หากพูดว่าสถาปัตยกรรมของ Tadao Ando กับธรรมชาติคือสิ่งเดียวกันก็คงไม่ผิดนัก เพราะงานออกแบบของสถาปนิกญี่ปุ่นวัย 76 ผู้นี้แฝงไว้ด้วยปรัชญาทางธรรมชาติ ตั้งแต่ในขั้นตอนที่ยังมีแค่แบบร่างไปจนถึงวันที่ตึกสร้างเสร็จให้คนได้ใช้งานและชื่นชม แม้เขาจะไม่เคยเข้าเรียนวิชาสถาปัตยกรรมที่ไหนเลย! แถมไม่แคร์ว่าใครในบ้านจะหนาวเหน็บแค่ไหนในฤดูหนาว อีกต่างหาก
ย้อนกลับไปในวัยเด็ก ไม่มีอะไรที่บอกได้เลยว่าเด็กชายทาดาโอะ อันโดะจะเติบโตขึ้นมาเป็นสถาปนิกผู้ยิ่งใหญ่ เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการวิ่งเล่นในทุ่งหญ้า หัดทำงานไม้จากเพื่อนบ้านในโอซาก้า และเป็นนักมวยอาชีพในช่วงวัยรุ่น
กระทั่งความสนใจตึกรามบ้านช่องเริ่มเติบโต เขาถึงเริ่มเรียนรู้เรื่องสถาปัตย์จากการลอกลายในหนังสือของสถาปนิกชื่อดัง Le Corbusier ไปจนถึงความบ้าพลังอ่านหนังสือเรื่องการออกแบบสำหรับเรียน 5 ปีให้จบภายในปีเดียว เดินทางไปศึกษาตึกระดับโลกทั้งในยุโรปและที่อื่นๆ ก่อนเริ่มต้นอาชีพสถาปนิกอย่างจริงจังและค่อยๆ ก่อสร้างลายเซ็นของตัวเองมาจนถึงวันนี้
เอาเข้าจริง แม้เราจะพูดว่าลายเซ็นของอันโดะคือความเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติที่โอบรอบ แต่ใช่ว่างานของเขาจะมีหน้าตาเป็นบ้านดิน หลังคามุงจาก และซุกตัวอยู่ในป่าดงพงไพรห่างไกลแสงสี กลับกัน งานของอันโดะกลับโดดเด่นด้วยผนังคอนกรีตเจาะรู มีรูปทรงเรขาคณิต บานกระจกใหญ่ อีกทั้งงานหลายต่อหลายชิ้นก็ตั้งอยู่กลางเมืองใหญ่ของโลก ทั้งโตเกียว เกียวโต โอซาก้า ปารีส ชิคาโก้ เท็กซัส หรือแม้แต่นิวยอร์กก็ตาม
อย่างนี้ คำว่าธรรมชาติในงานของอันโดะหมายความถึงอะไร?
ถ้ามองจากแค่ภายนอก ธรรมชาติที่ว่ามักมาในรูปแบบของต้นไม้ใบหญ้าที่เป็นส่วนประกอบของตึกปูน เพดานเปิดโล่งให้เห็นท้องฟ้ารับทั้งความอบอุ่น เม็ดฝน และแสงแดดที่มักทำมุมตกกระทบบนพื้นบ้านอย่างจงใจ สายลมเอื่อยๆ ที่ไหลเวียน และบรรยากาศของความเงียบ สุขสงบแม้จะอยู่ในตัวเมืองก็ตาม
หรือหลายครั้ง ธรรมชาติก็มาในรูปแบบของการปรับสถาปัตยกรรมให้เข้ากับพื้นที่ เช่น โครงการ Rokko Housing I, II, III ที่อันโดะจัดแจงสร้างอพาร์ตเมนต์ขึ้นบนพื้นที่ที่ลดหลั่นกันไปเป็นขั้นบันได กลายเป็นหมู่อพาร์ทตเมนต์ที่สลับซับซ้อนอยู่บนไหล่เขา หรือการรีโนเวตภายในมิวเซียม Bourse de Commerce ในปารีสโดยยังรักษาโครงสร้างภายนอกเดิมไว้ไม่เปลี่ยนแปลง
งานแบบนี้กลายเป็นสไตล์สถาปัตย์แบบที่เรียกว่า Critical Regionalism หรือภูมิทัศน์เชิงวิพากษ์ที่เน้นสร้างการรับรู้เรื่องพื้นที่ และใส่ความเฉพาะตัวของสถานที่ลงไปในสถาปัตยกรรมแบบโมเดิร์น ไม่ว่าจะเป็นในแง่ภูมิศาสตร์ หรือกลิ่นอายวัฒนธรรมท้องถิ่น แต่ยังร่วมสมัย ทันโลกปัจจุบัน
ลึกลงไป ลองจินตนาการว่าเราจับตึกของอันโดะแต่ละแห่งมาแยกออกเป็นส่วนๆ เราจะพบว่าสิ่งที่เขาหยิบมาใช้เป็นวัสดุแล้วแต่เป็นธาตุอย่าง ดิน น้ำ ลม ไฟ และที่ว่าง อันเป็น 5 ธาตุที่ชาวญี่ปุ่นเชื่อกันว่าเป็นพื้นฐานของสรรพสิ่ง ของโลก และของจักรวาล จนไม่น่าแปลกใจที่งานของอันโดะจะเป็นสากลจนจับใจคนไปทั้งโลก และกวาดรางวัลมากเวที รวมถึงรางวัล Pritzker Prize รางวัลสูงสุดของวงการสถาปัตยกรรมด้วยธาตุอันเป็นเอกลักษณ์เหล่านี้นั่นเอง
ดิน : คอนกรีต ต้นไม้ และฐานของสรรพสิ่งทั้งปวง
ตามความเชื่อของชาวญี่ปุ่น ดินคือธาตุที่เป็นเหมือนพื้นโลกและเป็นพื้นที่สำหรับสิ่งอื่นที่จะเติบโต ไม่ต่างจากคอนกรีตซึ่ง Bono นักร้องนำวง U2 เคยยกย่องไว้ว่าอันโดะเป็น “แชมป์โลกรุ่นเฮฟวี่เวตแห่งคอนกรีต”
ผนังคอนกรีตที่เรียบเนียน เงางาม คือรากฐานงานของสถาปนิกผู้นี้ก็ว่าได้ เพราะแม้แต่งานช่วงแรกอย่างการสร้างบ้านให้ครอบครัวหนึ่งที่กลายมาเป็นออฟฟิศในทุกวันนี้ (เพราะครอบครัวเพิ่งรู้ว่าตัวเองท้องลูกแฝดและบ้านนี้คงเล็กไปสำหรับพวกเขา) หรือ Azuma House (อีกชื่อหนึ่งคือ Row House in Sumiyoshi) ที่สร้างชื่อให้อันโดะในปี 1976 ก็มีโครงสร้างหลักเป็นตึกเรขาคณิตสร้างจากคอนกรีตเปลือยทั้งหมด ทั้งผนังคอนกรีตเหล่านี้ยังเป็นส่วนที่กั้นตัวบ้านออกจากโลกภายนอก และสร้างจักรวาลขึ้นภายในนั้น
“ผมสร้างพื้นที่ปิดด้วยวัสดุอย่างคอนกรีต เหตุผลหลักๆ นั้นเป็นไปเพื่อสร้างสเปซสำหรับปัจเจก เป็นโซนสำหรับแยกตัวเองออกมาจากสังคม และเมื่อสภาพแวดล้อมของเมืองทำให้เราต้องก่อกำแพงทึบขึ้นมา สิ่งที่อยู่ข้างในจึงต้องสะดวกครบและน่าพึงพอใจ” อันโดะกล่าว
ด้วยเหตุนี้เองทำให้เมื่อมองจากภายนอก ตึกของอันโดะมักก่อด้วยกำแพงคอนกรีตจนดูมินิมอลเหลือเกิน แต่เมื่อได้ก้าวเข้าไป เรากลับพบว่าคอนกรีตของเขาถูกจัดวางเป็นระบบอันซับซ้อนที่นำไปสู่การหลอมรวมธาตุอื่นๆ อย่างน้ำ ไฟ ลม และที่ว่างอย่างลงตัว
ดินในความหมายของอันโดะยังกินความหมายไปถึงการเป็นจุดกำเนิดของต้นไม้ ซึ่งเขาชอบหยิบมาใส่ในงานทั้งเพื่อให้คนได้เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติจริงๆ อย่างบ้าน Koshino (Koshino House) บ้านของแฟชั่นดีไซเนอร์ที่เขาทำเป็นตึกสามตอนลดหลั่นกันลงไปล้อมรอบด้วยสนามหญ้าและต้นไม้ หรือ House in Utsubo Park ที่อันโดะใช้ต้นไม้มาทำเป็นผนังแยกส่วนบ้านกับสวนสาธารณะที่อยู่ติดกันอย่างลงตัวและกลมกลืน
นอกจากในแง่ของความร่มรื่นและ ต้นไม้สำหรับอันโดะกลับมีปรัชญามากกว่านั้น อย่างที่เขาพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างต้นไม้กับงานสถาปัตย์ไว้ว่า “เราทำอะไรกับงานสถาปัตยกรรมได้บ้าง? อะไรคือรากฐานของงานสถาปัตยกรรม? ผมเชื่อว่าแก่นแท้ของสถาปัตยกรรมคือการก่อกำเนิดความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นกับธรรมชาติ มนุษย์กับสังคม ปัจจุบันกับอดีต และเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวพันกับสังคมของเรา ในแง่นี้ การปลูกต้นไม้และเติมสีเขียวให้เมืองจึงเป็นงานสถาปัตยกรรมสำหรับผม”
น้ำ : บ่อน้ำ เม็ดฝน และความไม่สะดวกสบายอันน่าเพลิดเพลิน
ธาตุน้ำอาจไม่ได้เป็นฐานในงานสถาปัตยกรรมของอันโดะหลักเท่าคอนกรีต หรือต้นไม้ก็จริง แต่น้ำก็เป็นองค์ประกอบที่แทรกซึมอยู่ในหลายงานอย่างแยกไม่ออก และมีฟังก์ชั่นหลากหลาย ทั้งบรรดาบ้านริมทะเลที่มักมีกระจกบานใหญ่ มองเห็นวิวมหาสมุทร โบสถ์ Church on the Water ในฮอกไกโดที่มีบ่อน้ำขนาดใหญ่อยู่ด้านนอกเพื่อการภาวนาอย่างสงบ Water Temple บนเกาะ Awaji ที่ใช้บ่อน้ำเป็นหลังคา หรือบ่อน้ำใน Naoshima Contemporary Art Museum ในญี่ปุ่นที่ตั้งอยู่ใต้หลังคาเปิดโล่ง และสะท้อนเงาท้องฟ้ากับต้นซากุระที่อยู่ด้านบน
ในหลายที น้ำยังมาในรูปแบบของฝน เพราะอันโดะมักสร้างบ้านที่ตรงกลางเป็นคอร์ทเปิดโล่งรับแสงแดด ลม และหลายคราก็ต้องรับน้ำฝนด้วย อย่างบ้าน Azuma อันโด่งดังที่ประกอบด้วยห้องทั้งหมด 4 ห้องล้อมรอบพื้นที่ตรงกลาง เมื่อจะเดินจากห้องหนึ่งไปยังอีกห้องก็ต้องเดินตัดที่ว่างไป ไม่เว้นแม้แต่ตอนฝนตกด้วย
ใช่ว่าอันโดะจะไม่รับรู้ถึงความยุ่งยากนี้ แต่ปรัชญาในงานสถาปัตยกรรมของเขาไม่ได้เป็นไปเพื่อความง่ายดายสักเท่าไหร่ กลับกัน เขาอยากให้คนได้สัมผัสธรรมชาติให้ได้มากที่สุด แม้ว่าจะหมายถึงการต้องกางร่มเดินในบ้านตัวเองก็ตามที
ที่จริง เรื่องความลำบากของการอาศัยในบ้านที่อันโดะออกแบบเป็นเรื่องที่รู้ๆ กันอยู่ อย่างบ้าน Koshino นั้น Hiroko Koshino แฟชั่นดีไซเนอร์เจ้าของบ้านถึงกับออกปากว่าเธอต้องใส่ชุดสำหรับเล่นสกีในช่วงหน้าหนาวเพราะบ้านมันหนาวมากทีเดียว (ถึงอย่างนั้น เธอก็ยังอยู่มาได้ถึง 20 ปี) ส่วนอันโดะเองก็เคยพูดถึงบ้านที่เขาออกแบบไว้ว่า
“บ้านที่ผมออกแบบอาจยากสำหรับการอยู่อาศัยถ้าเทียบกับมาตรฐานทั่วๆ ไป ยกตัวอย่างเช่น Row House in Sumiyoshi (อีกชื่อหนึ่งของบ้าน Azuma) ที่ผมออกแบบคอร์ทโล่งตรงกลางเพื่อที่ผู้อยู่อาศัยจะได้สัมผัสกับธรรมชาติแม้อยู่ในเมือง แม้จะอยู่ยาก แต่ลูกค้าของผมหลายคนยังอยู่ในบ้านที่ผมออกแบบและผมก็รู้สึกตื้นตันมากขึ้นในแต่ละปีที่ผ่านไป และผมเองก็ยังจะออกแบบบ้านแบบนี้ และเชื่อมั่นว่าผู้อยู่อาศัยจะต้องเพลิดเพลินกับการอยู่ร่วมกับความท้าทายและความไม่สะดวกสบายนี้”
ลม : สายลมที่กำหนดได้ทั้งภายนอกและภายใน
ด้วยตึกที่มีรูปทรงเรขาคณิตต่างๆ ประกอบเข้ากับผนังที่เป็นเส้นตรง หรือรูปทรงแอ็บแสตร็กอื่นๆ ไม่แปลกที่เมื่อมองครั้งแรก สถาปัตยกรรมของเขาอาจดูเหมือนทำตามอารมณ์ติสต์เฉยๆ แต่เมื่อเหยียบย่างเข้าไป ข้างในกลับถูกจัดวางองค์ประกอบมาเป็นอย่างดี โดยเฉพาะการดึงดูดลมให้ไหลเวียนภายใน ทำให้รู้สึกได้ถึงธรรมชาติแม้อยู่ในอาคารก็ตาม
“ผมสร้างงานสถาปัตย์จากรูปทรงเบสิกอย่างสี่เหลี่ยมจัตุรัส วงกลม สามเหลี่ยม และสี่เหลี่ยมผืนผ้า ผมพยายามจะใส่พลังงานลงไปในพื้นที่ที่ผมกำลังสร้างเพื่อคืนความเป็นหนึ่งเดียวให้บ้านและธรรมชาติ ที่ถูกทำลายในกระบวนการทำให้ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ทันสมัยอย่างเร่งรัดในยุค 50 และ 60” อันโดะว่าไว้อย่างนั้น
แม้ลมจะไม่ใช่สิ่งที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาอย่างคอนกรีตหรือผืนน้ำ แต่เมื่อก้าวเข้าไปอยู่ในสเปซของอันโดะแล้ว ลมกลับกลายเป็นสิ่งที่สัมผัสได้ไม่ยาก ทั้งจากเสียงใบไม้ที่กระทบกันยามเมื่อลมอ่อนๆ พัดโชย ลมที่พัดมาเหนือบ่อน้ำในสเปซของเขา หรือความเย็นสบายที่เกิดขึ้นในพื้นที่นั้นๆ
สำหรับเรา การอยู่ในพื้นที่ที่มีลมอ่อนๆ หมุนเวียนไม่ได้มีแง่งามแค่ความสบายตัว แต่คลับคล้ายจะช่วยพัดพาภายในร่างกาย ให้ความคิดและจินตนาการได้ให้ได้โลดแล่นจนเราแอบคิดไม่ได้ว่าอาจเป็นสายลมเมื่อยามอันโดะวิ่งเล่นในทุ่งหญ้าวัยเด็กที่ทำให้เขาความคิดและจิตวิญญาณของเขาโลดแล่น จนสามารถสร้างสเปซที่พัดพาความคิดเราได้ในทุกวันนี้
ไฟ : แสงแดดและเงาสลัว อีกชีวิตในอาคารของอันโดะ
อีกหนึ่งธาตุพื้นฐานที่ให้ชีวิตแก่สรรพสิ่งคือไฟ หรือแสงแดดและความอบอุ่นในธรรมชาติซึ่งอันโดะนำมาจัดวางในงานของเขาอย่างประณีตที่สุด ไม่ว่าจะเป็นในบ้าน ที่เขามักจัดวางผนัง เพดาน และกันสาดให้แสงทำมุมตกกระทบลงบนพื้นหินหรือบ่อน้ำอย่างสวยงาม หรือในอาคารอื่น เช่น โบสถ์ Chuch of the Light งานชิ้นมาสเตอร์พีซอีกหนึ่งชิ้น ที่เขาทำลายล้างความเป็นโบสถ์แบบดั้งเดิม และสร้างห้องภาวนาที่ปลายห้องเจาะเป็นรูปแสงรูปไม้กางเขนขนาดใหญ่ขึ้นมาแทน เพื่อให้ผู้มาร่วมภาวนาได้ระลึกถึงพระเจ้า ซึ่งอยู่ในสรรพสิ่ง ทั้งในแสงที่ลอดผ่านช่อง ลมที่พัดพาเข้ามา และธรรมชาติด้านนอกนั่น
หรือจะเป็น Meditation Space ตึกคอนกรีตทรงกระบอกสำหรับทำสมาธิที่สำนักงานใหญ่ของ UNESCO ในกรุงปารีส ที่นี่ อันโดะเจาะช่องรอบเพดานให้แสงเรื่อๆ ลอดเข้ามาเป็นวงกลม เหมาะกับการใช้เป็นพื้นที่ทำสมาธิและภาวนาเหลือเกิน
เมื่อพูดถึงแสง สถาปนิกวัย 76 ผู้นี้กล่าวเอาไว้อย่างลุ่มลึกว่า “เพื่อที่จะทำให้งานเป็นที่จดจำ ผมตั้งใจสร้างงานสถาปัตยกรรมให้เหมือนผืนผ้าใบเปล่า และใช้ส่วนประกอบของธรรมชาติอย่างลมและแสงแดดวาดลงไปบนสเปซ ย้อมพื้นที่ให้ชุ่มโชกไปด้วยบรรยากาศอันทรงพลังเพื่อสั่นสะเทือนจิตวิญญาณของคน”
แสงแดดและสายลมยังเป็นเหมือนความคิดอันแผ่วเบาของอันโดะที่ซุกซ่อนอยู่ในอาคาร เพราะเขาไม่เชื่อในการเล่าคอนเซ็ปต์นัก แต่อยากให้พื้นที่ได้พูดด้วยตัวของมันเองมากกว่า “ผมไม่เชื่อว่างานสถาปัตยกรรมควรจะพูดอะไรมากเกินไป มันควรอยู่เงียบๆ และให้ธรรมชาติอย่างแสงแดดและลมเป็นตัวพูดแทน”
ที่ว่าง : จากความว่างเปล่าสู่สิ่งสัมบูรณ์
ธาตุสุดท้ายใน 5 ธาตุคือความว่างเปล่า (void) ตามปรัชญาเรื่องธาตุและสรรพสิ่งของชาวญี่ปุ่น นอกจากที่ว่างจะเป็นพื้นที่ของความว่างเปล่าและไม่มี (nothingness) แล้ว ที่ว่างยังเป็นพื้นที่ของจิตวิญญาณ การรับรู้เหนือจิต และบ่อกำเนิดของความคิดสร้างสรรค์บนโลกอีกด้วย
อันโดะเองก็พยายามสร้างพื้นที่โล่งแห่งความไม่มีนี้ให้เกิดขึ้น ทั้งจากลานโล่งกลางอาคารหลายแห่ง การเจาะเพดานให้เป็นรู พื้นที่ในอาคารที่มักเป็นสเปซกว้าง หรือพื้นที่ขนาดใหญ่บริเวณรอบตัวอาคารที่นอกจากต้นไม้หรือสนามหญ้าแล้ว อันโดะก็ไม่แต่งเติมสิ่งใดเข้าไปอีก
ความมินิมอลนั้นไม่ใช่ความขี้เกียจแต่อย่างใด แต่กลับเป็นจุดกำเนิดที่ทำให้อาคารของอันโดะมีชีวิต เพราะการจัดวางที่ว่างของเขาเป็นไปเพื่อรอการเติมเต็มบางอย่าง ไม่ว่าจะเพื่อให้มนุษย์เข้ามาอยู่อาศัยและเติมพื้นที่ด้วยวิถีชีวิตที่หมุนเวียนในนั้น พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์อย่าง Church on the Water หรือ Church of the Light ที่ผู้คนช่วยกันเติมเต็มจิตวิญญาณ หรือพื้นที่มิวเซียมต่างๆ ที่อบอวลไปด้วยความสร้างสรรค์และจินตนาการที่ลอยฟุ้ง
แนวคิดที่โล่งนี้ยังมาจากความรู้สึกว่ายุคนี้ทุกอย่างถูกขับเคลื่อนด้วยความเป็นเหตุเป็นผลและเทคโนโลยีมากเกินไป สถาปนิกผู้เกิดในศตวรรษก่อนจึงต้องการเก็บพื้นที่โล่งเอาไว้ เพราะอย่างนี้ อันโดะจึงมีผลงานที่สดุดีความว่างเปล่ากลางเมืองหลายแห่ง อย่าง ชอปปิ้งเซ็นเตอร์ที่ Omotesando Hills ที่ตรงกลางเจาะเป็นช่องโล่งท่ามกลางความวุ่นวายและแออัดของโตเกียว
ตลอดเกือบ 50 ปีของการเป็นสถาปนิกของอันโดะ งานของเขาเติบโตไปมากมายเหลือเกิน จากการสร้างบ้านให้ครอบครัวเล็กๆ จนถึงวันที่ได้สร้างมิวเซียมที่ใหญ่โต ก่อสร้างพื้นที่ทางศาสนาแห่งศรัทธาของใครหลายคน ไปจนถึงการแก้ไขสถาปัตยกรรมเก่าแก่จากหลายร้อยปีก่อนที่หลายเมืองไว้ใจให้อยู่ในมือของเขา ถึงอย่างนั้น ความรู้สึกและจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งพอๆ กับคอนกรีตของเขาก็ยังคงเดิม
“ผมอยากจะสร้างสถาปัตยกรรมที่แฝงไว้ด้วยความรู้สึก ผมอยากสร้างบางสิ่งบางอย่างที่มีแต่คนญี่ปุ่นที่จะทำได้ นั่นคือเรื่องความอ่อนไหวและไวต่อความรู้สึก เพื่อควบคุมให้น้ำเหมือนมีชีวิต ทำให้ลมเหมือนมีชีวิต และองค์ประกอบทั้งหมดนั่นคือสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกมีชีวิต” อันโดะว่า
“ก็เหมือนกับสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นอย่างอื่น สักวันหนึ่งอาคารก็ต้องผุพังและสลายไปตามกาลเวลา […] อย่างไรก็ตาม ผมหวังที่จะสร้างอาคารที่จะคงอยู่ไปตลอดกาล ไม่ใช่ในแง่ของการเป็นสสารหรือการคงรูปเอาไว้ แต่ในแง่การอยู่ในใจของผู้คนต่างหาก”
นั่นอาจเป็นความหวังของสถาปนิกวัย 76 แต่สำหรับเรา งานแล้วงานเล่าของอันโดะได้เข้ามาอยู่ในใจไปนานแล้ว และเราก็มั่นใจเหลือเกินว่ากาลเวลาก็ไม่อาจทำร้ายความรู้สึกที่เกิดจากงานของเขาได้แน่นอน
อ้างอิง
หนังสือ Tadao Ando : Endeavors โดย The National Art Center, Tokyo