88rising คือกลุ่มดนตรีเลือดใหม่ที่ประกาศศักดาทางดนตรีของศิลปินเอเชียนได้ดุเดือดสะเทือนยูทูป ภายใต้คำประกาศกร้าวของผู้ก่อตั้งว่า “We’re Asian as fuck” และหนึ่งในศิลปินหัวหอกสำคัญที่ทำให้ 88rising พุ่งแรงสมชื่อก็คือ ‘Joji’ ที่ยังมีอีกหลายตัวตนแยกออกไปตามคาแรคเตอร์ต่างๆ อย่าง Filthy Frank หรือ Pink Guy ที่เป็นมีมดังลั่นสนั่นอินเทอร์เน็ต
โดยชื่อจริงของเขาคือ George Miller ลูกครึ่งญี่ปุ่น-ออสเตรเลีย เกิดและเติบโตที่ประเทศญี่ปุ่น ก่อนจะไปเรียนต่อที่นิวยอร์ก อย่างไรก็ตามในบทความนี้จะขอเรียกเขาง่ายๆ ว่าโจจิ
CRAZY MANNNNNNN
ชายคนนี้เป็นที่รู้จักครั้งแรกจากช่องยูทูปสุดแอ็บเสิร์ดชื่อ TVFilthyFrank ที่จะอัพโหลดวิดีโอตัวเขาเองสวมบทบาทเป็นคาแรคเตอร์ต่างๆ ในอารมณ์ขันชั่วร้าย อย่างฮาวทูประหลาดๆ เพลงเนื้อหาล่อแหลมต่างๆ ที่หลายครั้งได้กลายเป็นไวรัล อย่างเช่นมีม Harlem Shake ที่ฮิตกันไปทั่วโลกเมื่อปี 2013 ก็ถือกำเนิดขึ้นโดยเขาที่สวมคาแรกเตอร์ Pink Guy นี่เอง

i0.kym-cdn.com
หลังจากบ้าบอในโลกอินเทอร์เน็ตมานาน อยู่มาวันหนึ่งเขาก็ได้อัพโหลดวิดีโอตัวจริงของเขา ที่หลุดออกจากคาแรคเตอร์ต่างๆ แต่ยังคงคอนเซปต์ด้วยการให้ตัวเองคุยกับคาแรคเตอร์เหล่านั้นไปด้วย—ดูเหมือนตลกตามเคย แต่จะว่าซีเรียสมันก็ซีเรียส เพราะเขาพูดถึงอาการป่วยทางสมองของตัวเองที่ส่งผลถึงขั้นทำให้เกิดอาการชัก โดยส่วนใหญ่อาการมักจะมาจากความเครียด ซึ่งความเครียดนี้หลักๆ ก็เป็นผลมาจากการทำชาแนล TVFilthyFrank ด้วยเช่นกัน
ในวิดีโอนี้เขาถือโอกาสแนะนำตัวเองในฐานะตัวเองจริงๆ ว่านอกจากเหล่าตัวละครผีบ้าที่เห็นแล้ว เบื้องหลังยังมีเด็กหนุ่มที่มีชีวิตธรรมดาเรียนมหาวิทยาลัยและหางานทำไปเรื่อยๆ

tumblr.com
ถึงแม้ว่าหลังจากนั้นไม่กี่วันคลิปถูกลบไป แต่นั่นก็เป็นครั้งแรกที่เราได้เห็นตัวตนพาร์ตที่จริงจังของเขา (หลายคนก็ยังเซฟเอาไว้และรีอัพโหลดกันเป็นดอกเห็ด) รวมถึงเป็นการการประกาศถึงสิ่งที่เขาชอบจริงๆ นั่นก็คือดนตรี โดยเขาบอกชาวเน็ตว่ากำลังจะมีเพลงเป็นอัลบั้มเต็มในนาม Pink Guy หลังจากที่ชอบออกมาแรปสั้นๆ ตามคลิปต่างๆ พอเป็นกระสัย
หลังจากนั้น เส้นทางดนตรีของเขาก็เริ่มต้นขึ้นอย่างจริงจัง อัลบั้มสู่อัลบั้มที่ยิ่งฟัง เราก็ยิ่งชอบขึ้นทุกที อย่างเช่น
อัลบั้ม Pink Guy (2014) โดย Pink Guy
อัลบั้มเต็มครั้งแรกของเขาใน persona พิงค์กาย เขาปล่อยทั้งอัลบั้มออกมาให้คนฟังฟรีและโหลดฟรี มันเต็มไปด้วยอารมณ์ขันแบบที่เราพบได้ในชาแนลยูทูปของเขา ส่วนมากเป็นเพลงแรพเนื้อหาสกปรก แต่บางเพลงก็ละมุนด้วยการร้องคลอไปเบาๆ กับอูคูเลเล่
เราเริ่มสัมผัสความหวานหม่นอันเป็นเอกลักษณ์ในเสียงร้องของเขาได้บางๆ (ถึงแม้ว่ามันจะร้องเกี่ยวกับการเอาสร้อยประคำยัดรูตูดก็เหอะ) โดยรวมแล้วมันยังคงเป็นอัลบั้มแรปทรามๆ บนบีทฮิปฮอปที่วนลูปไปมา แต่ก็ถือว่าน่าสนใจเอามากๆ ในฐานะการขยายขอบเขตตัวละครจากโลกอินเทอร์เน็ตให้มีชีวิตมากขึ้นในมิติทางดนตรี
อัลบั้ม Pink Season (2017) โดย Pink Guy
อัลบั้มที่สองของคุณพิงค์กายนี้ มี 35 แทร็ค (เอาให้สะใจไปเล้ย) และให้ฟังฟรีตามเคย กลับมาครั้งนี้ เขามีชั้นเชิงทั้งด้านเนื้อหาและดนตรีมากขึ้น ในขณะที่อัลบั้มก่อน เราอาจจะแค่รอฟังว่าเนื้อหาจะเลวไปได้ถึงไหนกัน แต่ใน Pink Season นี้เพลงของเขายังประกอบด้วยบีทมันๆ จนสามารถโยกหัวตามหรือเปิดเสียงดังๆ ในรถได้แบบไม่เขินมาก
แต่ก็อาจจะลำบากใจหน่อย เพราะในส่วนของเนื้อเพลงนั้นได้ขยายพรมแดนความสกปรกหยาบคายไปไกลขึ้น ขยี้ความถ่อยได้อย่างสนุกสนานขึ้นกว่าอัลบั้มก่อนหลายเท่า มีการเล่นกับป๊อปคัลเจอร์และอินเทอร์เน็ตคัลเจอร์อย่างสนุกมือ
โดยเพลงแรกของอัลบั้มนี้ที่ผมได้ฟังแถมยังรักทันที ก็คือ ‘Dora’ ที่พูดถึง sex fantasy ของคนร้อง ที่มีต่อเด็กผู้หญิงผมบ๊อบแบกเป้สีม่วงที่ออกมาสอนคำศัพท์ให้เราพูดตามในการ์ตูนเด็กเรื่อง Dora the Explorer ที่ก้ำกึ่งระหว่าง Pedophilia กับอารมณ์ขันไร้การพีซีที่ตอกกลับเหล่าผีพีซีได้แสบสันต์
COOL MANNNNNNNN
ในขณะที่สวมบทเป็นพิงค์กาย เขาก็ทำเพลงของตัวเองที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงควบคู่ไปด้วย ร่วมกับเพื่อนในแอคเคาต์ที่ไม่ได้เปิดเผยตัว แต่วันหนึ่งงานของเขาถูกใครบางคนรีอัพโหลดในอินเทอร์เน็ต
จนในที่สุด เมื่อต้นปี 2016 เขาก็ตัดสินใจประกาศในอินสตาแกรม Sushitrash (อีกนามของพี่เขา) ว่ายังมีอีกตัวตนหนึ่งที่ทำเพลงอย่างจริงจังมาโดยตลอดและมันไม่ใช่ด้านที่เป็นตัวตลก นั่นก็คือตัวตนที่เป็น Joji นั่นเอง
แน่นอนว่าพิงค์กายจะยังทำเพลงของพิงค์กายต่อไปเหมือนกัน แต่พร้อมกันนั้นเขาเองก็จะเริ่มจริงจังกับดนตรีในฐานะตัวเองจริงๆ ด้วยเช่นกัน ในชื่อโจจิและมีโปรเจคที่ชื่อ Chloe Burbank Volume 1 ขึ้นมาในตอนนั้น

albumoftheyear.org
โปรเจกต์ Chloe Burbank Volume 1 (2016) โดย Joji
โปรเจกต์นี้ถูกปล่อยออกมาสองเพลง คือ Thom และ You Suck Charlie ซึ่งจริงๆ แล้วมันถูกอัพโหลดครั้งแรกตั้งแต่ช่วงปลายปี 2015 ใน Soundcloud จนถึงตอนนี้ยังไม่แน่ใจว่ามีแทร็คอื่นถูกนับรวมเป็นอัลบั้มเต็มอย่างเป็นทางการหรือไม่ เพราะในโปรเจคผมยังเห็นแค่สองแทร็คนี้ แม้หลังจากนั้นก็มีเพลงอื่นๆ ตามมาอีกแต่ดูเหมือนจะเป็นซิงเกิ้ลที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับมันเสียมากกว่า
Chloe Burbank Volume 1 ได้เสียงตอบรับค่อนข้างดี และไม่ใช่เพียงเพราะมันเป็นอีกขั้วตรงข้ามของศิลปินที่เคยทำเพลงถ่อย (บางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาคือคนเดียวกับพิงค์กาย) แต่ตัวเพลงเองก็ถือว่าประสบความสำเร็จทางดนตรี ทั้งสองแทร็คเป็นเพลงช้า เสียงร้องหวานหม่นคลอไปกับบีทเซื่องๆ ซึมๆ เนื้อเพลงของทั้งสองเพลง (เท่าที่ตีความเอง) ดูจะเป็นการโหยหาถึงช่วงเวลาหรือใครบางคนที่จากไป ในอารมณ์หวานเศร้า
ดนตรีประกอบขึ้นจากเสียง Sampling ต่างๆ ทั้งเสียงเปียโนที่เป็นตัวชูโรง ไม่ทิ้งลายด้วยการ Sampling จากเสียงร้องของ Ariana Grande กระทั่งเสียงที่คล้ายกับเสียงเขย่าเหรียญ ฟังดูเรียบง่ายแต่ก็เป็นการถูกประกอบขึ้นจากรายละเอียดเล็กๆ มากมาย โดยเว็บไซต์ Pitchfork เองเคยนิยามเพลงของเขาว่าเป็น minimal R&B ซึ่งก็ฟังดูเข้าท่าดี
In Tongues (2017)
หลังจาก Chloe Burbank Volume 1 โจจิก็ปล่อยเพลงออกมาอีกหลายซิงเกิ้ลใน Soundcloud จนกระทั่งมีเพลงในนั้นถูกอัพโหลดขึ้นไปในช่องยูทูปของ 88rising นั่นคือเพลง I Don’t Wanna Waste My Time และ Rain On Me
สำหรับผม ตอนนี้โจจิเจอบ้านแล้ว การเข้ามาร่วมแก๊งค์กับ 88rising ดูเหมือนทำให้เขาไปสู่ที่ทางที่ถูกต้องสำหรับตัวตนทางดนตรี จากนั้นอีกไม่นาน MV เพลง Will He ก็ถูกปล่อยออกมา ตามด้วย EP อัลบั้ม In Tongues ที่ปล่อยแบบเต็มๆ คลอไปกับวิดีโอวิชวลสวยหลอน
นี่นับเป็นก้าวสำคัญสำหรับโจจิ ที่ได้เริ่มออกเดินทางในฐานะศิลปินอย่างจริงจัง และของ 88rising ด้วยเช่นกัน ที่เริ่มรวบรวมศิลปินลายเซ็นเฉพาะตัวที่ตีตลาดจนสามารถออกทัวร์คอนเสิร์ตในระดับใหญ่ในหลายๆ ประเทศได้ (ในกรุงเทพฯก็เช่นกัน)
โจจิเองเคยให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า เขาได้ทำเพลงมาตั้งแต่ก่อนจะรู้ตัวอีกว่านี่คือการทำเพลง ร่วมแต่งกับเพื่อนบ่นเรื่องครูบ้าง หรือไว้ล้อเลียนเด็กคนอื่นๆ บ้าง จนวันหนึ่งมีคนบอกกับเขาว่า “เฮ้ย นี่มันเป็นเพลงจริงๆ นะ มึงทำเพลงได้นี่” แล้วมันก็เกิดขึ้นจริงๆ ในที่สุด

vice.com
สำหรับคนที่ติดภาพพิงค์กาย อาจนึกภาพไม่ค่อยออกว่าเขาเอาอารมณ์นิ่งละมุนแบบนั้นมาจากไหน และจากบทสัมภาษณ์ของเขาก็น่าจะเป็นสิ่งที่สะสมจากเมื่อตอนยังอยู่ญี่ปุ่น ที่เขากับเพื่อนๆ มักวิ่งไล่จับกบไปในทุ่งนา และอยู่ในบรรยากาศที่รายล้อมไปด้วยน้ำ
โจจิเล่าว่าบรรยากาศเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทำให้เขาชอบความเงียบสงบ ซึ่งเขาเองก็พยายามจะสร้างความรู้สึกเหล่านี้ผสมลงในดนตรีของตัวเอง ซึ่งถ้าลองฟังไปเรื่อยๆ ก็จะได้ยินเสียงน้ำในบางเพลง บางครั้งมาเป็นเสียงน้ำไหล หรือบางครั้งก็เป็นเสียงฝน
ตัวเขาเองเคยบอกว่ามันอาจจะมีเส้นแบ่งระหว่าง serious music และ joke music ที่ชัดเจน แต่สำหรับเขานั้นมันไม่ได้ต่างกัน ทุกคนล้วนมีด้านที่สนุกและจริงจัง เขาเพียงแต่ทำสิ่งที่รู้สึกว่ามันใช่ในเวลานั้นนั้นก็เท่านั้นเอง จนถึงตอนนี้โจจิได้เดินทางมาไกลและยังคงน่าจับตามองว่าเส้นทางของจะเป็นยังไงต่อไป
Text by Theerapat Wongpaisarnkit (Beam Wong)
อ้างอิง