หนึ่งในสิ่งที่ผู้หญิงหลายคนรักมากที่สุดในร่างกายตนคงหนีไม่พ้นเส้นผม แต่เธอคนนี้กลับเลือกที่จะจรดแบตตาเลี่ยนบนหัวแล้วโกนผมออกจนหมด และเราเชื่อเหลือเกินว่าเธอมีเหตุผล—ที่อาจจะแปลกประหลาดสำหรับใครบางคน แต่ขณะเดียวกันอาจเป็นหมัดฮุกใส่หญิงชายที่กำลังอึดอัดกับกรอบสังคมที่ตัวเองเผชิญอยู่ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม
เมย์—วรดา เอลสโตว์ เริ่มจากการเป็นแบบเสื้อผ้าให้งานเพื่อนตั้งแต่ตอนเรียนที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ด้วยความคิดที่ว่า “สำหรับเราในตอนนั้น จะให้งานออกมาดีคือเราต้องผอม เราต้องทำยังไงก็ได้ให้ใส่เสื้อผ้าเขาแล้วสวย เสื้อผ้าเขาไม่ผิด เราผิด” จนกลายเป็นความกดดันตัวเองเกินขีดจำกัด เผชิญหน้ากับ eating disorder ท่ามกลางการตั้งคำถามกับตัวเองจนลุกลามเป็นความป่วยไข้อื่นๆ
ปัจจุบัน เธอกำลังเรียนปริญญาโทด้านสุขภาพจิต รับงานถ่ายแบบและเป็นติวเตอร์ไปด้วย ไม่นานเธอก็เพิ่งผ่านพ้นอีกหนึ่งช่วงเวลาที่เปรียบได้กับการเกิดใหม่ ได้ปล่อยบางอย่างทิ้งไปกับเส้นผม ปลดตัวเองจากความอึดอัดบางอย่าง และนี่คือเรื่องราวแสนปัจเจกที่เราชวนให้เธอบอกเล่า
Life MATTERs : เพื่อจะเป็นนางแบบ เริ่มกดดันตัวเองมากขึ้นตอนไหน หรือได้ยังไง
เมย์ : ตอนที่ชัดที่สุดที่เป็นจุดเปลี่ยนเลยคือในช่วงที่เรารับงานของเพื่อนคนหนึ่งซึ่งต้องถ่ายเกือบทุกอาทิตย์ โดยปกติทุกครั้งก่อนถ่ายเราก็จะเตรียมตัวให้พร้อม แล้วพอต้องถ่ายอาทิตย์ละครั้ง ก็กลายเป็นว่าเราจะอยู่ในโหมดเตรียมตัวตลอดเวลา เราจะกินน้อย ไม่กินแป้งอยู่อย่างนั้นเป็นเดือนๆ
แล้วงานที่พีคที่สุดคืองานที่ต้องถ่ายแบบชุดชั้นในที่เพื่อนจะส่งครู ซึ่งเรารู้สึกว่ามันยังเป็นการสร้างโปรไฟล์ของตัวเอง เพราะฉะนั้นมันเลยสำคัญกับเรามาก อยากทำให้ดีที่สุด ตอนนั้นก็เลยเต็มที่ ทั้งอ้วก ทั้งไม่ยอมกิน ถ้าจะกินก็กินแต่ผัดผักอย่างเดียว หรือไม่ก็สุกี้แห้งที่ไม่ใส่เส้นไม่ใส่น้ำตาลไม่ใส่ไข่ ไม่ใส่อะไรทั้งสิ้นที่จะทำให้อ้วนขึ้นได้ กระทั่งเกลือบางทีก็ไม่กิน
เป็นอย่างนั้นจนเรียนไม่ค่อยรู้เรื่อง เวลาอยู่ในห้องเรียนที่แอร์หนาวหน่อยแล้วเล็บก็ม่วง มือขาวจนเห็นเส้นเลือด เราเริ่มติดบุหรี่ตั้งแต่ตอนนั้นเพราะเราใช้สูบบุหรี่แทนการกินข้าว บางทีก็อ้วก แล้วเราก็เป็น eating disorder ในที่สุด
Life MATTERs : จากเรื่องร่างกายลามมาถึงเรื่องจิตใจได้อย่างไร
เมย์ : ความคิดมันตีกันในหัว คือเรารู้ว่าไม่ควรเป็นอย่างนี้ แต่อีกตัวในหัวก็จะคอยบอกว่าแกต้องอ้วกนะ ถ้าแกกิน แกจะน่าเกลียดและอ้วน แล้วอีกตัวหนึ่งก็จะคอยบอกว่าเฮ้ย แกกำลังทำร้ายตัวเองอะ หยุดเถอะ
คือตอนนั้นเราเรียนอยู่ด้วย เราได้ตั้งคำถามกับอะไรหลายๆ อย่าง เช่นเรียนเรื่องนิตเช่ (Friedrich Nietzsche) นักปรัชญาที่เขาบอกว่ามนุษย์เราจะแข็งแกร่งจริงๆ ก็ต่อเมื่อไม่ต้องคอยพึ่งศาสนา เพราะศาสนาก็คือสิ่งที่มนุษย์เราสร้างขึ้นมา เราต้องหลุดพ้นจากตรงนั้นก่อน
แล้วที่ผ่านมาเราเชื่อในศาสนาพุทธมากๆ ในแง่ของเวรกรรมซึ่งเป็น law of action เป็นผลของการกระทำ ทำอะไรก็จะได้รับผลของสิ่งนั้น พอเรียนเรื่องนิตเช่ปุ๊บเหมือนความเชื่อเราถูกสั่นคลอน คล้ายปราสาททรายที่สร้างไว้มันพัง ในช่วงเดียวกันงานนางแบบก็มีส่วนให้เราทุกข์ มันประกอบกันหมด
พอเราเป็นคนที่ตั้งคำถามเยอะ เรียนเยอะ ทฤษฎีเต็มหัว ก็ถามตัวเองว่าทำไมถึงยังเลือกพาตัวเองไปในจุดที่เลี่ยงไม่ได้ ที่เรากลายจะเป็น object ของบางสิ่งบางอย่าง แต่ก็นั่นแหละเราอาจจะมีทฤษฎี หรือตั้งคำถามเยอะมากในหัว แต่สุดท้ายเราก็ยังแพ้ความจริงที่มันเป็นอยู่
Life MATTERs : ความจริงที่พ่ายแพ้คืออะไร
เมย์ : เหมือนเราจะไม่อยากเป็นอย่างนั้นแต่แท้จริงเราอาจจะอยากนะ อย่างเช่น เราไม่ชอบความทุนนิยม แต่ไม่ได้ไม่ชอบเพราะเหตุผลอะไรที่ยิ่งใหญ่เลย แต่แค่เพราะเรา afford มันไม่ไหว บางทีเราก็แสดงออกว่าเราเกลียดทุนนิยมเหลือเกินเพียงแค่เพราะเราไม่สามารถที่จะจ่ายเงินเพื่อเป็นทาสมันได้
Life MATTERs : คิดว่าการเกิดมาเป็นคนสวย มีด้านที่ทำให้ทุกข์ไหม
เมย์ : โอ๊ย มากกกก คือก่อนอื่น คำว่าสวย มันก็มีด้านที่โอเคของมัน แต่ขณะเดียวกันพอเราจัดวางตัวเองว่าเป็นมนุษย์ที่สวย มันทำให้เราสงสัยและอดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบว่าทำไมคนนี้ก็สวยเหมือนกัน แต่เราไม่เห็นเป็นเหมือนเขา เช่น บางคนเป็นนางแบบ บางคนมีงานโน่นนี่ หรือเป็นที่สนใจคนฟอลโลว์เป็น 100k แล้ว
มันไม่ใช่ความอิจฉานะ แต่มันอดที่จะหันมามองตัวเองไม่ได้ ว่า อ้าว ทำไมฉันยังอยู่ตรงนี้ล่ะ เพราะฉันสวยไม่พอเหรอ เพราะว่าฉันไม่ได้เป็นสาวหมวยน่ารักบอบบาง ไม่ได้ขายาวตัวเล็กอย่างนั้นเหรอ ไม่ได้หมายความว่าเราอะไรกับใครนะ แต่เหมือนว่านี่คือ stereotype ของผู้หญิงที่คนไทยจะชอบ ไม่เข้าใจว่าทำไมจะต้องชอบผู้หญิงผอมๆ กันขนาดนั้น
หรือกระทั่งพอมีคนบอกว่าตอนนี้เทรนด์สาวอวบกำลังมา แต่คุณคะ เขาไม่ได้อวบค่ะ รูปที่แชร์ๆ กันคือผู้หญิงที่มีเอว มีก้น แต่ไม่ได้อวบ ไม่ได้เป็นสิ่งที่ classified ว่านี่คือน้ำหนักเกิน แล้วถึงจะอวบก็ต้องเป็นสาวอวบที่ขาว สาวอวบที่หน้าสวย หรือถ้าเป็นสาวผิวแทนก็ต้องเป็นสาวผิวแทนที่หน้าไทย หน้าแปลก และต้องผอม
ดังนั้นอย่างหนึ่งที่อึดอัดคือสังคมเราเป็นอะไรมากกับคนผอม ขณะเดียวกัน บางทีเราก็รำคาญตัวเองที่เวลาถ่ายรูปก็ต้องพยายามทำตัวลีบ ขายาว แล้วก็ต้องมานั่งคิดกับตัวเองว่าที่จริงเราไม่ได้เป็นแบบนั้น ทำไมต้องพยายามขนาดนี้
Life MATTERs : คิดว่าอะไรที่ทำให้กดดันตัวเองถึงขนาดนั้น
เมย์ : ถ้าพูดกันแบบเปิดอก ก็คือเราต้องการการยอมรับจากสังคม และด้วยความที่เราก็เป็น perfectionist ระดับหนึ่ง ถ้าเราตัดสินใจอะไรสักอย่างแล้วเราจะต้องทำให้ดี แล้วพอตัดสินใจว่าจะเป็นนางแบบ เราจะต้องทำให้ได้และทำให้ดี ก็เลยพยายามมาก คุณอยากได้แบบไหนเหรอ บอกมาเลยเดี๋ยวเราทำให้ แต่พอมาถึงจุดที่เราทำไม่ได้ มันทำให้รู้สึกโทษตัวเองว่า ทำไมล่ะ เราดีไม่พอเหรอ
Life MATTERs : ผ่านมาจนตอนนี้ ทำไมทางออกของความอึดอัดจึงเป็นการโกนหัว
เมย์ : มันเกี่ยวข้องกับคำว่าปล่อยวาง เพราะว่าจริงๆ อย่างที่บอก เราค่อนข้างพยายามยัดตัวเองลงไปในกรอบของความงาม ที่สังคมบอกว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นสิ อย่างนี้สิ แล้วอย่างหนึ่งที่ไม่ว่าจะยัดเท่าไหร่ก็ยัดไม่เข้าคือเรื่องผม เพราะเราเป็นคนที่ผมเส้นเล็กและบางมาก เวลาไปถ่ายงานแล้วต้องทำผม ช่างทุกคนจะแบบ ไม่ไหวกับผมอีนี่มากๆ สุดท้ายเราเลยรู้สึกว่าสิ่งที่เหมาะกับเราจริงๆ อาจเป็นการที่ไม่มีผมก็ได้
เราคิดเรื่องผมมานานเหมือนกัน ในทุกๆ ไม่กี่ปีเราก็จะตัด ไว้ยาว ตัดอีก แล้วก็จะดัด วนไป แล้วเรารู้สึกว่าไม่มีอะไรที่เหมาะกับเราเลย จนวันนี้ที่เราเจอว่าการโกนหัวนี่แหละ เหมาะกับเราที่สุดแล้ว ซึ่งก่อนที่จะตัดสินใจโกน เรารู้สึกว่าเส้นผมมันมีความหมายทางสังคมเยอะมาก ดังนั้นจึงต้องปล่อยตรงนี้ทิ้งไป เพื่อให้เรามีความสุขกับการเป็นตัวเอง
ตอนแรกเราคิดว่าเราจะต้องรออีกสักพักหนึ่งนะ คือตอนนี้เรากำลังเรียน ป.โท ด้วย ก็อยากเรียนให้จบก่อน ทำงานมั่นคงก่อนถึงจะโกนหัวหรือสัก ซึ่งมีเพื่อนคนหนึ่งบอกเรา ใช่ ต้องรอให้ตัวเองมั่นคงก่อนที่จะเป็นตัวเองได้ในสังคมนี้ แล้วเราก็สงสัยว่าทำไม ถ้ามันไม่ได้ไปกระทบกับชีวิตใคร หรือกระทบกับงานที่เราทำสักหน่อย ดังนั้น เราก็เลยทำเลย
Life MATTERs : จังหวะที่โกนหัว มีแว้บหนึ่งที่รู้สึกอยากหยุดไหม
เมย์ : ไม่เลย คือที่บ้านมีแบตตาเลี่ยนอยู่แล้ว เราก็เลยให้คุณน้าโกนให้ ตอนนั้นมันแค่รู้สึกตื่นเต้น ไม่ได้ร้องไห้หรือเสียดายอะไรเลย เหมือนเรารอโมเมนต์นี้มานานมาก เรารู้สึกว่ามันเหมือนเป็นการที่เราได้เป็นตัวเองจริงๆ
เรารู้สึกว่าการโกนผม คือการขยายกรอบด้านความงามของตัวเองออกไป เพราะทันทีที่เราไม่ต้องทำตามกรอบที่สังคมมองว่านี่คือความสวยแล้ว เรามองอะไรก็สวยได้หมดเลย จะมีอยู่วันนึงที่เราไม่แต่งหน้า แค่เขียนคิ้วเป็นฟรีดา คาห์โลแล้วก็ถ่ายรูปตัวเอง ทั้งๆ ที่หน้าสดแต่มีแค่คิ้วเราก็ยังรู้สึกว่าสวยได้แฮะ มันเหมือนเราเกิดใหม่ ให้ความหมายกับความสวยใหม่ตั้งแต่ต้น
มันจะมีโมเมนต์ที่เราอยากเดินออกไปข้างนอกแล้วให้คนเห็นว่า ดูสิ นางโกนหัว นางเป็นบ้า ฉันเองก็ควรจะเป็นบ้าได้ ถ้าในซอกหลืบจิตใจของคุณเป็นคนบ้าอยู่แล้ว เราก็อยากให้เห็นว่ามันมีคนบ้าที่มีชีวิตอยู่ตอนนี้แล้วก็กินข้าวได้ ทำงานได้
Life MATTERs : สิ่งที่ค้นพบหลังจากโกนหัวคืออะไร
เมย์ : ก็จะมีคนถามว่าทำอย่างอื่นไม่ได้เหรอ คือมันมีทางอื่นแหละในการจะยอมรับตัวเอง เช่นการไม่แต่งหน้า แต่สำหรับเราเคยลองทำแล้ว วันหนึ่งไม่แต่งหน้าออกไปข้างนอกแล้วรู้สึกแย่มาก อีกวันเลยกลับมาแต่งหน้าเหมือนเดิม แต่พอโกนหัวคือต้องปล่อยมันไปเท่านั้น เพราะมันเอากลับมาไม่ได้แน่ๆ ในระยะเวลาอันสั้น ที่เราทำได้คือฝึกที่จะยอมรับการตัดสินใจที่ทำไปแล้ว ฝึกตัวเองให้ช่างมัน
อย่างหนึ่งที่น่าสนใจมากเวลาคนถามว่าทำไมถึงโกนหัว คือเราก็ยังรู้สึกว่าคนยังมองสิ่งที่แตกต่างว่าผิดปกติ เช่น นี่ออกจากบ้านก็ถูกมองเป็นพระ (หัวเราะ) หรือไม่ก็เป็นมะเร็ง โอเค เราเข้าใจคนที่มองเราเป็นมะเร็ง เราไม่ว่าอะไร มันเป็นไปได้ แต่บางทีคนถามว่าเลิกกับแฟนเหรอ เราจะรู้สึกว่าทำไมล่ะ คนเราจะต้องมีเรื่องกระทบกระเทือนจิตใจขนาดนั้นเลยเหรอ ถึงจะทำอะไรแบบนี้ได้ ผู้หญิงจะต้องไม่ลุกขึ้นมาทำอะไรกับตัวเอง หรือต้องผมยาวตามขนบตลอดเลยเหรอ?
Life MATTERs : สำหรับคุณ ความสัมพันธ์สำคัญกับการยอมรับตัวเองมากแค่ไหน
เมย์ : ก่อนหน้านี้ ตอนที่ยังป่วยอยู่ เรารู้สึกว่าต้องการจะพึ่งพิงใครสักคน ต้องมีคนคอยแอพพรูฟเรา ต้องมีคนรักเราตลอดเวลา แต่ตอนนี้รู้สึกว่าเป็นคนที่สามารถที่จะพอใจในตัวเองได้ โดยที่ไม่ต้องมีอีกคนคอยบอกว่าเราดีเราโอเค แต่ที่คบกับแฟนตอนนี้เพราะว่าคนคนนี้น่าอยู่ด้วย เรามีเขาอยู่ก็เป็นเรื่องดี
เราว่าพาร์ตเนอร์สำคัญมาก ถ้าเขาไม่สามารถจูนกับเราติดได้ เขาจะไม่มีวันเข้าใจว่าเรากำลังเจออะไร ผ่านอะไรอยู่ คือถ้ามาเป็นบางคนมาเจอเราแบบนี้ก็คงคิดว่าแปลกๆ อยู่เหมือนกัน หรือตอนที่บอกทุกคนว่าเราจะโกนหัวก็มีคนที่บอกว่าแล้วแฟนไม่ว่าเหรอ? ผู้ชายบางคนก็จะบอกว่าถ้าเป็นแฟนเรานะ ไม่ได้เลย เราก็รู้สึกว่า เออ เราโชคดีจัง ที่แฟนเราเข้าใจ
Life MATTERs : ที่ผ่านมา มองว่าตัวเองทุ่มเทมากไปไหม เพื่อให้ตัวเองดูสวยงาม
เมย์ : ถ้าพูดถึงค่าใช้จ่าย เราก็ทุ่มเทให้ตามที่เราไหว แต่ถ้าด้านจิตใจก็ทุ่มเทให้มากอยู่ เพราะว่าเราไม่มีเงิน (หัวเราะ) แต่เราจะขีดเส้นเอาไว้ คือเราจะไม่เปลี่ยนอะไรที่มันถาวร อย่างเช่นทำคาง ทำนม ทำจมูก แบบนี้จะไม่ทำ เรารู้สึกภูมิใจกับความธรรมชาติของเรา
เราดีใจที่เราสามารถพูดได้เต็มปากว่าเราคือธรรมชาติ แต่เราจะไม่เหยียดใครที่ทำศัลยกรรมเด็ดขาด เพราะบางทีมันเป็นเรื่องของจิตใจ ว่าเขารู้สึกว่านั่นคือสิ่งที่เขาควรจะเป็น เพียงแต่การที่ทำเพื่อให้เป็นที่ยอมรับ หรือเพื่อให้ fit in กับกรอบของความงาม สำหรับเรามันเหนื่อย แล้วถ้ากรอบความงามนี้เปลี่ยนจะทำยังไงล่ะ เช่น Kylie ที่เขาเอาซิลิโคนใส่ก้นเยอะมาก แล้วถ้าวันหนึ่ง โลกเปลี่ยนแล้วอยากได้ผู้หญิงก้นเล็ก เธอจะทำยังไง หรือคนที่ไปทำหน้าวีเชปถาวร ถ้าวันหนึ่งเทรนด์โลกนิยมผู้หญิงมีแก้มล่ะ
Life MATTERs : คิดว่ากรอบสังคมเรื่องความสวยงามทำร้ายผู้หญิงได้มากมายแค่ไหน
เมย์ : ไม่อยากพูดอย่างนั้นทั้งหมด เพราะรู้สึกว่า อย่างบางทีเราก็โทษว่าสังคมเป็นแบบนี้ไง เราถึงเป็นอย่างนี้ แต่ที่จริงแล้วปัญหามันก็อยู่ที่เราเองด้วย คือสังคมจะตั้งกรอบอะไรมาก็แล้วแต่แหละ แต่เราจะเอาตัวเองเข้าไปไว้ในนั้นทำไมล่ะ เพราะฉะนั้น บางกรณีเราก็ควรจะเปลี่ยนตัวเองก่อนที่จะไปเปลี่ยนสังคม ซึ่งตรงนี้ก็แล้วแต่จะมองนะ คือสังคมก็เป็นส่วนหนึ่งที่กดดันให้เราเป็นแบบนี้ แต่อีกส่วนหนึ่งก็ เราก็กดดันตัวเองทั้งที่เราไม่ได้จำเป็นต้องทำแบบนั้น
เราไม่ได้มองว่าตัวเองเป็นเหยื่อของอะไร แต่มองว่าเรารับสิ่งนี้เข้ามามากเกินไป คือเรารู้สึกว่าในยุคนี้เราได้รับข้อมูลเยอะมาก ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจริงๆ แล้วเราเลือกได้หรือเปล่าที่จะไม่รับมัน มันอาจจะเลือกได้แต่เราต้องใช้ความพยายามมากหน่อยที่จะไม่รับ ไม่รู้สิ มันเป็นอะไรที่ไม่มีคำตอบตายตัว มันพูดยากมากเลย
Life MATTERs : หรือบางทีความคิดเราเองก็ยังคงเปลี่ยนไปมาหรือเปล่า
เมย์ : ใช่ เราเป็นมากๆ พอเราย้อนกลับไปดูสิ่งที่เคยคิด เคยเขียนตอนที่เรียนอยู่ก็รู้สึกว่า ตายแล้ว หัวรุนแรงจัง (หัวเราะ) แต่พอออกมาอยู่โลกภายนอกก็รู้สึกว่ามันก็ต้องใช้ชีวิตเนอะ ยังไงเราก็ยังต้องอยู่ในระบบนี้อยู่ดี จัดการตัวเองดีกว่า สมมติเราจะบอกว่าเราจะไม่สวยแล้ว แต่สุดท้ายเราก็ยังจะหางานจากความสวยก็ต้องหาทางเลือกที่จะไม่กดดันตัวเองจนทุกข์ทรมาน
Life MATTERs : หมายความว่าตอนนี้เหนื่อยน้อยลงแล้ว?
เมย์ : ใช่ เราเหนื่อยน้อยลงแล้วกับเรื่องความสวย รู้สึกว่าปล่อยมันได้แล้ว หรือบางทีมันอาจอยู่ที่ว่าเรามองโลกทางไหน สำหรับบางคนเราก็รู้สึกว่าเขามองเห็นแต่ด้านไม่ดีของโลก เห็นแต่ด้านไม่ดีของตัวเอง เราเองก็เคยเป็นแบบนั้น แต่เราก็ยังเปลี่ยนไปเสมอ
Life MATTERs : มองว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาการใช้ชีวิตของตัวเองเป็นการทดลองไหม
เมย์ : ใช่ ก็ใช่นะ แม่เคยพูดว่าเมย์เป็นเหมือนการทดลองของแม่ เพราะแม่เป็นนักวิทยาศาสตร์ แม่เราอ่านหนังสือเยอะมาก มีทฤษฎีเยอะมาก ทฤษฎีการเรียนรู้ต่างๆ นานาในเด็ก แม่ก็จะเอามาใช้กับเรา เช่นการที่เราเก่งภาษาอังกฤษไม่ใช่เพราะว่าเป็นลูกครึ่ง แต่ที่จริงแล้วคือตั้งแต่เด็กๆ แม่ไม่ให้ดูหนังพากย์ไทย ห้ามอ่านหนังสือแปล สมมติว่าเราชอบแฮรี่ พอตเตอร์มาก เขาก็โยนเล่มภาษาอังกฤษให้เราแล้วบอกว่าชอบนักก็อ่านสิ อ่านภาษาอังกฤษออกก็อ่านภาษาอังกฤษ พยายามสิ มันคือการทดลองอย่างหนึ่งของเขา
แล้วเราก็รู้สึกว่าการประคองตน ลองผิดลองถูกว่าอะไรดีไม่ดี อะไรเหมาะหรือไม่เหมาะกับเรา มันเป็นสิ่งที่ควรทำ ถ้าเราทำอะไรแล้วไม่แฮปปี้ ก็ต้องหยุดแล้วเปลี่ยน หรือถ้าเราหยุดไม่ได้ เปลี่ยนไม่ได้ เราก็ต้องหาทางสักอย่าง เพราะไม่อย่างนั้นเราก็อยู่ไม่ได้
Life MATTERs : ตอนที่มีปัญหากับตัวเองมากๆ แม่เข้ามามีส่วนช่วยแค่ไหน
เมย์ : แม่ไม่ค่อยรู้เรื่อง เราค่อนข้างเก็บไว้คนเดียวมากกว่า หรือให้รู้กันแค่เพื่อนหรือแฟนสนิท เพราะเราไม่เคยรู้สึกว่าผู้ใหญ่จะเข้าใจอะไรพวกนี้ แต่ตอนที่เป็นซึมเศร้า ก็บอกแม่ว่าเราคิดว่าเราเป็นโรคซึมเศร้า เราคิดว่าเราอยากไปหาหมอ แต่แม่ก็ดูไม่ค่อยเชื่อ ดูไม่มีใครเชื่อทั้งนั้นน่ะ จนไปหาหมอแล้วทุกคนก็ไปด้วยกัน แม่ก็ไป น้าก็ไป แล้วเดินออกมาจากห้องหมอแล้วก็บอกทุกคนว่า โอเค เดี๋ยวรับยา (หัวเราะ) ก็เป็นโรคซึมเศร้าเนาะ
แม่ก็เริ่มรู้ เข้าใจเรามากขึ้นว่า อ๋อ มันมีคนเป็นจริงแฮะ ก็เริ่มคุยกับเพื่อนๆ ของเขา แล้วพบว่าลูกหลานคนอื่นเขาก็เป็นกัน แล้วเขาก็เข้าใจว่ามันก็ไม่ใช่อะไรที่เข้าวัดเข้าวาแล้วจะหาย คือมันช่วยนะในเรื่องความคิด การรู้ตัว การตั้งคำถาม การมีสติ มันช่วย แต่ในเรื่องของการเยียวยาความป่วยไข้มันไม่เกี่ยว แล้วอีกอย่างคือถึงจะปรับความคิดแค่ไหน แต่เคมีในสมองมันไม่ได้ปรับมันก็กลับมาอยู่ที่เดิม
Life MATTERs : สำหรับเรื่องงาน นอกจากงานถ่ายแบบแล้ว สิ่งที่รู้สึกสนุกคืออะไร
เมย์ : ตอนนี้ เรียน ป.โท ด้านสุขภาพจิต แล้วก็อยากจะเป็นนักจิตบำบัด เรารู้สึกว่าจิตวิทยามันเหมือนตรงกลางระหว่างปรัชญากับวิทยาศาสตร์ คือปรัชญาจะเป็นอะไรที่ฟุ้ง เป็นกลุ่มคำถามที่หาคำตอบไม่ได้ จิตวิทยาก็คล้ายๆ อย่างนั้นแต่ทุกอย่างมันจะค่อนข้างนำมาใช้กับมนุษย์จริงๆ ได้
เป้าหมายของชีวิตเราตอนนี้คืออยากทำอะไรก็ได้ให้การมีอยู่ของเรามีประโยชน์ที่สุด แล้วพอเราเรียนเรื่องจิตวิทยา เราก็สามารถใช้ความรู้ให้เป็นประโยชน์ต่อคนที่ต้องการได้ ก่อนหน้านี้เรารู้สึกว่าเรารับงานถ่ายแบบเพื่อประทังชีวิต เพราะงานถ่ายแบบมันได้เงินดีกว่างานติวหนังสือหรือรับงานแปล เราก็เลย โอเค ก็ยังรับอยู่ แล้วก็ต้องคอยบาลานซ์ตัวเองต่อไป
Photos by Adidet Chaiwattanakul