เคยรู้หรือไม่ว่าเพลงป๊อปยอดฮิตติดชาร์ต ซาวด์แทร็กจากหนังบ็อกซ์ออฟฟิศ หรือเสียงเอฟเฟ็กต์นานาในเกม หลายครั้งมีที่มาจากเครื่องดนตรีอิเล็กทรอนิกแค่ชิ้นเดียว
นี่นับเป็นความรู้ใหม่สำหรับเรา จากการพูดคุยกับ เอิ๊ก—วรณัฐ วรพิทักษ์ เจ้าของร้านขายเครื่องดนตรีอิเล็กทรอนิก Sathon Chainsaw ที่ซ่อนตัวอยู่ในสนามหญ้าหลังบ้าน รอให้คนคอเดียวกันได้แวะไปดื่มด่ำ
ร้านนี้เกิดขึ้นจากการหลงรักเครื่องสร้างเสียงสังเคราะห์ Modular Synthesizer ถึงขนาดที่ทำให้เอิ๊กก้าวข้ามจากการเป็นคนเล่นมาเป็นคนขาย ในการณ์นี้ เขาไม่ได้ทำเพื่อกำไรเท่านั้น แต่ยังหวังจะเพิ่มที่ทางให้ดนตรีอิเล็กทรอนิกในเมืองไทยและเพื่อให้คนได้รู้ว่าดนตรีชนิดนี้ไม่ได้มีแค่ EDM เท่านั้น แต่ยังพาเราไปสู่มิติทางดนตรีได้อีกกว้างไกลทีเดียว
Life MATTERs : ก่อนอื่น ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยว่าทำไมคุณถึงตั้งชื่อร้านว่า ‘Sathon Chainsaw’
เอิ๊ก: ชื่อนี้มันมาจากชื่อซอยที่ตัวเองอยู่ กับหนังที่ชอบเรื่อง Texas Chainsaw อีกอย่างหนึ่งคือคำว่า saw มันเป็นชื่อ wave form หนึ่งของเสียงด้วย เป็นเสียงใบเลื่อย มีฮาร์โมนิคครบทั้งเสียงที่นุ่มและเสียงที่แรง คนสามารถตีความชื่อนี้ไปได้หลายแบบ
Life MATTERs : ก่อนที่จะมาเปิดร้านอยู่ในวงการดนตรีอิเล็กทรอนิกมาก่อนหรือเปล่า
เอิ๊ก : จริงๆ เมื่อก่อนเราก็ทำงานที่ Duck Unit (บริษัทผู้อยู่เบื้องหลังไฟและวิชวลในคอนเสิร์ตและอีเวนต์ต่างๆ) แต่หลังๆ เขาทำงาน lighting เยอะ เราไม่ค่อยถนัด อีกอย่างก็คือแต่งงานมีลูกเราเลยออกมาทำของเราเอง ตอนนี้ก็เป็นฟรีแลนซ์ตัดต่อหนัง แอนิเมชั่นต่างๆ ซึ่งเป็นอาชีพหลักที่ได้เงิน ส่วนร้านขายเครื่องดนตรีนี่เป็นอาชีพเสริม
Life MATTERs : ถ้าอย่างนั้นคุณเริ่มสนใจดนตรีอิเล็กทรอนิกได้ยังไง
เอิ๊ก : จากโคอิชิ (Koichi Shimizu แห่งค่าย SO : ON Dry Flower—เพื่อนสนิทของเอิ๊ก) ครับ เมื่อก่อนเราก็ชอบเพลงทั่วไปนี่แหละ มีอะไรให้ฟังเราก็ฟัง โชคดีที่ตอนนั้น Duck Unit เราได้ทำงานกับโคอิชิ พอได้เริ่มคุยกันแล้วเขาเห็นว่าเรากำลังหาอะไรฟังอยู่ เขาก็เริ่มแนะนำเรา หาอะไรที่เป็นคอร์ดแปลกๆ มาให้ฟัง เราก็ เฮ้ย! นี่มันเพลงอะไรวะไม่เห็นเคยได้ยินเลย
พอได้ยินมากๆ เข้าเราก็รู้สึกอยากทำซาวนด์เอง เพราะเราก็ทำงานตัดต่อมาเยอะ อยากทำซาวนด์ใส่ลงไปในหนังเอง ไม่อยากไปจ้างเขาแล้วเพราะมันแพง
เราไปปรึกษาโคอิชิ เขาก็แนะนำให้ซื้อเครื่องนู้นเครื่องนี้ เราก็เริ่มซื้อจากเครื่องที่มันถูกๆ ก่อน เก็บมาเรื่อยๆ จนวันหนึ่งเรารู้สึกว่าไอ้เครื่องเล็กๆ ถูกๆ นี่มันรวมกันก็จะเป็นแสนแล้วนี่หว่าแต่เรายังได้แต่อะไรไม่รู้เนี่ยนะ
เลยตัดสินใจขายมันทั้งหมดเลย แล้วมานั่งรีเสิร์ชว่าจะซื้ออะไรดีที่มันเป็นที่สุดแบบถ้ามีอันนี้จะไม่อยากได้อะไรอีกแล้ว ก็มาเจอเครื่อง modular synthesizer พอเก็บสะสมมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ปี 2012 ก็รู้สึกว่ามีเยอะประมาณนึงแล้ว อยากขายด้วย เลยลองเปิดร้านดู
Life MATTERs : คุณใช้เวลานานไหมกว่าจะเข้าใจเครื่องพวกนี้จริงๆ
เอิ๊ก : นาน (เน้นเสียง) นานมาก ต้องรีเสิร์ชเยอะมาก เครื่องนี้มันไม่ใช่แค่เครื่องดนตรี มันต้องใช้ทฤษฎีการออกแบบเสียงด้วย เช่น wave form shape นี้ผสม shape นี้แล้วได้อะไร บางเครื่องเราใช้เวลา 1 ปี กว่าจะเล่นเป็น คือนั่งอ่านคู่มือ 1 รอบก็ใช้ได้แล้ว แต่กว่าเราเข้าใจวิธีคิดของมันก็เป็นปี
Life MATTERs : คุณทำความเข้าใจเครื่องพวกนี้ด้วยตัวเองเลยไหม
เอิ๊ก : ใช่ๆ เราเป็นพวกชอบรีเสิร์ชมากกว่าชอบทำงาน เวลาทำงานเราจะนั่งรีเสิร์ชอย่างเดียวทั้งวัน แล้วค่อยมาทำตอนกลางคืน รีเสิร์ชเพื่อให้รู้ว่ามันจะทำอะไรได้บ้าง พอเริ่มซื้อเครื่องหนึ่งก็รีเสิร์ชเจอเครื่องต่างๆ ที่มันไปด้วยกันได้หมดเลย แต่ข้อเสียก็มีเหมือนกัน คือเสียตังค์ไปเยอะเลย
Life MATTERs : คุณดูมีความสนใจที่หลากหลายทั้งเรื่องดนตรี แล้วยังมีเรื่องการเลี้ยงสัตว์ exotic ด้วย พอสนใจอะไรแล้วคุณต้องเข้าไปคลุกคลีทุกเรื่องเลยมั้ย
เอิ๊ก : ช่วงที่บ้าสัตว์ก็ลืมดนตรีไปเลย (หัวเราะ) มัวแต่รีเสิร์ชว่างูพันธ์ุนี้กับพันธ์ุนั้นผสมกันแล้วจะออกมาเป็นยังไง พอถึงจุดที่รู้สึกว่าตัวเองรู้ประมาณนึงแล้วก็โอเค พอ อย่างดนตรีตอนนี้ก็ถึงจุดที่โอเคแล้วประมาณนึง ช่วงบ้าก็บ้าอยู่ 2-3 ปี ไม่ทำอะไร ตอนที่อยู่ Duck Unit ก็บ้าพวกตัดต่อ 3D นั่งรีเสิร์ชไป สิ่งที่เราชอบก็มีเท่านี้แหละ ดนตรี ตัดต่อ สัตว์เลี้ยง
Life MATTERs : คนทั่วไปมักจะมองว่าเพลงอิเล็กทรอนิกเป็นเพลงที่ฟังยาก คุณคิดยังไง
เอิ๊ก : ฟังไม่ยากเลย เพลงสตริง เพลงป๊อปก็ใช้เครื่องนี้ ยิ่งซาวด์ประกอบเกมหรือหนังยิ่งใช้เครื่องนี้ทำเยอะมาก เพราะมันสามารถสร้างเสียงแปลกๆ ได้พอสมควร
เราสะใจตรงที่ข้างในเครื่องมันเป็นไฟฟ้าหมดเลย เสียงๆ หนึ่งที่ออกมามันคือกระแสไฟฟ้าที่วิ่งอยู่ข้างใน พลังเสียงที่ออกมามันจะมากกว่าเครื่องทั่วๆ ไปหลายเท่า ถ้าได้ลำโพงที่ดี พอไปยืนใกล้ๆ จะรู้สึกถึงลมที่มันออกมา รู้สึกเหมือนหัวใจหลุดเลย มันแรงมาก (หัวเราะ)
ส่วนตัวเราเป็นคนชอบอะไรที่มันสุดไปเลย ไม่ชอบอะไรที่กลางๆ ฉะนั้นเวลาฟังเพลงก็อยากจะฟังอะไรที่สุดไปเลย ป๊อปก็ป๊อปสุด แรงก็แรงสุด ถ้าจะประสาทกินก็ประสาทที่สุด แล้วอันนี้มันค่อนข้างตอบโจทย์ได้ทุกอย่าง
Life MATTERs : ความชอบอะไรต้องไปสุดของคุณทำให้รู้สึกว่าเหนื่อยบ้างไหม
เอิ๊ก : ไม่มีนะ เพราะเครื่องพวกนี้เราเล่นเองอยู่แล้ว มันเหมือนเครื่องบำบัด ค่อนข้างเป็นเครื่องที่เอาไว้ปลดปล่อยเหมือนกันนะเพราะเสียงมันดังมากจริงๆ อย่างวันนี้ส่งงานไปแล้วต้องแก้เยอะเราก็มาระบายกับเครื่องนี้ ก็สนุกดี เป็นอีกอารมณ์หนึ่งที่ไม่ต้องเป็นเพลงก็ได้
Life MATTERs : พอจำกัดความว่าเป็นร้านขายเครื่องดนตรีอิเล็กทรอนิกแล้วมีคนเข้าใจร้านของคุณผิดบ้างมั้ย
เอิ๊ก : ก็มีนะ คนเข้ามาในห้องนี้ที่ไม่เข้าใจเครื่องพวกนี้ เขาก็จะถามว่าห้องนี้มีดีเจอะไรบ้าง คือเขาคิดว่าอิเล็กทรอนิกคือเครื่องเล่นของดีเจหมดเลย ซึ่งก็ไม่เป็นไรที่คนเข้าใจไปแบบนั้น ถ้าเราไม่ได้รู้จักเราก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน จริงๆ การใช้เครื่องนี้มันคือการต้อง compose องค์ประกอบต่างๆ เขียนเพลงขึ้นมา เป็นกีตาร์ เป็นกลอง แต่เราแค่ใช้อุปกรณ์พวกนี้ในการทำแค่นั้นเอง
Life MATTERs : การที่เราสามารถสร้างเสียงเครื่องดนตรีได้ทุกชิ้นด้วย modular synthesizer เพียงเครื่องเดียวทำให้การทำเพลงด้วยตัวคนเดียวให้สมบูรณ์เป็นไปได้มั้ย
เอิ๊ก : ได้หมดเลย เราสามารถเอาเครื่องหลายๆ เครื่องมาประกอบกันเป็นเครื่อง Modular เครื่องเดียวได้ เพียงแต่มันจะมีเมนูให้กดเยอะมาก เช่น บางอันมีไว้ทำเสียงกลองโดยเฉพาะ บางอันใช้เพื่ออัดเสียงแล้วนำมาเปลี่ยนเสียงเพิ่มเติมได้ บางอันก็เหมือนคีย์บอร์ดเอามาเล่นเป็นเพลง พอเอาทุกอย่างมาผสมกันก็เล่นเป็นเพลงได้
Life MATTERs : คุณเองได้ทำเพลงเองบ้างหรือเปล่า
เอิ๊ก : เมื่อก่อนก็ทำแต่เดี๋ยวนี้พอมีลูกก็ไม่ได้ทำแล้ว จะทำเล่นๆ สนุกๆ มากกว่า แต่เรายังคงเป็นคนชอบรีเสิร์ช ลองนู่นลองนี่อยู่ เหมือนเป็น engineer มากกว่าเป็นนักดนตรี อย่างโคอิชินี่เขาจะเป็นนักดนตรีจริงๆ ที่ไม่ศึกษาอะไรเลย มีปัญหาอะไรก็จะโทรมาปรึกษาเรา ซึ่งเราก็ชอบที่เป็นอย่างนั้นมากกว่า
Life MATTERs : แล้วตอนนี้คอมมิวนิตี้ของคนที่ชอบเรื่องนี้ในเมืองไทยใหญ่หรือเล็กแค่ไหน
เอิ๊ก : มันเล็กแน่นอน เราว่ามีคนที่สนใจเยอะนะแต่อาจจะด้วยหลายองค์ประกอบ อย่างมีคนมาซื้อเครื่องเราไปสองคน สองอาทิตย์ผ่านไปเขาขายหมดเลย เราก็เข้าใจได้เพราะวิธีใช้มันไม่เหมือนกีตาร์ที่เอามาจับดีดก็มีเสียงแล้ว
เครื่องนี้มันต้องอ่านคู่มือจริงๆ ซึ่งคู่มือมันเหมือนหนังสือสอบเลยนะ มี 200 กว่าหน้า ต้องอ่านจริงๆ ถึงจะใช้เป็น บางคนเขาไม่ชอบแบบนั้นไง เราเคยคุยกับเจ้าของร้านที่เขาขายเครื่องพวกนี้เหมือนกัน เขาก็บอกว่าพวกนักดนตรีอิเล็กทรอนิกของไทยต้องการแค่คีย์บอร์ดที่มีสีดำกับขาว มี preset (เสียงที่ตั้งค่าไว้แล้ว) เพื่อทำเสียงกีตาร์ เสียงเบส แล้วก็เล่นได้เลย ไม่มีใครมานั่งโปรแกรมแบบนี้
คนที่ชอบอะไรแบบนี้มันหายากเหมือนกัน คนที่ซื้อเครื่องเราไปก็แมสเสจมาถามกระจายเลย ปรับอะไรยังไง พรีเซ็ตอยู่ตรงไหน แต่ตอนนี้เขาหายไปหมดละ เราว่าคนที่ชอบเครื่องพวกนี้ต้องเนิร์ดประมาณนึงถึงจะเอนจอย สามารถอยู่กับมันได้
Life MATTERs : ถ้าอย่างนั้นทุกวันนี้สังคมของที่ชอบเครื่องดนตรีเหล่านี้หน้าตาเป็นประมาณไหน
เอิ๊ก : มันก็จะมีกลุ่มสำหรับดนตรีประเภทนี้อยู่ในเมืองไทยตอนนี้มีคนประมาณ 80 คน แล้วทุกคนก็จะมาเนิร์ดใส่กันว่าวันนี้ทำอะไรไปบ้าง มันดีมากนะ ทำให้เราได้เจอคนแปลกๆ เยอะมาก แล้วก็ชอบมีตัวละครลับ อย่างลุงคนนึงที่อยู่อุบลฯ ซึ่งมีเครื่องตัวท็อปมากๆ ลุงอีกคนที่หัวหินก็เป็นเอ็นจิเนียร์ในตำนาน อายุ 60 จะ 70 เขาทำเครื่องชื่อ Lexicon เป็นเครื่องเอฟเฟกต์ที่มีแต่คนหาซื้อกัน
อีกอย่าง เราว่ามันมีคนอยากจะเล่นเยอะแต่ว่ามันไม่มีพื้นที่ให้ อย่างเราซื้อเครื่องนี้มาเราก็ดูจากยูทูปอย่างเดียวเลย ถือว่าเสี่ยงมากเหมือนกัน เครื่องก็แพง เราดูอย่างเดียวไม่ได้จับ เครื่องมันห่วยหรือเปล่าเรายังไม่รู้เลย ก็ลองสั่งมาๆ ซึ่งตอนนี้มันก็มีเครื่องต่างๆ อยู่ที่นี่แล้ว คนก็น่าจะมาลองกัน
Life MATTERs : พูดถึงทุกวันนี้ที่คุณมีครอบครัวแล้วคุณยังไปสุดกับการทดลองทุกเรื่องหรือต้องเริ่ม slow down บ้าง
เอิ๊ก : สโลว์หลายอย่างเลยแหละ ไม่ใช่อย่างใดอย่างหนึ่ง อย่างพอมีลูกก็ต้องให้ลูกหลับก่อนถึงมาทำงาน ตอนนี้เลยต้องมีผู้ช่วยเพราะมันเหนื่อยเกิน บางวัน 4-5 ทุ่มเพิ่งได้เริ่มงาน 6 โมงเช้าลูกตื่นอีกแล้ว จะบ้า (หัวเราะ) ไม่ค่อยมีเวลาทำอะไรเท่าไหร่ แต่เราก็ยังสนุกกับการทดลองไปเรื่อยๆ อยู่ แค่เวลามันน้อยลง เราต้องจัดการเวลาให้ดีขึ้น
Life MATTERs : สุดท้าย ถ้าให้ลองจินตนาการภาพจงอาง (ลูกชาย) ตอนวัยรุ่น คิดว่าจะเป็นอย่างไร
เอิ๊ก : คิดว่าเป็นยังไงก็ได้ แต่น่าจะสุดโต่ง เพราะตอนนี้ไม่กลัวคนเลย วิ่งเข้าหาคน อยากให้คนทำนั่นทำนี่ซึ่งเป็นคนละขั้วกับเรา แต่เราไม่บังคับ อยากเป็นอะไรก็เป็น เป็นตุ๊ดก็เป็น นี่มันสมัยไหนแล้ว อย่าไปคิดมาก แต่ไม่เอาแบบแอบๆ ถ้าเป็นอยากให้เป็นตุ๊ดแบบสุดๆ เปิดเผยไปเลย เดี๋ยวค่อยถามสักประมาณอายุ 15 แล้วกันว่าเป็นไหม ถ้าเป็นก็จะได้ซัพพอร์ตให้สุดยอดไปเลย (หัวเราะ) จะมาแอบๆ ทำไม
พูดคุยกันจบแล้ว เราก็พบว่า บางทีความสุดโต่งในจังหวะและเวลาที่ใช่นี่มันก็เจ๋งเป็นบ้า