค ซึ่งเจ๋งว่ะ รู้สึกว่าตัวเองมีความเป็นมนุษย์มากขึ้น ตอนนี้คงเหมือนคนแก่ เขาคงเลิกมองผู้หญิงกันแล้วเปล่าวะ หรือมองแล้วก็ไม่ได้คิดอะไรต่อ การทำงานของเราก็คงเฟสเดียวกัน ทำเพราะชอบ ทำเพราะมีความสุข ส่วนสังคมจะชอบหรือไม่ชอบ ไม่สนใจแล้ว ไม่ได้มองคนอื่นเยอะ