ถึงแม้ว่าในทศวรรษนี้ จะมีเทศกาลดนตรีให้เลือกไปเยือนเยอะกว่าตัวเลขในบุ๊กแบงก์ แต่เชื่อเถอะว่า ถ้าลิสต์ท็อป 5 เทศกาลดนตรีที่ดีที่สุดในยุคนี้ ต้องมีชื่อ Primavera Sound อยู่แน่นอน นอกจากนี้ บางสำนักข่าวดนตรียังยกให้เป็นเทศกาลดนตรีนอกกระแสที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุโรปอีกด้วย
Primavera Sound เป็นเทศกาลดนตรีที่จัดเป็นประจำทุกปี ในช่วงแดดกำลังดีปลายพฤษภาคม ถึงต้นมิถุนายนของเมืองบาร์เซโลนา ประเทศสเปน วงดนตรีแทบทุกวงในยุคเคยผ่านเวทีนี้มาหมด ทั้ง Sonic Youth, Pet Shop Boys, The White Stripes, Pixies, Kendrick Lamar, The Cure, Portishead, Tame Impala, My Bloody Valentine ฯลฯ
จากที่เคยไปมาเมื่อปีที่แล้ว เรายืนยันได้ว่ามันเป็นเฟสติวัลที่ดีสมคำร่ำลือจริงๆ เหตุผลหลักเลยเพราะ Primavera Sound เป็นเฟสติวัลที่อัดแน่นด้วยไลน์อัพวงนอกกระแสที่มีผลงานระดับพีคในช่วงปีที่ผ่านมา มีเวทีใหญ่ถึง 7 เวทีและเวทียิบย่อยอีก 8 เวที เรียกได้ว่าดูกันตาแฉะ ให้มันเกลียดการดู live music กันไปข้างหนึ่ง
นอกจากนี้แล้วมันดีสำหรับคนสังขารไม่เที่ยงแบบเรา เพราะเป็นเฟสติวัลที่ไม่ต้องกางเต็นท์นอน วงจบก็แยกย้ายกลับที่พักกันไป ฟื้นร่างกลายเป็นคนเมื่อไหร่ก็กลับเข้ามาในเฟสติวัล แถมไม่ค่อยมีพวกแต่งตัวยิปซี ชนเผ่าในเฟสติวัล ไม่มีแต่งตัวมาแข่งกัน ง่ายๆ คือคนมาดูดนตรีกันจริงๆ และค่อนข้างเฟรนด์ลี่กันมากๆ
หลังจากต้องพบกับวิบากกรรมเมื่อปีที่แล้ว ยืนรอและอั้นฉี่กว่า 2 ชั่วโมง เพื่อรอดู Radiohead ในระยะห่างจาก Thom Yorke 50 เมตร ปีนี้เราเลยขอหยุดกรรมด้วยการใช้เงินฟาดซะ ซื้อบัตร VIP มันซะเลย
โซน VIP มีดีอะไร? มันมีทางเข้างานและโซนพิเศษให้ยืนชิล แถมพวกเครื่องดื่มก็ราคาถูกกว่าทั่วไปประมาณ 1 ยูโร และที่สำคัญ!!! มีโซนที่กั๊กไว้เฉพาะหน้าเวที! ทั้งหมดแลกมาด้วยการจ่ายเพิ่มประมาณ 5000 บาทจ้า
ปีนี้ไลน์อัพขนมาเพียบเหมือนเดิม ไลน์อัพใหญ่ของปีนี้คือ Arcade Fire, Bon Iver, The Xx, Aphex Twins, Grace Jones และ Frank Ocean… ที่มันแคนเซิลก่อนเฟสติวัลเริ่มหนึ่งอาทิตย์!!! แน่นอนว่าโดนคนด่าถล่มถลาย โดยไอ้เฟสติวัลก็เล่นง่ายมาก เอา Jamie Xx มาเล่นแทน หน้าชากันไป แต่ก็พอทำใจได้ เพราะอยากดู Jamie Xx มานานแล้ว
จริงๆ แล้วตัวงานมีหลักๆ ทั้งหมด 3 วัน แต่ก่อนหน้านั้นก็มีคอนเสิร์ตเล็กน้อยเป็นน้ำจิ้มตลอดทั้งอาทิตย์
เราไปเริ่มด้วยการไปชิมลางดู Let’s Eat Grandma และ Cigarette After Sex ที่ Sala Apolo ที่ เป็นเหมือนโรงละครเก่าที่เขายังรักษาสถาปัตยกรรมไว้ เหมาะกับการดูคอนเสิร์ตมากๆ
วันต่อมามีฟรีคอนเสิร์ตจัดตรงส่วนของเฟสติวัลเลย มี Local Natives ที่เล่นก็โอเค และต่อด้วย Saint Etienne วงดนตรีอินดี้ป๊อปดังมากในยุค 90’s ที่เล่นแบบฟูลแบนด์ พอเครื่องดนตรีเยอะ เราก็สัมผัสได้ถึงความพิถีพิถันในการเล่นขึ้นมาทันที เป็นโชว์ที่สนุกโยกกันเบาๆ ตามอายุวงจริงๆ
วันนี้มีขุ่นพ่อ Jarvis Cocker แห่งวง Pulp มาเปิดเพลงที่ Hidden Stage ด้วย แต่เราไปต่อคิวจองบัตรไม่ทัน น้ำตานองอาบสองแก้ม Hidden Stage เป็นเวทีลึกลับสมชื่อ เพราะไลน์อัพจะบอกก่อนเฟสติวัลเริ่มสักอาทิตย์นึง แล้วใครอยากดูก็ต้องไปต่อคิวไปจองตั๋วหน้างาน ปีนี้มี Jens Lekman, Aldous Harding และ Radio Dept. มาเล่น
DAY ONE
สิ่งแรกที่เราตั้งใจมาดูในวันนี้คือ Alexis นักร้องนำวง Hot Chip มาเปิดเพลงที่เวที Desperados เป็นเวทีสำหรับสายคลับมิวสิก บรรยากาศแบบชายหาดเพราะติดทะเล จากนั้นก็เดินข้ามโลกจากซ้ายสุดของงานไปที่เวทีใหญ่สุดที่อยู่ขวาสุดของงาน เพื่อดู Kevin Morby อินดี้โฟล์คและนักแต่งเพลงขวัญใจนักวิจารณ์ ที่พอเล่นสดมีแบ็คอัพเป็นผู้หญิงเล่นกีตาร์ซึ่งเท่มาก เลยทำให้โชว์ดูมีมิติและไม่น่าเบื่อเท่าที่คิด พอมีเสียงผู้หญิงในเพลงทำให้เรานึกถึงเพลงแบบ The Velvet Underground ขึ้นมาทันที
พอดูจบ เรามูฟไปเดินเล่น ช้อปปิ้งเพื่อรอดู Broken Social Scene วงขวัญใจชาวอินดี้ร็อกจากแคนาดา เรื่องเล่นสดรับประกันวงแบบนี้ได้เลย พวกเขาเป็นวงดนตรีแบบที่มีสมาชิกหลายคน ฟอร์มวงจากกลุ่มเพื่อนและคนเก่งๆ ใน Montreal ศิลปินอย่าง Feist ก็เคยอยู่วงนี้ การได้กระโดดและร้องเพลง 7/4 shoreline ไปกับพวกเขา คือหนึ่งสิ่งที่ช่วยเติมเต็มความฝันของช่วงเวลาวัยรุ่น เราดูได้อยู่สี่ห้าเพลง ก็ต้องรีบวิ่งไปโซนเวทีใหญ่เพื่อดู Solange ในเวลานี้เราต้องตัดใจไม่ดู Glass Animals ที่เล่นชนกัน
โชว์ของ Solange ดีงามอย่างที่คิด ทุกคนในวงออกมาด้วยชุดสีแดงสู้แดด มีการดีไซน์ท่าเต้นและเพอร์ฟอร์แมนซ์ที่เนี้ยบกริบ วิชวลข้างหลังมีเพียงวงกลมดวงใหญ่ๆ เล่นกับไลต์ติ้งสีเดียวบนเวที
ในขณะที่พี่สาว Beyonce กลายเป็นซูเปอร์สตาร์ดีว่าค้ำฟ้า Solange เลือกมาสายเงียบๆ ทุกสิ่งที่อยู่บนเวทีคือคอนเซ็ปต์ชวลอาร์ตดีๆ ชิ้นหนึ่ง เนื้อเสียงของเธอเวลาเล่นสดดีงามตรงตามที่เราฟังจากไฟล์อัลบั้ม ท่วงทำนองแบบ Soul, R&B ชั้นครูตามดีเอ็นเอเพลงของคนผิวสี ไม่ง่ายเลยที่ใครสักคนจะมีโชว์แบบนี้ได้ เรายกให้เธอคือหนึ่งในการแสดงที่ดีที่สุดที่เราได้ดูใน Primavera
ดูจบก็เดินเช็กโซเชียลเน็ตเวิร์กตามสไตล์คน 4.0 เดินๆ อยู่ เราถึงกับต้องกรี๊ดแตก! เพราะมีเซอร์ไพรส์โชว์จาก Arcade Fire แล้วอดดู เพราะมัวแต่ดู Solange! ได้แต่ปาดน้ำตา ไม่เป็นไร รอดูวงเล่นจริงเวทีใหญ่แทนแล้วกัน
สำหรับเซอร์ไพรส์โชว์ ถือว่าปีนี้ Primavera ทำเก๋ มีการปล่อยโปรแกรม Unexpected Primavera มา มันคือโปรแกรมที่ในหนึ่งวันจะมีเซอร์ไพรส์จากศิลปินหนึ่งวง โดยบอกก่อนเพียงสองชั่วโมงที่วงจะเล่น แล้วไม่ใช่วงไก่กาแบบหาข้อมูลในวิกิพีเดียไม่เจอ เพราะวันแรกมี Arcade Fire มาเล่น วันที่สองคือ Mogwai ส่วนวันที่สามเป็น Haim มาเล่นเปิดอัลบั้มใหม่ที่นี้
กลับมาสู่สติอีกครั้ง ในงานโซนเวทีใหญ่ จะเป็นสองเวทีประกบเข้าหากัน พอ Solange เล่นจบ เพื่อนร่วมทริปแยกไปดู Badbadnotgood ที่เล่นสดเดือดยิ่งกว่าซ้อมดนตรีตรงอีกเวทีหนึ่งที่ไกลออกไป ส่วนเราเดินไปดู Bon Iver ฝั่งตรงข้าม ตอนนี้ฟ้ามืดลงแล้ว คนก็เยอะตามไปด้วย Bon Iver มาโชว์แบบอลังการงานสร้างตามสไตล์วง
ถ้าใครเป็นแฟน Bon Iver จะรู้ว่าอัลบั้มชุดใหม่ของเขาเต็มไปด้วยสัญลักษณ์หลายๆ อย่าง และมีการทดลองซาวด์ที่แตกต่างกันออกไป ทั้งเสียงของ Bon Iver ที่ชวนให้บรรยากาศอึมครึม บวกกับซาวด์เอฟเฟ็กต์ที่เหมือนเสียงฟ้าร้อง ฟ้าแลบ ช่วยเติมเต็มและสร้างความน่าสนใจให้กับโชว์ขึ้นเป็นกอง เรายืนนิ่งอยู่กับความสวยงามอยู่หลายนาที วงแบบนี้สมควรที่ทุกคนจะได้ดู
หลังจากดูจบ ในขณะที่ขาเริ่มอ่อนแรง เราต้องหอบขาเปลี้ยๆ ไปต่อที่เวที Primavera ที่อยู่ตรงกลางของเฟสติวัลเพื่อดู Death Grips วงดนตรี Experimental Hip Hop ที่โคตรมหาเดือด ซินธ์หนักๆ กลองเน้นๆ ไม่เพียงแค่วงเท่านั้นที่เดือด คนดูก็เดือดและเถื่อนมากเช่นกัน มีปาขวดน้ำและ Mosh Pit กันให้สมกับที่เกิดมามีขา คนที่แพ้ก็ต้องดูแลตัวเองแบบเราขอยอมแพ้ออกมายืนดูห่างๆ เราปิดท้ายวันด้วยการไปคารวะ Aphex Twin ศิลปินอิเล็กทรอนิกส์รุ่นใหญ่ที่โนสนโนแคร์เวิลด์กับซาวด์บีทหนักๆ เละๆ ดิบๆ มีวิชวลเป็นงาน Glitch เล่นกับภาพคนดูข้างล่าง เลเซอร์พุ่งแรงแบบแทงคนตายได้ ดูเสร็จไม่อยู่ในสภาพการเป็นมนุษย์ เดินเป็นซอมบี้ไปดู Tycho แปปนึงแล้วต้องขอตัวกลับบ้านนอน
แต่ทั้งหมดยังไม่จบเท่านี้ ติดตามต่อได้ที่พาร์ต 2 …ในเร็ววัน