นับตั้งแต่บท ‘ดิว’ ในฮอร์โมนส์ เดอะ ซีรีส์ที่ทำให้เธอโดนคนหมั่นไส้กันทั้งบ้านทั้งเมืองสู่บท ‘ชมพู่’ แห่ง O-Negative ตัวละครที่ส่งให้เธอกลายเป็นขวัญใจมหาชน ตามมาด้วยบท ‘ลูกจ๋า’ จากคลับฟรายเดย์ เซเลบส์ สตอรีส์ที่ทำให้เราต้องร้องไห้ตาม เพียงพอที่จะพิสูจน์ว่า ก้อย—อรัชพร โภคินภากร คือนักแสดงมากความสามารถที่กำลังมาแรงในยุคนี้
ใครจะรู้ว่าเบื้องหลังทักษะการแสดงของเธอจะเป็นละครเวที โลกที่ได้สัมผัสครั้งแรกตอนปี 2 ผ่านละครนิเทศเรื่องปิ๊กกะแอน ก่อนจะขึ้นเวทีเดิมอีกสองปีซ้อน เรื่อยมาถึง Teenage Wasteland ละครเวทีเรื่องล่าสุดกับ Splashing Theatre ที่กำลังจะเล่นเร็วๆ นี้
สำหรับก้อย โลกแห่งละครเวทีไม่ได้ให้แค่พื้นฐานการแสดงอันแน่นปึ้กเท่านั้น แต่ยังพาเธอไปเข้าใจตัวตนของคนรอบข้าง เติมเต็มแพชชั่นและตัวตน พร้อมจุดไฟในตัวให้ลุกโชนถึงขนาดที่เธอบอกว่าไม่สามารถเลิกเล่นละครเวทีได้จริงๆ…

Life MATTERs : คุณห่างหายจากละครเวทีไปสักพัก ทำไมถึงตัดสินใจกลับมาเล่นละครเวทีเรื่องนี้
ก้อย : ก้อยไปดูละครเวทีที่พี่เฟิร์ส (ธนพนธ์ อัคควทัญญู หนึ่งในสองผู้กำกับของเรื่อง) เคยทำชื่อว่า Thou Shalt Sing แล้วรู้สึกว่าบทดีและเขามีแพชชัน ก้อยอยากทำงานกับคนที่มีแพชชันจริงๆ อีกอย่างบทของเขามันลึก สมมติปกติเราเล่นละครทีวีหรืออื่นๆ เราจะสามารถปรับบทให้เข้าปากเราได้ แต่ของพี่เฟิร์สคือถ้าเขาเขียนตัวหนังสือตัวไหนออกมาก็ต้องพูดคำนั้นเท่านั้นเพราะว่าเขาถือว่าเขาคิดมาแล้ว สมมติฉันไม่รู้จะเปลี่ยนเป็นเราไม่รู้ไม่ได้ ก้อยรู้สึกว่ามันท้าทาย เป็นกระบวนการทำงานอีกแบบหนึ่งที่เราไม่เคยเจอ
Life MATTERs : ในเมื่อคุณไม่สามารถบิดตัวละครให้เข้ากับตัวเองได้ คุณคิดว่าทำไมผู้กำกับถึงเลือกคุณ
ก้อย : ตัวละครของก้อยเป็นคนที่กลับชาติมาเกิด ข้างในเป็นผู้ชายเพราะชาติก่อนเป็นผู้ชายแล้วกลับมาเกิดเป็นเราซึ่งเป็นผู้หญิง ก้อยว่าข้อแรกเลยคือเรามีความห้าวหรือมีความเป็นผู้ชายอยู่ในตัวเลยอาจจะทำให้เขาเลือกเรา แต่ไม่เคยถามเหมือนกันว่าทำไมถึงเลือกเรา
Life MATTERs : คุณเล่นละครเวทีมาก็หลายเรื่อง การทำงานในแต่ละเรื่องแตกต่างกันมั้ย
ก้อย : ก้อยว่าทุกที่แตกต่างกันหมดเลยเพราะผู้กำกับแต่ละคนหรือทีมแต่ละทีมมีสไตล์ของตัวเองอยู่แล้ว อย่างที่นิเทศฯ จะมีเซนส์ของความเป็นพี่น้อง สามารถประนีประนอมหรือพูดอะไรได้เยอะ แต่ด้วยความที่เราทุกคนเป็นเด็ก มันก็จะไม่มีความแข็งแรงขนาดนั้น สมมตินักแสดงใหม่ขึ้นไปมันก็จะตายกันได้ง่ายๆ เหมือนกัน
ในขณะที่ออกมาประกวด อย่างสดใสอวอร์ด (ก้อยแสดงเรื่องวิหยาสะกำ เข้าชิงรางวัลสดใสอวอร์ดครั้งที่ 17) บทละครที่ได้เล่นต้องผ่านการประกวดมาแล้ว แปลว่าบทมีความแข็งแรง สิ่งที่เราได้เรียนรู้คือบทดีมีชัยไปกว่าครึ่ง แม้ว่านักแสดงอาจจะไม่ได้เล่นดีมากแต่ถ้าบทดีมันจะพาเราไปได้ไกลกว่า แต่ถ้าบทไม่ดี เล่นให้ตายยังไงก็ไม่ดี
ส่วนเรื่อง Teenage Wasteland พี่เฟิร์สเขาไม่ใช่สายแอคติ้งโค้ชแต่จะให้ภาพอย่างเดียวว่าเขาต้องการภาพนี้ จังหวะนี้ บีทนี้ เราในฐานะนักแสดงต้องไปทำการบ้านเอาเองว่าทำไมเราถึงพูดด้วยบีทนี้ มันท้าทายเราในเชิงที่เขามีความคิดว่ากูเลือกมึงมาเพราะกูเห็นว่ามึงแสดงได้เพราะฉะนั้นเป็นหน้าที่ของมึงแล้ว การกำกับของเขาคือการกำกับภาพ
Life MATTERs : ในเมื่อผู้กำกับไม่ใช่สายแอ็คติ้งโค้ช คุณต้องออกแบบการแสดงเองเกือบทั้งหมด ทำการบ้านอย่างไร
ก้อย : ข้อแรกก็ต้องเข้าใจว่าคาแรคเตอร์เราก่อกำเนิดมาได้ยังไง ซึ่งเราถามจากผู้กำกับได้ สอง ในฐานะนักแสดงเราจะทำยังไงก็ได้ให้เราเล่นได้ดีที่สุด สมมติก้อยเป็นคนพูดกูมึงตลอดเวลาแต่ในบทต้องพูดฉันแก หน้าที่ของเรา ข้อแรกคือฝึกให้ชิน หรือทางที่สอง มองบุคคลนี้ให้เป็นคนที่ไม่ได้สนิทกับเราขนาดนั้น คือทำยังไงก็ได้ให้คำนี้มันเวิร์กแค่นั้นเอง หรือไม่งั้นก็ทำแบ็คกราวด์ตัวละครเพิ่ม เช่น ตัวละครนี้ถ้าเทียบเป็นสีเขาจะเป็นสีอะไร เป็นสัตว์อะไร เกิดวันที่เท่าไหร่ ชอบสีอะไร ก่อนเข้าซีนนี้เกิดอะไรขึ้น ซึ่งพวกนี้ผู้กำกับไม่ได้บอก คุณต้องทำเอง
อย่างเราต้องเล่นเป็นตัวละครชาติที่แล้วกับชาตินี้ก็ต้องนั่งเขียนว่าภูมิเห็นโลกยังไง เราชาตินี้ที่ชื่อดาวเห็นโลกยังไง เหมือนกันยังไง ต่างกันยังไง เรื่องพวกนี้จินตนาการเองได้ ถ้าผิดผู้กำกับเขาจะบอกเอง เราว่ามันก็เป็นเมจิคที่สนุกดี อย่างตัวละครนี้ ภูมิมันตายยังไงวะ มันเป็นใคร เราก็สร้างพ่อแม่พี่น้องของภูมิขึ้นมา จนสุดท้ายถ้ามันผิดเขาก็จะบอก อย่างภูมิไม่มีพี่ เราก็อ้อ ฆ่าพี่เราทิ้ง จบ แค่นั้นเอง

Life MATTERs : ย้อนกลับไปสมัยเรียน คุณเริ่มต้นงานแสดงจากการเล่นหนังสั้นก่อน ยากมั้ยกับการเปลี่ยนมาเล่น ‘ปิ๊กกะแอน’ ละครเวทีเรื่องแรกของคุณ
ก้อย : เราไม่คุยกับใครเลยนอกจากพี่เมี่ยงซึ่งเป็นแฟนเราอยู่สักพักใหญ่ๆ (หัวเราะ) ไม่คุยในที่นี้คือคุยน้อยมากเหมือนไม่อยากสุงสิงเพราะมันยากตรงที่ข้อแรก เราเป็นเพอร์เฟ็กชันนิสต์ เรารู้สึกว่าเด็กนิเทศฯ หลายๆ คนจะมาจากที่ที่รู้สึกว่าตัวเองเป็น someone อย่างเราเป็นประธานสี เป็นประธานนักเรียนมาก่อน เราจะรู้สึกว่าทำยังไงก็ได้ให้เราดีที่สุด ซึ่งพอมาอยู่ในห้องเวิร์กช็อปมันเหมือนห้องรวมดาว เรารู้สึกว่าเราห่วยเพราะเราเพิ่งเคยขึ้นห้องเวิร์กช็อปก็เลยปิดตัวเองมาก ร้องไห้ทุกวัน ไม่อยากเล่นแล้วเพราะรู้สึกว่าทำได้ไม่ดี เป็นอย่างนี้อยู่นาน
ต้องให้เครดิตพี่บอสกับพี่เรโอ (นฤเบศ กูโนและวิชญ์ แสนอาจหาญ ผู้กำกับและผู้ช่วยผู้กำกับเรื่องปิ๊กกะแอน) อยู่ดีๆ เขาก็ให้เราทำตามที่บอกตลอดเวลา คือให้เล่นใหญ่ เล่นๆๆๆ อย่างเดียว ห้ามคิด แล้วเราก็เริ่มดีขึ้นจากการที่ไม่คิด เหมือนสุดท้ายการแสดงมันกลับมาสู่เบสิคว่าเราต้องใช้สัญชาตญาณก่อนที่เราจะคิด พอเราเริ่มใช้สัญชาตญาณทำงาน ฟีดแบ็กมันดี เราเลยเริ่มจับทางได้ ก็เลยถือว่ารอดมาอย่างหวุดหวิด สมมติว่าเขาเอาเราขึ้นมาไม่ได้เราก็อาจจะไม่ได้เล่นละครอีกเลยเพราะแอททิจูดเรามันปิด เรารู้สึกว่าทุกอย่างต้องเพอร์เฟ็กต์แต่ในขณะที่การแสดงแม่งไม่มีคำว่าเพอร์เฟ็กต์อยู่แล้ว เล่นสิบรอบก็ไม่มีทางเหมือนกัน
Life MATTERs : เมื่อไม่มีคำว่าเพอร์เฟ็กต์ คำว่าเล่นดีของคุณคืออะไร
ก้อย : ก้อยว่าเล่นดีของนักแสดงทุกคนมันคือการที่คุณอยู่กับปัจจุบันของเหตุการณ์นั้น เช่น มันมีซีนหนึ่งที่เราต้องนึกถึงภูมิ ตัวละครที่เป็นผู้ชายกลับชาติมาเกิดของเรา มีวันหนึ่งตอนซ้อม ผู้กำกับชมเราว่าเล่นอย่างนี้ดีมาก หลังจากนั้นเราเริ่มจำบีทที่เราเล่นดีตอนนั้นแต่เรารู้สึกว่าเราเล่นไม่ดีอีกเลยเพราะว่าเราไปยึดติดกับคำที่เขาบอกว่าอันนี้ดี จริงๆ แล้วคำว่า ‘ดี’ มันคือเราเห็นภูมิตอนเล่นครั้งนั้น แค่นั้น ถ้าคุณเห็นภูมิตอนเล่น คุณก็รู้เองว่านั่นคือดีที่สุดที่คุณจะทำได้แล้ว เพราะคุณอยู่กับเหตุการณ์นั้นจริงๆ โดยที่คุณไม่สนใจเลยว่าคนดูเขาจะมองคุณยังไง
การมีสมาธิอยู่กับเรื่องคือดีที่สุด ภาพมันจะออกมาเอง เหมือนกับคนเราคุยกันตามปกติ มือไม้มันจะมาโดยที่เราไม่ได้ประดิษฐ์ แต่ถ้าเราเริ่มคิดว่าคนจะมองเรายังไงเราอาจจะเก็บมือไว้เฉยๆ มันจะเกิดความเกร็งตามมา ความธรรมชาติมันไม่เกิด ถ้าเราสนใจคนดูมันก็เลยทำให้การแสดงมันลดลง
Life MATTERs : คุณได้เรียนรู้สิ่งนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
ก้อย : ตอนเล่นปิ๊กกะแอนมันมีซีนที่เราเปิดประตูไม่ได้แล้วเราพูดออกมาว่า “คุณลุง ประตูฝืดจังเลยค่ะ” ซึ่งไม่อยู่ในบท ตอนนั้นเรายังเล่นละครไม่ได้แต่เรารู้สึกว่า เฮ้ย กูอยู่กับเรื่อง แล้วคนดูก็กรี๊ด ขำ เพราะเขารู้สึกว่ามึงอยู่กับเรื่องนั้นจริงๆ พอเราได้ยินเสียงเราก็รู้สึกว่า เฮ้ย เราอยู่ในเรื่องนั้นจริงๆ ซึ่งตอนนั้นแหละที่กูหลุดออกมาแล้ว (หัวเราะ) นั่นคือตอนที่เรารู้สึกว่า อ๋อ การอยู่กับเรื่องมันเป็นอย่างนี้นี่เอง เราจะพูดบางอย่างออกมาโดยที่เราไม่ได้คิดอะไร
Life MATTERs : อย่างนี้คุณเคยกลายเป็นตัวละครแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ไหม
ก้อย : ก้อยไม่ได้เชื่อในการ transform เป็นตัวละครร้อยเปอร์เซ็นต์นะเพราะเราเชื่อว่าสุดท้ายมันคือเรา มันต้องมีก้อยอยู่ในนั้นอยู่ดี แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งตอนเล่นเรื่อง An Evening with Tony ละครธีสิสภาคการละครตอนก้อยเรียนปีสาม มันเป็น Experimental Theatre และเป็นครั้งแรกที่เรารู้สึกว่าออกไม่ได้แต่ไม่ใช่ในเชิงคาแรกเตอร์ คือตัวผู้กำกับเขาต้องการทำการทดลองด้วยการยื่นโจทย์ให้นักแสดงทุกคนมาแข่งขันกันออดิชั่นแล้วให้คนเลือกจริงๆ ว่าใครจะผ่านหรือไม่ผ่าน มันเลยส่งผลทำให้นักแสดงทุกคนเชื่อจริงๆ ว่านี่คือการแข่งขัน
สิ่งที่เจ็บที่สุดคือตอนซ้อมเขาเปิดให้คนเข้ามาดู คนเลือกเราทั้งสิบรอบ แต่พอมาเล่นรอบจริงไม่มีใครเลือกเราเลย เราก็คิดว่าจริงๆ กูห่วยนี่ กลายเป็นตั้งคำถามกับตัวเองว่า อ้าว แสดงว่าตอนซ้อมไม่จริง หรือว่าพี่เขาเตี๊ยม ตั้งคำถามกับตัวเองว่าทำไมเราถึงไม่ถูกเลือก เราไม่ดีเหรอ อันนั้นคืออันที่เรารู้สึกว่าลึกสุด เจ็บสุด แต่ผู้กำกับเขาไม่ได้ตั้งใจ

Life MATTERs : นอกจากละครเวทีคุณยังมีงานแสดงซีรีส์ด้วย คิดว่าอะไรทำให้คนเชื่อมั่นในการแสดงของคุณแม้จะเปลี่ยน Platform
ก้อย : ก้อยไม่รู้ว่าทำไมเขาเชื่อหรือไม่เชื่อแต่ก้อยว่าเรามีแอททิจูดแบบเต็มแม็กซ์อยู่ คือถ้าเลือกทำอะไรแล้วก็จะทำให้สุดทาง ถ้าไม่สุดเราจะรู้สึกเสียเวลา เหมือนกับว่าให้แบบเทหน้าตัก เอาแบบว่าไม่ต้องขอกูอีกแล้ว ซึ่งเขาอาจจะได้เซนส์ตรงนั้น มันอาจจะไม่ได้เกี่ยวกับว่าเรา adapt ได้เยอะหรือเปล่าแต่ว่าเขาอาจจะรู้ด้วยแหละว่าเราชอบในสิ่งนี้ เขาอาจจะรู้สึกอย่างนั้น
Life MATTERs : ความเต็มที่ของคุณเคยย้อนกลับมากดดันคุณมั้ย ยิ่งช่วงหลังเรียนจบที่การแสดงกลายเป็นอาชีพของคุณจริงๆ
ก้อย : โห ตอนเล่น O-Negative เป็นบ้ามาก คือตอนเรียนจบ สิ่งเดียวที่ก้อยยึดไว้ตอนนั้นคือ O-Negative ก้อยแคร์แค่ว่าถ้าเราทำงานนี้ไม่ดีแปลว่าเรามีสิทธิ์ที่จะต้องกลับมาเริ่มใหม่หมด แล้วที่บ้านก้อย ก้อยทำงานคนเดียว ก้อยเลยรู้สึกว่ายึดมันไว้แน่นมากจนตึงเกิน ก็เลยไม่มีอะไรดีสักอย่าง
มีซีนหนึ่งที่ก้อยเล่นไม่ได้จนเป็นบ้ากรี๊ดในกอง เป็นซีนที่ง่ายมากคือแม่ปริม (รับบทโดย วี—วิโอเลต วอเทียร์) เสีย ซึ่งจริงๆ ก้อยเป็นคนเซนสิทีฟมาก แต่ว่าวันนั้น ด้วยความกดดันบวกกับเขาต้องการการร้องไห้แบบ ห้า สี่ สาม สอง โฮ (ทำเสียงร้องไห้เสียงดัง) ซึ่งก้อยทำไม่ได้แล้วก็กดดันตัวเอง พอทำไม่ได้ สักพักหนึ่งกรี๊ดแล้วก็เดินออกไปข้างนอก สักพักมันก็ร้องไห้ออกมาแต่เป็นการร้องไห้ที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องแล้ว มันเป็นการร้องไห้ที่ทำไมกูทำไม่ได้สักที
จริงๆ มันแทนค่าเป็นการคิดว่าแม่เราตายก็ได้ วิธีการมันเยอะมากแต่ตอนนั้นพอเราสนใจแต่ตัวเองว่าทำไมเราทำไม่ได้ การรับรู้มันปิดหมดแล้ว เราไม่เจอทางออกเลย ไม่รู้ว่าต้องทำยังไง ทุกคนมาช่วยก้อยเยอะมาก แต่สุดท้ายก็ช่วยไม่ได้ ต้องเอาตัวรอดเอง หลังจากนั้นก็เล่น O-Negative แย่ลงไปช่วงหนึ่งเลยเพราะว่าชมพู่เป็นตัวละครที่มันร้องไห้ทุกวีค ร้องอะไรนักหนา (หัวเราะ) ทุกครั้งที่ไปถ่ายในหนึ่งครั้งจะต้องมีการร้องไห้อย่างหนักหน่วงหนึ่งครั้ง สมมติว่าก้อยเจอซีนโหดนั้นไป ผ่านไปสองวันก้อยต้องเจอซีนร้องไห้อีกแล้ว
กลายเป็นร่างกายก้อยทำงาน คือปิด กลัว ทำไม่ได้อีกแน่เลย ก้อยมาอันล็อกตรงที่สุดท้ายร้องไห้ไม่ได้ ก็คุยกับตัวเองในหัวว่า เออ กูยอมแพ้แล้ว ขอแพ้สักตั้งหนึ่งแล้วกัน สามวิ น้ำตามาจากไหนไม่รู้ท่วมท้น เราก็เลยตระหนักว่า อ๋อ เราแม่ง too tense จริงๆ ก็ค่อยๆ เรียนรู้ไป
Life MATTERs : ความยากของมันคืออะไร
ก้อย : หลักๆ มันคือการหลุดจากตัวละครนั่นแหละ ซึ่งในละครเวทีเกิดได้ยากกว่า คือในละครเวทีคุณไม่ต้องร้องไห้แต่คุณรู้สึกก็คือรู้สึก แต่พอเป็นซีรีส์มันต้องได้ภาพ เช่น สมมติเราร้องไห้น้ำตาไหลนิดเดียวแค่นี้คือเรารู้สึกแล้วนะ แต่มันไม่ได้ภาพ การร้องไห้ของชมพู่มันคือร้องไห้แบบเอ็กซ์ตรีมซึ่งในชีวิตคนเราไม่ได้ทำกันทุกวันหรือทำบ่อยๆ อารมณ์มันต้องแม็กซ์ระดับหนึ่งถึงจะได้ภาพนั้น ตอนที่เราเครียด เล่นไม่ได้ ก็คือหลุดจากตัวละครนั่นแหละ
Life MATTERs : มีคนชมว่าบทชมพู่ที่คุณเล่นกลมมาก นี่คือสกิลที่คุณได้จากการเล่นละครเวทีด้วยหรือเปล่า
ก้อย : เราว่าทุกอย่างน่าจะได้จากละครเวทีหมดแหละ เพราะเวลาเล่นละครเวทีมันเกิดกระบวนการสร้างตัวละครขึ้นมา สำหรับเรา บทชมพู่เราให้เครดิตคนเขียนบท เราว่าเขาเขียนบทมาดี แคสต์พ่อแม่เราก็ดี คือมีความเป็นคนที่สุด พี่ตุ๊ยตุ่ยกับพี่โป้ง (พุทธชาติ พงษ์สุชาติ และ ณัฐพงษ์ สมรรคเสวี) เขาเล่นแบบพ่อแม่คนอะ คือไม่โอ๋เราเลย ซึ่งพ่อแม่ก็ไม่โอ๋อยู่แล้วเว้ย เราเลยรู้สึกว่าทุกอย่างที่มันส่งให้กลมไม่ใช่แค่เราคนเดียวแต่ element รอบตัวเราส่งเราด้วย หรือบางคนที่อาจจะชอบโดนว่าว่าเล่นไม่ดี บางทีมันไม่ใช่แค่เพราะเขา
แล้วดีคือยังไงก็นิยามยากอีกนะ ก้อยว่าสำหรับทุกคนที่พูดว่าชมพู่ดี ข้อแรก ตัวละครมันดันถูกเทสต์ของคนหมู่มากเสียมากกว่า ถามว่าชมพู่เป็นตัวละครที่คนชอบทุกคนมั้ยเราว่าไม่ ถ้าคนเสพสไตล์อินดี้หน่อยก็จะเกลียดตัวละครนี้เพราะมันเสียงดัง มูฟมันเยอะ แต่เราว่ามันถูกจริตคนหมู่มากเพราะว่ามันเป็นตัวละครที่เปิด สนุกสนาน ตลก ทุกตัวละครแม่งคือศิลปะ มันขึ้นอยู่กับรสนิยมเลย แค่เราในฐานะตัวละคร เราชอบ เราเชื่อในตัวนั้นหรือเปล่า สำหรับเราเรามีความคล้ายชมพู่อยู่เยอะระดับหนึ่งอยู่แล้ว เรารักเพื่อน รักครอบครัว เราเลยรู้สึกว่าตัวนี้มันส่งเราค่อนข้างมาก ถ้าไปทำการบ้านก็คือไปทำการบ้านพาร์ทดราม่าแค่นั้นเอง

Life MATTERs : ตั้งแต่เริ่มเล่นละครมา คุณชอบผลงานแสดงชิ้นไหนมากที่สุด
ก้อย : (คิดนาน) คือจริงๆ achieve ที่สุดคือชมพู่ O-Negative แต่ถ้าชอบที่สุดชอบ Klose เป็นหนังสั้นธีสิสของเพื่อนชื่อแพร (อสมาภรณ์ สมัครพันธ์) ตอนที่มันมาชวนก้อยเล่นแล้วส่งบทมาก้อยรู้สึกว่าไอ้ตัวละครนี้คือมัน สิ่งที่ก้อยต้องการอย่างแรกเลยคือไหน กูอยากรู้มากเลยว่าในหัวมึงคิดอะไร สิ่งที่หนูทำคือนั่งสังเกตแม่งทั้งวัน ไปบ้านมัน จนมีจุดหนึ่งที่ enlight ว่าที่มันเป็นแบบนี้เพราะแบบนี้ๆๆ นี่เอง มันเลยเกิดความรู้สึกว่าอ๋อ ละครมันสร้างมาเพื่อสิ่งนี้ด้วย มันคือการที่มึงเข้าใจคนอื่น ก้อยเลย fulfill กับเรื่องนั้นมาก ก้อยไม่สนใจเลยว่าฟีดแบ็กเป็นยังไง เอาเป็นว่ากูรู้จักมึง พอ
Life MATTERs : มองว่านักแสดงละครเวทีจะมีความอินกับบทเข้มข้นกว่าการแสดงแขนงอื่นไหม
ก้อย : ในทุกๆ ศาสตร์คงมีความอินของมันแหละ แต่เราว่าละครเวทีมันเปิดพื้นที่ให้เราได้ใช้เวลากับตัวละครเยอะกว่า นานกว่าแค่นั้นเอง คาแรคเตอร์เลยอยู่ได้นานกว่า เราเห็นนักแสดงที่ดังของต่างประเทศเขาผ่านละครเวทีกันมาหมดเลย เราว่าถ้าผ่านละครเวทีได้ เล่นหนังหรือว่าเล่นละครมันจะไม่ยากขนาดนั้นแล้ว สำหรับเราละครเวทียากสุดเพราะว่าสมาธิต้องอยู่นานสุด
Life MATTERs : เคยมีคนบอกว่าถ้าเล่นละครเวทีครั้งหนึ่งแล้วจะต้องกลับมาเล่นอีก คุณเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า
ก้อย : อันนี้เป็น อย่างเรา เล่นซีรีส์ไปเรื่อยๆ สักพักหนึ่งก็จะเกิดความเสี้ยนละครเวทีเพราะว่าบางทีการเล่นซีรีส์มันไม่สามารถตอบโจทย์เราได้ทุกอย่าง มันมีเรื่องของวงการ เรื่องเงิน เรื่องเวลาเข้ามา บางทีมันอาจจะไม่ได้เติมเต็มความต้องการหรือแพชชั่นเราทั้งหมด แต่พอกลับมาทำละครเวที เราทำกับคนที่มีแพชชั่นกับสิ่งนี้ด้วยกันหรือทำกับเพื่อน มันเติมเต็มเรามากกว่าเยอะ แต่ก็ไม่ใช่ไม่ชอบ เราชอบทั้งคู่
เราทำละครเวทีเรื่องที่แล้ว (เรื่อง Let’s Kill) กับเพื่อน หกเดือนได้คนละสี่พัน เราเสียตังค์เป็นหมื่นเพราะแค่ค่ารถไปกลับทุกวันก็เกินแล้ว มาทำตรงนี้มันไม่ได้อะไรจริงๆ นอกจากอยากทำซึ่งเราชอบอะไรแบบนั้น เรารู้สึกว่าชีวิตคนเรามันต้องมีพาร์ตนี้แหละ แต่พาร์ตการเล่นซีรีส์มันเป็นพาร์ตที่เราได้อะไรในแง่หาเงิน ชื่อเสียง คนละแบบ
Life MATTERs : ตอนทำละครเวทีเรื่อง Let’s Kill คุณมีส่วนร่วมทำอะไรบ้าง
ก้อย : เราทำตั้งแต่รีเสิร์ช เขียนบท เล่น พีอาร์ จริงๆ ทุกคนเหมือนเป็นทุกอย่างเพราะพอเป็นเพื่อนกันมันจะไม่ได้มีการจัดฟังก์ชันใดใดขนาดนั้น เราแค่บอกเพื่อนว่าเราอยากเล่นเพราะว่าถ้าเราทำเอง เราทำอะไรก็ได้ สิ่งที่เราเรียนรู้คือเขียนบทเองเล่นเองนี่แจ่ม แจ่มในเซนส์ที่ว่าเรารู้มิติตัวละครลึกไปอีกขั้นหนึ่งเพราะเราเขียนมาตั้งแต่ต้น ตอนเล่นเราก็ฟินเพราะเรารู้สึกว่าเรารู้ว่าเราพูดทุกคำหมายถึงอะไร กว่าจะมาเป็นตัวนี้มันก่อร่างสร้างตัวมาแบบไหน
Life MATTERs : ณ ตอนนี้คุณเป็นนักแสดงที่มีสังกัดแล้ว อะไรที่ทำให้คุณตัดสินใจว่าต้องมีสังกัด
ก้อย : จริงๆ แล้วตอนนั้นเราแค่รู้สึกว่าเรากำลังจะเรียนจบ แล้วจริงๆ พื้นฐานเราเป็นคนที่ไม่สามารถอาร์ตได้ในเบอร์ที่สามารถมาทางนี้ (ละครเวที) เต็มตัวเพราะเราก็มีสิ่งที่เราต้องรับผิดชอบที่บ้านซึ่งเรารู้สึกว่าที่นี่ให้เราได้ ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้ตอบความต้องการเราทุกอย่าง แต่สมมติว่าเราเล่นเรื่องนี้แล้วไม่ได้สนอง need เรา เราก็ไปหา need จากที่อื่น เราก็มาเล่นละครเวทีเอาก็ได้ที่มันจะเสริม need ตรงนั้น รู้สึกว่าความสุขมันไม่ได้หายากขนาดนั้น การมีสังกัดเขาก็ไม่ได้แย่กับเรา ไม่ได้คิดอะไรมากเลย แค่หาความมั่นคง
Life MATTERs : ละครเวทีดูมีความหมายกับคุณมาก อยากรู้ว่าเมจิกของละครเวทีที่ทำให้คุณไม่สามารถทิ้งมันได้คืออะไร
ก้อย: เราว่าอิสระในการเล่นมั้ง สำหรับเราเรารู้สึกว่าละครเวทีมันมีจุดให้เราได้เติมแต่งอะไรก็ได้เยอะ ถ้าขึ้นไปเล่นบนเวทีใครก็เอากูไม่อยู่แล้ว ผู้กำกับก็ไปบอกคัตไม่ได้ เราไปของเราแล้ว บางที สมมติว่าเราเจอจุดนี้เราต้องเล่นแล้ว แต่ถ้ามันเป็นฟิล์มหรือซีรีส์ที่เขาฟิกซ์มาแล้วว่ามันไม่มี มันก็คือไม่มี แต่ละครเวทีมันไม่ใช่ ขึ้นเวทีไปเจอนู่นเจอนี่ เราก็ไป เรารู้สึกฟินตรงนั้น อิสระในการเล่นนั่นแหละเราว่าที่เราชอบ
Text by Nampai Chaiyariti
Photos by Adidet Chaiwattanakul