ใครๆ ก็รู้ว่าสายป่าน—อภิญญา สกุลเจริญสุข คือตัวท็อปด้านการแสดงของบ้านเรา เพราะไม่ว่าจะเล่นบทไหนก็ตีบทแตกเมื่อนั้น ตั้งแต่บทอินดี้อย่าง ‘พลอย’ หรือบทโหดอย่างเกรซแห่ง ‘อวสานโลกสวย’ หรือจะบทร้ายได้โล่อย่าง เชอร์รี่ แห่ง ‘คลับฟรายเดย์เดอะซีรีส์’ ล่าสุดกับบทครูเบสท์ ใน ‘โปรเจกต์ S เดอะซีรีส์’ เธอก็ทำเอาคนน้ำตาซึมตามได้ไม่ยากเย็น
แค่ดูสายป่านในจอหนังหรือจอทีวีว่าแซ่บแล้ว พอได้ไปคุยกับเธอก็แซ่บไม่แพ้กัน ในลุคเท่ๆ ผมสั้น กับใบหน้าหวานๆ ดูเพลิน แต่ทุกคำพูดที่ได้ฟังทำให้เรารู้สึกถึงความจริงจังในฐานะนักแสดงอาชีพ ที่ต้องขุดต้องควักเอาอินเนอร์ออกมาจากความเข้าใจและรู้สึกไปกับบทจริงๆ ถึงขั้นเคยกลับบ้านอ้วกแตกมาแล้ว เมื่อต้องแสดงสองเรื่องพร้อมๆ กัน
ความจริงจังนี้ทำให้เรายิ่งเข้าใจ ว่าทำไมสายป่านถึงเป็นนักแสดงอันดับต้นๆ เมื่อคนพูดถึงเรื่องฝีมือ เพราะความเฟคเป็นสิ่งที่เธอไม่โอเค และเรฟเฟอเรนซ์ที่แท้ก็ต้องมาจากความเข้าใจ การรีเสิร์ชและลงไปคลุกคลีจริงๆ ถึงแม้บางส่วนในวงการบันเทิงไทยจะยังไม่ได้ไปไกลอย่างที่เธอหวังเอาไว้ก็เถอะ…
Life MATTERs : ถ้ามองที่ตัวเองพอจะรู้ไหม ว่าอะไรที่ทำให้คุณแสดงเก่งแบบนี้
สายป่าน : น่าจะเพราะป่านเป็นคนชอบสังเกต เป็นคนช่างซัก ช่างถามมาตั้งแต่เด็ก เวลาไม่เข้าใจอะไรก็จะถาม แล้วจะหาเหตุผลมาประมวลผลในตัวเอง
อีกข้อคือน่าจะเป็นเรื่องของพรสวรรค์ ป่านไม่ได้อยากเป็นนักแสดงมาตั้งแต่แรก ไม่เคยอยากเป็นเลย แต่ว่าพอเราได้ลองทำแล้ว ฟังคนอื่นตัดสิน คือคนก็พูดกันว่าดี ทำให้เริ่มมาสำรวจตัวเองว่ามันดีจริงเหรอวะ แล้วมันดียังไง พอสำรวจแล้วก็รู้สึกว่า เออ จริงๆ แล้วเราก็ชอบมันนี่หว่า ด้วยความที่เราเป็นเด็ก พอทำแล้วมีคนชม มันก็เลยไปกันใหญ่ กลายเป็นว่าอยากทำอีกๆ มันทำให้เราได้ฝึกไปเรื่อยๆ
พอได้ฝึกไปเรื่อยๆ เราก็เริ่มสนุก รู้สึกว่ามันท้าทาย ก็เริ่มหาแบบทดสอบที่ยากขึ้น เราเริ่มหาเรฟเฟอเรนซ์ ทำการรีเสิร์ช แล้วก็วิเคราะห์เยอะขึ้น ด้วยความที่เป็นช่างสังเกต ช่างซัก ช่างถามอยู่แล้ว มันก็เลยค่อยๆ เก่งขึ้น
แล้วพอเราไม่ได้อยากเป็นมาตั้งแต่แรก ก็เลยรู้สึกว่าเราไม่ได้แข่งกับใคร เราแค่แข่งกับตัวเอง เราพยายามกดดันตัวเองให้มันดีขึ้นในมาตรฐานของตัวเราเอง จนกระทั่งทุกวันนี้ไปออกกอง ไปถ่ายหนัง ถ้าเรารู้สึกว่าเราพอใจแล้ว วันนี้เราทำเต็มที่แล้วจริงๆ กลับบ้านมาเราถึงจะนอนหลับ ถ้าวันไหนที่กลับมาแล้วรู้สึกว่าทำไม่เต็มที่ เราก็จะนอนไม่หลับ จะรู้สึกแบบ แม่งเอ๊ย ทำไมถึงให้เสียงหมาเห่ามาทำลายสมาธิวะ อะไรอย่างนี้ เมื่อไม่อยากให้ตัวเองรู้สึกติดขัดแบบนั้น ก็เลยพยายามทำให้มันดีในทุกวัน
มันจะมียุคหนึ่งที่ป่านเหมือนจะเป็นคนย้ำคิดย้ำทำ จะเกิดคำถามกับตัวเองทุกวัน ว่าทำวันนี้ดีหรือยัง มันจะมีช่วงที่ชีวิตไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ก็จะกลับมานอนทบทวนว่าวันหนึ่งเราทำอะไรไปบ้าง ดีไหม ถ้าไม่ดี วันต่อไปก็ต้องตั้งใจทำใหม่ถ้ายังมีโอกาสทำมันอยู่ เลยจะเป็นคนที่กว่าจะนอนได้ต้องมานั่งคิดอะไรแบบนี้
Life MATTERs : เป็นการประเมินตัวเองทุกวันหรือรับฟีดแบ็คมาจากคนอื่นอีกที
สายป่าน : ประเมินตัวเองทุกวันค่ะ มันจะมียุคหนึ่งที่ป่านเหมือนจะเป็นคนย้ำคิดย้ำทำ จะเกิดคำถามกับตัวเองทุกวัน ว่าทำวันนี้ดีหรือยัง มันจะมีช่วงที่ชีวิตไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ก็จะกลับมานอนทบทวนว่าวันหนึ่งเราทำอะไรไปบ้าง ดีไหม ถ้าไม่ดี วันต่อไปก็ต้องตั้งใจทำใหม่ถ้ายังมีโอกาสทำมันอยู่ เลยจะเป็นคนที่กว่าจะนอนได้ต้องมานั่งคิดอะไรแบบนี้
Life MATTERs : พอเป็นคนที่คิดเยอะๆ การอยู่ในวงการบันเทิงลำบากไหม เพราะในวงการดูมีเรื่องให้คิดเยอะมาก
สายป่าน : ลำบากค่ะ วงการบันเทิงมันกินทุกอย่างไปเกินครึ่งของชีวิต มันกินเวลา โลกส่วนตัว ความชอบ เพื่อน มันเบียดทุกอย่างไปหมด จริงๆ มันเป็นอะไรที่น่าเกลียดมากนะ ที่เรามาทำเพราะแลกกับเงิน แต่มันกลับเอาจิตวิญญาณเราไปเลย ป่านไม่ได้ชอบความเป็นดารานะ แต่ด้วยความที่เราชอบการแสดงเราก็ทำ
ป่านว่าการแสดงมันคือศิลปะอย่างหนึ่งที่มัน express ได้เรื่อยๆ เราไม่เคยเบื่อ สุดท้ายก็เหมือนศิลปิน ที่สุดแล้วทุกคนต้องขายรูป ต่อให้มันมี inspire มาจากอะไรก็แล้วแต่ วันหนึ่งรูปมันก็ต้องถูกขาย ไม่มีศิลปินคนไหนวาดรูปแล้วเอาไว้แขวนบ้านตัวเอง เก็บไว้ดูเอง ไม่มีใครทำ gallery แล้วชื่นชมคนเดียว
มันเลยเป็นการทำสิ่งที่ชอบเป็นอาชีพ ชอบด้วยและต้องทำเงินด้วย เราพยายามจะเข้าใจว่า เราจะทำโดยไม่มีคนดูไม่ได้ จะทำโดยไม่ได้เงินไม่ได้ ดังนั้นเราต้องแสดงเป็นอาชีพ ถ้าใครบอกว่าป่านเป็นดารา ป่านจะบอกว่าเราเป็นนักแสดงมากกว่า
ก่อนหน้านั้น ป่านบอกเลยว่าป่านไม่แมส บางคนไม่รู้จักเราเลยด้วยซ้ำ อย่างคนที่เคยดูผลงานแรกๆ ของป่านก็จะบอกว่างานเราเป็นหนังเนือยๆ แต่ไม่ได้หมายความว่ามันไม่มีคนดูนะ มันมีคนดู แต่เป็นคนดูเฉพาะกลุ่ม เป็นคนที่เรียกตัวเองว่าดูหนังอินดี้ ดูหนังผี หรือเป็นกลุ่มเด็กแนวอะไรก็แล้วแต่ ป่านก็ไม่รู้ แต่ป่านไม่ได้แมสขนาดที่ไปตลาดแล้วทุกคนจะรู้จัก
จนกระทั่งช่วงหนึ่งของชีวิต ประมาณ 5 ปีที่แล้ว ตัวตนของป่านเริ่มโดดเด่นกว่าผลงาน คือคนที่รู้จักป่านอาจจะไม่ได้ติดตามผลงานป่าน เหมือนตอนแรกที่เราอายุ 14 ก็ยังมีคนดูหนังเราในโรงอยู่ แต่ทุกวันนี้ด้วยความที่โซเชียลมันมาแรงมากๆ เขาเห็นสไตล์ วิถีชีวิตเราแทน คนรู้จักป่านจากการแต่งตัว จากคำพูดคำจา จากไลฟ์สไตล์ป่านมากกว่า หมายถึงพอป่านประเมินตัวเองก็รู้สึกว่าอันนี้ตัวเราโดดเด่นกว่างานเราละ
Life MATTERs : แล้วพอตัวตนโดดเด่นกว่างาน มันโอเคไหม
สายป่าน : ป่านไม่ได้คาดหวังเลย ทั้งผลงาน ทั้งตัวตน คืออะไรก็แล้วแต่ ป่านขอแค่ นิ่งๆ เรื่อยๆ ได้ทำมันต่อก็พอ เหมือนกับว่ามันเลยจุดที่จะมาเช็กเรตติ้งตัวเองแล้ว เราก็ทำงานไปเรื่อยๆ กินนอน ตื่นมาทำงาน กินอิ่ม กินข้าวกอง กลับบ้านนอนหลับ แล้วก็ตื่นมาออกกองใหม่ จนลืมนึกถึงเงิน นึกถึงชื่อ นึกถึงอะไรไปแล้ว
Life MATTERs : ออกไปแสดงแล้วก็กลับบ้านนอน พอชีวิตเป็นรูทีนแบบนี้เหนื่อยไหม
สายป่าน : เบื่อ เราเบื่อมากกว่าเหนื่อย มันเหนื่อยเพราะช่วงเวลาทำงานมันเยอะมาก นั่นคือคิวละ 12 ชั่วโมง บางวันเกิน 12 ชั่วโมงด้วย ตั้งแต่ 6 โมงเช้า จนถึง 4 ทุ่ม ซึ่งนั่นหมายความว่าป่านต้องตื่นตั้งแต่ตี 4.30 และออกจากบ้านตี 5 เดินทางไปถึงกอง 6 โมงเช้า และเลิก 4 ทุ่ม กว่าจะถึงบ้านอาบน้ำล้างหน้าเสร็จก็เที่ยงคืน
มันเบื่อ บางทีเราเกลียดสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ เพราะว่าช่วงหลังมามันมีคนใช้ชื่อป่านทำงาน มากกว่าเอาความสามารถป่านออกมาจากข้างในจริงๆ คือพอมีชื่อว่า ‘สายป่าน’ มันกลายเป็นความคาดหวัง แล้วไม่ใช่แค่คนดู ทีมผู้สร้างก็คาดหวัง คือเขาจ้างเราไปแพงนะ ดังนั้นหมายความว่า เอาสิ คุณเอามันออกมาสิ อย่าเชื่อและอย่าคาดหวังในตัวป่านเยอะขนาดนี้ มันทำให้ป่านไม่มีแบบทดสอบ ไม่ได้เล่นอะไรเลย เพราะคุณคิดว่าสายป่านทำงานง่าย ทำงานสบาย แต่ที่เราเลือกทำงานอันนี้เพราะคิดว่าบทบาทมันน่าสนใจนะ ก็กลายเป็นว่าเขาปล่อยให้เป็นหน้าที่รับผิดชอบของเราอยู่คนเดียว กลายเป็นเราทำงานหนักมาก และมันน่าเบื่อ
จริงๆ เรามีอะไรมากกว่านั้น ไม่อยากเจอกันคนละครึ่งทางเหรอ คุณสร้างบ้านหนึ่งหลัง คุณไม่อยากแชร์ไอเดียกับวิศวกร หรือสถาปนิกเลยเหรอ คุณอยากให้บ้านหลังนี้เป็นบ้านของสถาปนิก หรือคุณอยากให้บ้านหลังนี้เป็นบ้านของคุณที่มีสถาปนิกที่ดีเป็นคนดูล่ะ
คือบางทีเขาใช้เงินแล้วก็ปล่อยให้เราทำ ป่านไม่ได้บอกว่าค่าจ้างป่านแพงขนาดนั้น เพราะเราไม่ใช่ซุป’ตาร์ ไม่ใช่ท็อปเท็นตัวแม่ เพียงแต่ว่ามันก็ไม่ได้ต่ำ ป่านว่ามันเมคเซนส์กับสิ่งที่เขาควรจะได้รับไป แต่เขาได้มันจริงๆ หรือเปล่าล่ะ
พออินเนอร์ไม่มี มันก็ดูเป็นการแสดง คือป่านอยากทำ ป่านไม่ได้อยากแสดง ป่านอยากรู้สึกก่อนแล้วค่อยทำ เพราะว่ามันไม่มีเหตุผลเลยที่คนเราจะทำโดยที่ไม่รู้สึก
Life MATTERs : ถ้าอย่างนั้นการทำงานในอุดมคติที่จะทำให้คุณสนุกมากเป็นแบบไหน
สายป่าน : มันต้อง open แชร์กัน พูดคุยกันเยอะๆ ป่านอยากให้มีการเวิร์กช็อป ป่านอยากให้มีการพูดคุย อยากมีการแลกเปลี่ยนไอเดียกัน มากกว่าแค่บรีฟๆ แล้วก็อิมโพรไวซ์ หรือว่ามาโยนบอมบ์อะไรไว้ก็ไม่รู้ พูดแต่อะไรไม่รู้ แล้วก็ concentrate อยู่แต่กับกล้อง นึกภาพเด็กผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่หน้ากล้อง เขาก็เข้ามาคุยๆ แล้วก็เดินหันหลังไป สั่ง 5 4 3 2 1 action แล้วเราก็ต้องร้องไห้ออกมา มันเป็นการพรั่งพรูที่เฟคมาก มันเกิดจากความไม่เข้าใจ มันเลยไม่มีอินเนอร์
พออินเนอร์ไม่มี มันก็ดูเป็นการแสดง คือป่านอยากทำ ป่านไม่ได้อยากแสดง ป่านอยากรู้สึกก่อนแล้วค่อยทำ เพราะว่ามันไม่มีเหตุผลเลยที่คนเราจะทำโดยที่ไม่รู้สึก ไม่มีคนที่อยู่ดีๆ จะร้องไห้ เขาไม่ได้เก่งหรอก แค่น้ำตาไหลใครก็ทำได้ หยอดก็ได้ แต่รู้สึกหรือเปล่าอันนี้สำคัญ ถ้าไม่รู้สึกก็คือหลอกคนดูไง
Life MATTERs : เหมือนเคยได้ยินวิธีการแสดงฉากร้องไห้ ว่าลองให้คิดถึงเรื่องอื่นที่ทำให้เราเศร้ามาโยงกับการการแสดงนี้ด้วย คุณใช้ทริกนี้ไหม หรือว่าคุณรู้สึกกับมันจริงๆ
สายป่าน : อันนี้มันก็เป็นทริกหนึ่งในศิลปะการแสดง คือการแทนค่า ถามว่าใช้ได้ไหม มันก็ใช้ได้ แต่มันจะเป็นความรู้สึกที่เฟคหมดเลย มันถึงมีคำว่า realistic อยู่ คือคนแสดงรู้สึกมันจริงๆ อย่างสมมติว่าในเรื่องบทแม่ตาย แต่เราแทนค่าความรู้สึกที่เศร้าตอนหมาตาย ถามว่าหมากับแม่เหมือนกันไหม หรือถึงจะแทนกับแม่ของนักแสดง แล้วประสบการณ์ของแม่จริงๆ กับแม่ในเรื่องล่ะเหมือนกันไหม โอเค สิ่งที่ได้ตอนปลายทางคือน้ำตา แต่ระหว่างทางคือประสบการณ์กับความรู้สึกมันเทียบเคียงกันไม่ได้ แต่ถ้าถามว่าทริกนี้มันใช้ได้ไหม ใช้ได้สำหรับกรณีฉุกเฉิน รีบๆ คิดอะไรก็ได้ให้น้ำตามันไหลออกมา เพราะบางทีเขาต้องการแค่น้ำตา ไม่ได้ต้องการอินเนอร์ไง
Life MATTERs : นักแสดงต้องใช้เวลาอยู่กับตัวละครเยอะมาก เคยสับสนกับตัวเองไหม
สายป่าน : เคยเป็นตอนแสดงเรื่อง I Miss You ที่เล่นเป็นหมอ ดูเหมือนไม่ยากนะ แต่ตอนนั้นป่านถ่ายภวังค์รักด้วย ตอนเช้าเป็นเด็กติดยา ตอนกลางคืนเป็นหมอ ช่วงเวลาทำงานมันเป็น timing เดียวกันของชีวิต บรรลัยที่สุดของชีวิตเลย เราต้องใช้เวลาหลับประมาณ 4 ชั่วโมง เพื่อรีเซ็ตตัวเอง และเครียดมาก เพราะต้องทำยังไงก็ได้ให้มันผ่านไป ช่วงนั้นเป็นช่วงที่มันแย่ เพราะจะมีสับสนนิดนึง
พอถึงหน้าเซ็ตเราต้องพยายามรีเฟรชตัวเองใหม่อยู่ตลอด พยายามนั่งมองมือ มองเท้า เพื่อดูว่าเราใส่ชุดอะไร เข้าห้องน้ำบ่อยมาก ยืนส่องกระจกแล้วแบบ สวัสดีหมอบี สวัสดีกับตัวเอง หมอบียิ้มสิ ยิ้มแบบหมอบี แล้วจากที่กลางวันเล่นเป็นหมอ กลางคืนต้องมาเล่นเป็นปูเป้ ต้องยิ้มแบบเด็กติดยาไม่มีอะไรในหัว เราต้องคุยกับตัวเองหน้ากระจก สวัสดีปูเป้ เพื่อเอาตัวเองกลับมาให้ทันในช่วงที่ช่างไฟกำลังกินข้าว หรือจัดไฟอยู่ มีกลับบ้านไปแล้วอ้วกแตกเหมือนกัน
คนไทยเราเอง ที่ทุกวันนี้เรายังไปกันไม่ได้ไกล เพราะว่าเราเอาเรฟฯ มาจากหนังอีกทีหนึ่ง เอาง่ายไง ไม่มีเวลาไปถึงโรงพยาบาลหรือไปที่คุกจริงๆ ดังนั้นก็ไม่มีทางรู้หรอกว่าในคุก ในเรือนจำมันเป็นถึงขนาดไหน เขาใช้ชีวิตแบบดาร์กไซด์กันยังไง
Life MATTERs : จะมีนักแสดงที่บ้าไปเลย เช่น Heath Ledger คุณเคยใกล้ไปถึงจุดนั้นบ้างไหม
สายป่าน : จริงๆ แล้วป่านชอบคนแบบนี้มากนะ ชอบ Heath ชอบ Christian Bale หรืออย่าง Jennifer Lawrence ที่อยู่ดีๆ จะเป็นสาวห้าวใน Hunger Games อยู่ดีๆ จะเป็นผู้หญิงคนนึงที่ดู bitch มากๆ ใน American Hustle เป็นไบโพลาร์ก็ได้ใน Silver Lining Playbook บ้าป่าววะ อายุเท่าป่านเลยนะ แต่เขาทำให้เราประทับใจมาก
ป่านรู้สึกคนพวกนี้รีเสิร์ชเก่ง เขาทำการบ้านมาดี และเขามีเรฟเฟอเรนซ์เป็นเคสจริงๆ สมมติ Sean Penn เล่น I am Sam เรฟเฟอร์เรนซ์เขาไม่ใช่หนัง แต่เขาเอามาเคสจริงๆ ที่เป็นออทิสติก คนไทยเราเอง ที่ทุกวันนี้เรายังไปกันไม่ได้ไกล เพราะว่าเราเอาเรฟฯ มาจากหนังอีกทีหนึ่ง เอาง่ายไง ไม่มีเวลาไปถึงโรงพยาบาลหรือไปที่คุกจริงๆ ดังนั้นก็ไม่มีทางรู้หรอกว่าในคุก ในเรือนจำมันเป็นถึงขนาดไหน เขาใช้ชีวิตแบบดาร์กไซด์กันยังไง
เราเอาง่าย ไปนั่งเสิร์ชหาในอินเทอร์เน็ตว่าชีวิตในเรือนจำเป็นยังไง คิดเหรอว่าผู้คุมเขาจะปล่อยให้ด้านดาร์กไซด์มันออกมา มันก็มีแต่ภาพที่สร้างขึ้น นักโทษเดินเรียงแถวรับข้าวกันอย่างเป็นระเบียบ แต่เราไม่เห็นตอนเขาปาทิชชู่กัน ไม่เห็นตอนเขาเอาน้ำแข็งทุบหัวกัน นึกออกไหม ถ้าเกิดเราจะทำอะไรต้องรู้จริงๆ ก่อน
Life MATTERs : ซึ่งตัวคุณเองก็ทำการบ้านประมาณนี้ไหม
สายป่าน : ใช่ ป่านทำ สำหรับเรฟฯ ในการแสดง บางทีป่านชอบดูภาพจากกล้องวงจรปิดมากๆ อย่างพวกกล้องหน้ารถ กล้องวงจรปิด เช่นในวินาทีที่รถชน ตู้ม! รีแอคของคนรอบข้างสำคัญมากนะ หรือกล้องวงจรปิดในลิฟต์ที่อยู่ดีๆ ลิฟต์ร่วง ทุกอย่างมันเรียลหมด หรือภาพแอบถ่ายก็ตาม เพราะว่ามันคือรีแอคของคนจริงๆ
มีอันหนึ่งที่จำไม่เคยลืม เป็นคลิปเก่าเป็นคนไทยนี่แหละ ที่พ่อเป็นตำรวจแล้วลูกติดเกมมาก บ้านเขาขายของชำ แม่นั่งอยู่บนโต๊ะ แล้วลูกไม่ยอมทำไรสักอย่าง พ่อโมโห เดินถลกเสื้อขึ้นมาเห็นพุงแล้วก็เดินมาด่าลูกที่โต๊ะ เหมือนเป็นโต๊ะคิดเงินอะ ควักปืนออกมาวาง แล้วลูกก็ ปั้ง ! ยิงตัวเอง
คลิปนี้ยาว 17 วินาที แต่ป่านได้เห็นว่าแม่เขาลงไปชักที่พื้น แล้วพ่อเดินมาตบลูกซ้ำ คิดว่าลูกยิงปืนเล่น แต่ที่ไหนได้ลูกล้มลงไปแล้ว ลูกกระเด็น พ่อช็อก จะหยิบปืนขึ้นมายิงตัวเอง แม่วิ่งขึ้นมา ดึงพ่อล้ม แล้วแม่หยิบปืนขึ้นมา วิ่งหนีพ่อเข้าไปหลังบ้าน แล้วพ่อก็ลงไปชัก อันนี้คือรีแอคจริงๆ ที่ป่านได้ดู เป็น 17 วินาทีที่เร็วมาก แล้วป่านไม่คิดว่าคนเราในจังหวะที่ลูกยิงตัวตาย แล้วอยู่ต่อหน้าต่อตา ป่านไม่เคยมีภาพในหัวเลยว่าคนเป็นแม่จะถึงขั้นลงไปชัก ไม่เคยเห็นคนลงไปดิ้นกระแด่วอยู่ที่พื้น คิดว่าเต็มที่ก็ร้องไห้ วิ่งเข้าไปกอดลูก อันนี้คือไม่มีการวิ่งเข้าไปกอดลูกใดๆ เลย วิ่งไปแย่งปืนจากพ่อ ผลักพ่อออก เอาปืนวิ่งหนีไป มันเป็นสัญชาติญาณล้วนๆ
ภาพจากกล้องวงจรปิดมันเปิดโลกป่านมากเลย หรือว่าเวลานั่งรถไป แล้วมีกล้องหน้ารถ ขับไปคุยกันไปเรื่อยๆ กล้องหน้ารถเป็นอีกหนึ่งไอเดียที่ป่านเอาไปทำหนังสั้น คือเราไม่เห็นหน้าเขา แต่ได้ยินที่เขาคุยกัน เราไม่เห็นหน้าเขาด้วย ได้ยินแต่เสียงแล้วเห็นกล้องที่เขาขับไปแล้วอยู่ดีๆ รถไฟชนโครม แล้วเรารู้จักเขาไปแล้วอ่ะ อยู่ดีๆ เขาก็ตาย คือไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อนเลยก็ตาม แต่มันอิมแพ็คอารมณ์เราจริงๆ เราเลยอยากทำให้ตัวละครสองตัวไม่ต้องเห็นหน้า แค่ฟังเสียงไปเรื่อยๆ อาจจะน่ารำคาญมากๆ แต่ว่ารู้ไหมว่าเขาเจออะไรบ้าง
Life MATTERs : ระหว่างทำหนังเองกับการแสดง มีความสุขกับอะไรมากกว่ากัน
สายป่าน : เราชอบแสดงมากกว่า เพราะว่าอย่างที่บอกเป็นคนชอบสังเกต อยากลองทำไปเรื่อยๆ สุดท้ายพอสังเกตเยอะๆ ป่านเลยไม่เคยโกรธใคร เพราะรู้สึกว่าการกระทำของแต่ละคนมีเหตุผล เขามีเป้าหมายของเขา เพียงแต่เขาอาจจะตั้งเป้าไว้ผิดเฉยๆ อย่างการกระทำของคนเอาแต่ใจ เห็นแก่ตัว คำพูดที่เชือดเฉือน ฟังแล้วเจ็บว่ะ เราว่าเหตุผลที่เขาพูดออกมาแบบนี้มันก็มีต้นทาง เช่นว่าเขาเกิดจากสภาพครอบครัวแบบไหน เขาเคยมีหรือเขาเคยได้อะไร หรือเขาอาจจะไม่เคยมีอะไร แต่อยากได้อะไรอยู่
Life MATTERs : คิดว่าความเข้าใจมนุษย์ถือเป็นหนึ่งในคุณสมบัติของนักแสดงด้วยไหม
สายป่าน : ใช่ การแสดงมันคือการเข้าใจคน แต่ถึงเข้าใจแล้วมันก็ต้องแชร์กับตัวเองครึ่งหนึ่งนะ เพราะโอเค อินเนอร์เป็นตัวละคร แต่ว่าเขาใช้ร่างเรา เป็นเสียงของเรา เป็นลมหายใจของเรา ดังนั้นมันหมายความว่าเราต้องยอมลดอีโก้ตัวเองลง เพื่อเอาตัวละครมาใส่ในตัวเรา
เราต้องยอมตัดบางอย่างของตัวเราออกไป เอาตัวละครมาใส่แทน แล้วก็คุยกับตัวละครว่ามาเจอกันคนละครึ่งทางนะ เพราะเราเป็นเธอทั้งหมดไม่ได้ มันจะกลายเป็นการเลียนแบบ สมมติเราไปคุยคลุกคลีกับคุณหมอคนหนึ่งมา ด้วยความเป็นนักแสดง มันจะเกิดพฤติกรรมเลียนแบบ เราจะก็อปปี้ง่ายมาก ด้วยการจำคาแรคเตอร์เขาทั้งหมดเลย รวมถึงบุคลิกส่วนตัวของคนคนนั้นด้วย ซึ่งอาจไม่ใช่ตัวละครที่เราจะเล่น ดังนั้นเราต้องเอาแค่บางอย่างของคุณหมอ มารวมกับตัวเรา เพื่อให้เป็นตัวละครที่ครีเอทขึ้นมาใหม่
ถ้าเกิดลงลึกนะ สำหรับป่านการแสดงเป็นอะไรที่ยากมาก ป่านเลยยังรู้สึกอยากทำต่อไปเรื่อยๆ รู้สึกว่ามันท้าทาย สำหรับบางคนที่ไม่ได้หนักขนาดป่าน อาจจะรู้สึกว่าทำงานให้มันผ่านไปวันๆ ให้ได้เงิน เพราะอาชีพนักแสดงมันได้เงินดี แต่ไม่รู้ว่าเป้าหมายคืออะไร แต่สำหรับป่าน เราอยากแข่งกับตัวเอง อย่างที่บอกไปตอนแรก ป่านอยากทำให้ได้ อย่างน้อยวันนี้มันอาจจะไม่มีคนเข้าใจ แต่ 10 ปี เรากลับมาดูแล้วเราชื่นใจก็โอเค
Life MATTERs : ผลงานไหนบ้างที่กลับไปดูแล้วประทับใจมากๆ
สายป่าน : ตอนนี้ป่านกลับไปดูพลอยแล้วชอบตัวเองมาก รู้สึกว่า โห เราเคยเป็นเด็กมหัศจรรย์ มันเฟรชมาก มันใหม่มาก ป่านชอบตัวละครพลอยเพราะตอนนั้นเราไม่รู้จักการแสดงอะไรเลย ป่านพูดไปเลย ตาใสๆ แต่ดูเป็นคนดื้อมาก เป็นเด็กดื้อตาใส แบบ โห 10 ปีที่แล้ว เราเป็นแบบนี้เลยเหรอวะ เหมือนมาจากโลกอนาคตเลยอะ ซึ่งตอนนี้เราก็ทำไม่ได้แล้ว ไม่มีแล้วตัวละครตัวนั้น ไปไหนแล้วก็ไม่รู้เด็กคนนั้นที่เคยมี แต่นั่นแหละ ตอนนั้นคือเพอร์เฟกต์ที่สุดแล้วอะ
Life MATTERs : ผลงานใหม่ๆ ที่แสดงล่ะ ชื่นชอบงานไหนอีกบ้าง
สายป่าน : จริงๆ แล้วป่านชอบ อวสานโลกสวยด้วย ชอบมากกว่าหนังที่ป่านได้รับรางวัลอีก คือต้องบอกก่อนว่าหนังที่ป่านได้รับรางวัล คือเรื่องปาดังเบซาร์กับภวังค์รัก ซึ่งทีมผู้สร้างเขาเก่งมากจริงๆ โปรดิวเซอร์เก่งมากจริงๆ บทแข็งแรงมาก ผู้กำกับ คนตัดต่อ ทุกคนแข็งแรงหมด
แต่อวสานโลกสวยเป็นหนังที่ใหม่มาก เปิดประสบการณ์การแสดงของป่านทั้งหมดเลย ป่านต้องบอกว่ากล้องมันเป็น hand-held เกือบหมดทั้งเรื่อง ดังนั้นป่านไม่ต้องกังวลเรื่อง blocking เรื่องของไฟ หรือไดอะล็อก ในอวสานโลกสวยเราเป็นตัวละครที่สติหลุดไปแล้ว มันเป็นการเข้าไปพูดใกล้ๆ ทั้งที่รู้ว่าเขาเกลียดเรา การกระแทกน้ำลายและกลิ่นปากเข้าไปที่จมูกเขา เพื่อเอาความทุเรศของตัวละครหนึ่ง ที่คนดูจะไม่มีทางได้กลิ่น แต่ต้องดูแล้วสะอิดสะเอียน แล้วเกลียดมันมาก แบบขยะแขยงมันออกมา
แล้วมันกลายเป็นป่านมีความสุขมากกับการเป็นเกรซ มีความสุขมากกับการถือมีดไปจิ้มใครก็ได้ ป่านมีความสุขมากกับการเข้าไปในห้องที่กูไม่เคยมี เพราะกูอยู่ในสลัมมาตลอด เห็นน้ำหอมคิตตี้ คือแบบ เชี่ย โลกคิตตี้มีอยู่จริง เหมือนที่เขาไม่เคยเห็นว่าโลกมืดแบบเรามีอยู่จริง เราก็ไม่คิดว่าจะมีเด็กผู้หญิงคนนึงที่ห้องเป็นสีชมพูหมดเลย เราไม่เคยใช้น้ำหอมเลย เลยเอาน้ำหอมมาฉีด เอาครีมมาทาขา
กล้อง hand-held มันทำให้ป่านมีอิสระในการเล่น ในการเข้าไปกระชาก เอามีดเข้าไปจิ้ม แล้วก็วิ่ง คือมันเป็นอิมโพรไวซ์ 75 % บทเป็นไกด์จริงๆ แล้วมันได้ใกล้ชิดตัวมาก
ความกระแดะของนักแสดงไทยคือเล่นเซฟ กลัวเจ็บ เพราะว่าคุณทำงานหลายเรื่องไง คุณเขียวจากเรื่องนี้ไม่ได้ไง เพราะเดี๋ยวต้องไปถ่ายอีกเรื่องหนึ่ง แล้วเดี๋ยวคนก็จะไปด่าว่าคุณเล่นจริง เจ็บจริง แต่อันนี้ทุกคนเต็มที่ มันคือการขึ้นไปนั่งทับบนตัวกันจริงๆ น้องมายด์ น้องพิม ทุกคนเก่งมาก เขาพันจริงๆ เทปจริงๆ เหงื่อจริงๆ ชุดชั้นในที่มันเปียกเหงื่อจริงๆ ในห้องที่ไม่มีพัดลมจริงๆ กางเกงที่ขากางเกงมันกว้างแล้วกางเกงในมันแลบออกมาจริงๆ แบบ เออ ตูดมึงขาวนักใช่ไหม คือมันจริงมาก ทุกคนเล่นกันจริงมาก มันเลยเป็นการทดลองที่ไม่ว่าปลายทางหนังเป็นยังไง แต่ตอนที่เราอยู่ด้วยกันในห้อง พวกเราทำงานกันดีมากแล้ว เป็นพาร์ตเนอร์ที่ดีมาก พวกเราสนุกจัง อะไรแบบนี้
นักแสดงต้องการพาร์ตเนอร์ที่ดีมากๆ คือพูดๆ ไปอย่างนั้น ไม่มีอะไรกลับมาเลย มันเหมือนตีปิงปองกับกำแพง แต่การตีปิงปองกับอีกหนึ่งผู้เล่นแล้วโต้กัน มันสนุกกว่า
Life MATTERs : คนที่แสดงด้วยมีผลกับเรามากน้อยแค่ไหน
สายป่าน : มีเยอะค่ะ นักแสดงต้องการพาร์ตเนอร์ที่ดีมากๆ คือพูดๆ ไปอย่างนั้น ไม่มีอะไรกลับมาเลย มันเหมือนตีปิงปองกับกำแพง แต่การตีปิงปองกับอีกหนึ่งผู้เล่นแล้วโต้กัน มันสนุกกว่า บางคนก็เหมือนตีกับกำแพงจริงๆ นะ ตีไปแล้วมันก็ไม่มีอะไรเลย ที่กูพูดไปนี่มึงรู้สึกไหมเนี่ย ทำไมกูรู้สึกอยู่คนเดียวแบบนี้
การแสดงมันลึกซึ้งมาก แต่ว่าสนุกนะ ทุกวันนี้ป่านยังศึกษามันไม่หมดเลย แต่พอเริ่มโตขึ้น เราต้องเริ่มแยกแยะมากขึ้น ชีวิตจริงด้วยอายุที่เพิ่มขึ้น งานที่ทำในวงการกับภาระหน้าที่ในชีวิตจริง ก็ต้องแบ่งทุกอย่าง มาที่ร้านกาแฟก็ต้องเป็นผู้ใหญ่ ไปที่กอง เราก็ยังดูเป็นเด็กสำหรับทุกคนอยู่ มันก็จะดูหนักหน่วงขึ้น แต่ว่าเราฝึกมาเรื่อยๆ มันก็โอเค
Life MATTERs : คิดว่าการทำงานในวงการบันเทิงมีส่วนช่วยให้คุณเข้มแข็งไหม
สายป่าน : มาก การทำงานในวงการ อย่างน้อยเลยเราได้ความอดทนในการเจอคนร้อยพ่อพันแม่ ถ้าเราทำงานที่หนึ่ง เราอาจเจอคนเหมือนเดิมในแผนกเราประมาณ 20 คน เจอทุกวัน ค่อยๆ เรียนรู้กันไป แบนกันไป ทนไม่ไหว ลาออก แต่อย่างนี้ลาออกไม่ได้จนกว่าจะจบงาน เจอ 50 คน เจอทุกแผนกตั้งแต่สวัสดิการ ยันโปรดิวเซอร์ ตั้งแต่คนดูแลเรื่องน้ำ ช่างไฟ ยันโปรดิวเซอร์ มันทำให้ป่านรู้ ยิ่งเป็นคนชอบสังเกตพฤติกรรมอยู่แล้วด้วย มันเลยยิ่งทำให้ป่านรู้พฤติกรรมของคนที่อยู่บนสุด กับคนที่อยู่ล่างสุด ใน 1 วัน ป่านเจอคนครบเลย มันเลยทำให้เรามีภูมิต้านทานมากขึ้นค่ะ
Photos by Adidet Chaiwattanakul