2014—เราเจอกับใหม่ ศุภรุจกิจขณะที่ทำงานสำนักพิมพ์ใกล้กัน ตอนนั้นเธอก็รู้จักกับโรส—พวงสร้อย อักษรสว่าง อยู่นานแล้ว เราทราบว่าทั้งสองคนต่างติดตามซึ่งกันและกันเรื่อยมา หากนึกไม่ถึงว่า ความสัมพันธ์ระหว่างตัวอักษรของทั้งคู่ จะกลายเป็นหนังสือทำเองเล่มเล็กๆ ที่ประทับใจทั้งคนยุคมิลเลนเนียลและรุ่นเก่ากว่ามาถึง 2 เล่มแล้ว
ใหม่ คืออดีตกองบรรณาธิการสำนักพิมพ์ที่เคยขายเครื่องดับเพลิงมาก่อน ปัจจุบันเป็นบาริสต้า ส่วน
โรส หรือ พวงสร้อย คือนักเขียนและคนทำหนังฝีมือเยี่ยมที่น่าจับตาอีกคนของยุคนี้
2016—ทั้งคู่เขียนหนังสือร่วมกันในชื่อ ‘คุณทั้งสองติดตามซึ่งกันและกัน’ ซึ่งต่างฝ่ายสวมชื่อตัวละคร ‘สุรี’ และ ‘มัทนี’ เขียนเรื่องสั้นๆ จากข้อความในทวิตเตอร์ของกันและกัน ก่อนจะนำมาเรียงร้อย จัดหน้า พิมพ์ ตัดกระดาษ และเย็บเล่มกันเองเพื่อวางขายจำนวนจำกัดในงาน zine ของปีนั้น
2017—There คือผลงานเล่มต่อมา ว่าด้วยฉากหนึ่งของความสัมพันธ์เจือความจริง ที่เกิดขึ้น ณ สถานที่ต่างๆ ในความทรงจำ ทั้งคู่ทำกันเองอีกเช่นเคยแต่จริงจังขึ้นด้วยการขยายสเกลไปพิมพ์ที่โรงพิมพ์แห่งเกาะสมุย และวางขายในงาน Bangkok Art Book Fair ซึ่งได้รับความนิยมจนต้องพิมพ์ครั้งที่สองเป็นที่เรียบร้อย
เรื่องราวข้างในก็ยังคงเอกลักษณ์ของทั้งคู่ เรื่องเล่าเรียบง่ายงดงามบรรยากาศชัดของใหม่ และพล็อตกระทบใจกับวิธีเล่าอย่างคนทำหนังของโรส
ในขณะที่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะเรียกว่าเป็นมิตรภาพสามัญก็พูดได้ไม่เต็มปาก แต่หากจะบอกว่าโรแมนติก ใหม่กับโรสก็คงจะขนลุกเกินกว่า เอาเป็นว่าถ้าเกิดในยุควินเทจ ทั้งคู่คงเป็น penfriend ที่เคยขึ้นเหนือล่องใต้มาด้วยกันจนคุยกันได้ทุกเรื่อง เราเองรู้จักคนทั้งคู่ แต่ก็ยังอยากรู้เรื่องราวระหว่างทั้งคู่ที่กลายมาเป็นพลังสร้างสรรค์งานอาร์ตส่วนตัวให้มากขึ้นอีกสักหน่อยอยู่ดี—โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากอ่าน There จบ
Life MATTERs : ทั้งสองคนเริ่มรู้จักกันได้ยังไง
ใหม่ : เราอยู่โรงเรียนเดียวกันตอนม.ต้น แต่ก็ไม่เคยเห็นกันในโรงเรียน จนม.ปลายโรสก็ย้ายออกไปเรียนที่อื่น แล้วเพื่อนเราก็พูดว่า มีคนนึงที่เราต้องชอบแน่เลย พี่เขาเขียนนู่นนี่นั่นอยู่ เราเองก็เขียนอยู่บ้าง แล้วช่วงนั้นเป็นช่วง Hi5 เราก็อ่านกันไปอ่านกันมาจากโน็ตใน Hi5 และก็คงมีปฏิสัมพันธ์อะไรกันบางอย่าง แต่ไม่ถึงขั้นรู้จักกันเป็นการส่วนตัว
โรส : ก็คือตามๆ กันใน Hi5 แล้วพอเรียนจบ ใหม่ก็ไปเรียนต่อที่จีน ซึ่งที่นั่นบล็อก Hi5 ก็เลยหายจากกันไป
ใหม่ : จนหลังจากนั้นมีถึงอินสตาแกรมแอคเคาต์หนึ่งฟอลมา เราเข้าไปดูเลยรู้ว่าเป็นเขา เลยฟอลกลับไป แล้วก็มาเป็นเพื่อนกันในเฟสบุ๊ก จนเราเรียนจบ ตอนนั้นที่โอกิลวี่ (Ogilvy&Mather) เขามีรับสมัครเวิร์กช็อปก็อปปี้ไรต์เตอร์ ก็เลยสมัครไป เพราะตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะทำอะไรดี แล้วตอนประกาศผลชื่อติดกัน ชื่อจริงเราขึ้นต้นด้วย พ.พานเหมือนกัน แล้วเราทักกันไหมนะ (หันไปถามโรส)
โรส : เราทักกันครั้งแรกที่นั่น
ใหม่ : เป็นครั้งแรกที่ทักกันต่อหน้ามันก็เจื่อนๆ หน่อย แต่ก็เลยรู้จักกันมาตั้งแต่ตอนนั้น แล้วพอจบเวิร์กช็อป โรสก็ถามว่าทำไรอยู่ เราก็บอกว่าขายเครื่องดับเพลิง
โรส : ตอนนั้นเราเหมือนจะได้ทำประจำที่หนึ่ง เป็นของรุ่นพี่คณะที่ทำเอเจนซี่ แล้วช่วงนั้นมีโปรเจกต์ที่ทำร่วมกับสสส. พอทีมต้องการหาคน เราเลยนึกถึงใหม่ก็เลยชวน และกลายเป็นเพื่อนร่วมงานกัน
ใหม่ : แล้วตอนนั้นมันเป็นงานที่ต้องเจอกันทุกวัน ขึ้นเหนือ ล่องใต้ ไปนอนต่างจังหวัด มันเลยเหมือนมีเวลารู้จักกันเยอะขึ้น กลายเป็นคนที่เราคุยทุกเรื่องไปเลย
Life MATTERs : คิดว่าอะไรในตัวอีกฝ่ายที่ทำให้จูนกันติดขนาดนี้
โรส : ไม่รู้ดิ เราว่าใหม่มันเป็นคนที่…จะพูดว่ารู้ใจก็จั๊กจี้ อย่างตอนทำ ‘There’ เนี่ยมันก็จะพิมพ์รายรับรายจ่ายมา บอกเราตลอดว่าตอนนี้เป็นยังไง จะเอาไปส่งร้านนั้น ร้านนี้ ซึ่งตอนนั้นเราอยู่เยอรมัน คือเราทำอะไรไม่ได้เลย นอกจากทำกราฟิกและโพสต์ แต่ใหม่เป็นคนลงแรงทั้งหมด
แล้วมันรู้ว่าเราคงนอยด์ประมาณนึง เพราะเราไม่ได้ทำอะไรเลย เวลามาบอกความคืบหน้า มันจะลงท้ายตลอดว่าไม่ต้องนอยด์นะ แค่แจ้งไว้ให้รู้ ซึ่งตอนแรกเราก็นอยด์ประมาณนึง พอมันบอกไม่ต้องนอยด์เราก็เออ ไม่นอยด์ละ เวลาคุยกันเรื่องอื่นก็เหมือนกัน สมมติเม้าท์ๆ อยู่แล้วมันหายไป มันก็จะบอกว่าไม่ต้องนอยด์นะ มันหายไปทำงาน มันยุ่งอยู่
ใหม่ : ถ้ากูหายไปเกินชั่วโมงคือกูยุ่งอยู่ เดี๋ยวกลับมา
โรส : ก็เป็นคนที่คุยได้ทุกเรื่องแหละ เรื่องส่วนตัว เรื่องเม้าท์ อาจจะเป็นเพราะแบ็กกราวด์ส่วนตัวคล้ายๆ กันด้วย
ใหม่ : แบ็คกราวด์ของเราสองคนคล้ายกันมาก คือเป็นชนชั้นกลาง กลางมาก บ้านอยู่แถวนวมินทร์เหมือนกัน โตมาในสิ่งแวดล้อมที่คล้ายกัน มันลิงก์กันง่าย เวลาที่คนอื่นมองเข้ามา โรสจะเป็นคนที่เท่มาก แต่เราจะรู้จักมันในมุมที่มันเดินไปกินก๋วยเตี๋ยวแถวบ้าน เป็นอีกลุคนึง ซึ่งอะไรที่ทำให้จูนกันได้ มันก็คงเป็นอย่างที่โรสบอก
โรส : คือมันก็มีช่วงที่ปรับกันแหละ มีช่วงที่เราหงุดหงิดมันและมันก็หงุดหงิดเราในบางเรื่อง แต่พอรู้ธรรมชาติกันก็จะรู้แล้วว่าอีกสักพักนึงเดี๋ยวมันจะหาย อย่าเพิ่งคุยกันในตอนนี้ แต่ไม่ใช่ว่าหายจากการไม่คุยนะ แต่มันก็จะเป็นสไตล์แบบ เออ เมื่อกี้ กูขอโทษนะ หรือเมื่อกี้กูนู่นนี่นะ ไม่ได้ปล่อยให้มันหายไปเฉยๆ
ใหม่ : พอละ จะอ้วกแล้ว
โรส : เราคุยกันทุกเรื่อง จนมันเกินความโรแมนติกไปแล้ว ถ้าจะได้กันก็คงได้กันไปนานแล้ว เราไม่เคยเปลือยเปล่าด้วยกันนะ (หัวเราะ) และคนในความสัมพันธ์ของพวกเราทั้งคู่ก็รู้กันอยู่แล้ว
Life MATTERs : อะไรที่ทำให้ตัดสินใจว่าจะมาเขียนหนังสือด้วยกัน
ใหม่ : ตอนนั้นโรสเป็นคนชวนก่อน
โรส : มันตลกตรงที่เรามาเขียนหนังสือเล่มแรกก็เขียนกับสำนักพิมพ์แซลมอน แล้วใหม่ดันทำงานอยู่ที่นั่น เหมือนเคยทำงานประจำมาด้วยกัน แล้วพอจบไปทุกคนก็ต่างแยกย้ายไปทำโปรเจกต์ตัวเอง เราไปอยู่เยอรมัน ใหม่ทำแซลมอน แล้วพอเราจะเขียนหนังสือ ใหม่มันก็มาเป็นบก.ให้เราเฉยเลย วนเวียนกัน
คือก่อนหน้านี้เราเลิกเขียนไปนานมาก อย่างตอนม.ปลายไม่ได้อยากนับว่าเป็นงานเขียน แต่นั่นมันเป็นช่วงที่เราเขียนเยอะสุดแล้ว แล้วพอเข้ามหาวิทยาลัย ไปทำงาน เราก็ห่างหายการเขียนไปเยอะเลย พอเรากลับมาเขียน มันก็เหมือนเจอเพื่อนเก่าที่ทำให้เรารู้ว่าเคยเขียนได้ ด้วยวิธีการเขียนแบบนี้
พอใหม่มาเป็นกองบก. ให้เล่มเรา จนมีหนังสืออกมา เราพบว่าเราไม่ได้อยู่ในความรู้สึกนี้มานานแล้ว พองานหนังสือจบไปมีงานซีนขึ้นมา เราก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้อยากเขียนคนเดียวแล้ว รู้สึกว่าใหม่มันก็เป็นคนเขียนเหมือนกัน เราอยากเห็นมันเขียน เลยชวนมาเขียนด้วยกัน
ใหม่ : คือเราเป็นคนทำงานเบื้องหลังมาตลอด ไม่เคยรู้ว่าตัวเองเขียนได้
โรส : ซึ่งเราก็เคยอ่านงานใหม่นะ แม้กระทั่งจากสเตตัสก็ตาม เราว่าใหม่เขียนได้ แต่มันไม่ได้เขียนสักที ตอนที่ชวนก็คิดภาพไม่ออกนะว่าจะเป็นยังไง แต่คือเราก็ไม่อยากเขียนคนเดียวแล้ว เพราะเอียนตัวเองประมาณนึง
ใหม่ : พอโรสทักมา ด้วยความที่เป็นคนทำงานกองฯ แว่บแรกคือ มึงจะทำเหรอ อ๋อได้ เดี๋ยวกูช่วยเย็บเล่ม แต่มันก็บอกว่าไม่ใช่ กูจะเขียนกับมึง ก็เลยเริ่ม เหมือนคิดโจทย์กันแล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่าเรามีทวิตเตอร์นี่หว่า ก็เข้าไปดูทวิตเตอร์ แล้วมันก็ขึ้นว่าคุณทั้งสองติดตามซึ่งกันและกัน พอเราเห็นประโยคนี้เราก็รู้สึกว่ามันคล้ายๆ เรื่องของเราแหละ
Life MATTERs : แล้วทำไมถึงใช้ชื่อว่าเป็น สุรี และ มัทนี
ใหม่ : ตอนนั้นโรสมีชื่อที่ใช้อยู่แล้วก็คือสุรี
โรส : คือตอนนั้นเราพยายามไม่ให้ทวิตเตอร์มันเป็นทวิตเตอร์ขนาดนั้น เลยคิดไว้ว่าอยากเขียนเรื่องสั้นลงทวิตเตอร์ใน 140 ตัวอักษร ยังไม่ได้คิดว่าจะทำอะไรต่อ แต่คือเราอยากบริหารสมอง อยากลองเขียนระหว่างนั่งรถไฟไปเรียน คล้ายๆ เป็นการฝึก เลยสมมติชื่อตัวละครขึ้นมา แทนที่จะเล่าว่าเป็นตัวเอง แต่เพื่อเพิ่มความเป็นฟิกชั่นขึ้นมาหน่อย เลยใช้ชื่อว่าสุรี
ใหม่ : พอมีสุรีแล้วมันก็ต้องมีอีกตัวนึง เพราะที่เรามาเขียนด้วยกันมันก็คือการเอาข้อความจากทวิตเตอร์ของอีกฝ่ายมาเขียนเป็นเรื่องสั้น ตอนนั้นเรามีชื่อเพื่อนคนหนึ่งที่ติดอยู่ในหัวเรามาก แต่สุดท้ายด้วยอะไรหลายๆ อย่างก็เลยไม่ได้ใช้ ไปๆ มาๆ เราเลื่อนฟีดแล้วเจออีกชื่อหนึ่งคือ ‘มัทนี’ ซึ่งเราว่ามันลงตัวกว่าชื่อเดิมที่คิดไว้อีก เราก็เลยทักเขาไปขอใช้ชื่อ ซึ่งเขาก็ยินดี
![](https://thematter.co/wp-content/uploads/2017/11/สุรีและมัทนี.jpg)
facebook.com/bunbookish
Life MATTERs : การเขียนในตอนนั้นมันเป็นการก้าวผ่านอะไรในชีวิตไหม
ใหม่ : ในตอนนั้นคือไม่ได้ก้าวผ่านอะไรไปขนาดนั้น สำหรับเราคือมันมีงานซีนขึ้นมา แล้วเราก็คิดว่าเราควรมีงานเป็นของตัวเองได้แล้ว คือมันก็ดี ได้ลงมือทำแล้วแค่นั้นมันก็จบ ไม่ได้คาดหวังว่าจะต่อยอดจากซีนเล่มนี้ไปถึงหนังสือเล่มอื่น
โรส : ตอนเขียนคือเราไม่อยากใช้คำว่าทดลองนะ แต่มันสนุกดี เหมือนกลับไปเขียนตอนม.ปลาย ที่ได้ลองอย่างนั้น อย่างนี้ ดูมีความเล่น อย่าง There มันจะมีทั้งกึ่งจริงกึ่งความรู้สึก แต่สุรีกับมัทนีมันง่ายมาก เหมือนเป็นความสนุกและอยากเขียน จุดประสงค์มันคือเขียนซีนแล้วไปวางกันเล่มนึง มันง่ายมาก สำหรับเรามันเลยสดใหม่มาก
ใหม่ : ด้วยความที่แต่ละคนมีความตลก ความไม่จริงจังในตัวทวิตเตอร์อยู่แล้ว มีความไม่จริง 100 % ไม่ได้ประวัติศาสตร์ ไม่ได้เป็นแฟคต์ใดๆ ซึ่งพอมันตั้งต้นมาจากตรงนั้นมันก็เลยเป็นอะไรก็ได้
Life MATTERs : พอมาถึง ‘There’ มีความจริงจังมากขึ้นไหม
โรส : ตอนเริ่มต้นของ There กับ สุรี และ มัทนี จะคล้ายกัน เรื่องของเรื่องคือวิว จากสเปซบาร์ ทักมาว่าจะมีงาน Bangkok Artbook Fair อยากชวนมาทำซีน หัวข้อ work&travel เราก็โอเค สนใจ แต่ยังไม่ได้อะไร ยังคุยกับใหม่อยู่เลยว่ามีโปรเจกต์นี้ ทำไหม ก็โอเคทำ แต่ไม่ได้คิดว่ามันจะเป็นเรื่องสั้น มีคอนเซปต์อย่างนี้ อะไรขนาดนั้น แต่พอถึงจุดนึงที่รู้สึกว่าเราต้องคุยกันแล้วว่าจะทำอะไร ก็เริ่มคุยเรื่องต่างๆ เหมือนอัพเดตชีวิตกัน
ใหม่ : เหมือนเราก็อัพเดตชีวิตกันเป็นช่วงๆ อยู่แล้ว เป็นคนที่คุยกันตอนลืมตา คือต่างคนก็ต่างรู้ว่าอีกฝ่ายไปไหนมา อะไรยังไงที่ไหน พอมันเป็นมีคำว่า travel เราก็รู้สึกว่าช่วงนั้นเราก็เดินทางกันบ้าง แต่ละเมืองมันก็น่าพูดถึง แต่จะพูดถึงยังไง เล่าแค่การเดินทางก็อาจจะไม่ใช่วัย แล้วก็มีคนเขียนที่ดีเยอะมากแล้วด้วย ก็เลยใช้เป็นชื่อสถานที่ แล้วแต่ใครอยากเขียนอะไรก็ไปเขียน
โรส : เราคิดว่ามันอาจจะเริ่มมาจากการแซวกันด้วยชื่อสถานที่ด้วยมั้ง แบบรู้ว่าใครไปไหนมาเป็นยังไง ก็จะแซวแบบ ปาดังเบซาร์เป็นไง นครสวรรค์เป็นไง
Life MATTERs : ในหนังสือเหมือนจะมีส่วนของ non-fiction เยอะเหมือนกัน มีการปรุงแต่งมากน้อยแค่ไหน
ใหม่ : สำหรับคนเขียน บางอย่างเรารู้สึกกับมันแค่ 0.5 แต่พอมาเขียนมันก็อาจจะเป็น 5 ในการเขียน เราต้องเข้าใจและมั่นใจว่าจะสามารถสื่อสารกับวัตถุดิบได้ เพราะมันก็จะมีบางเรื่อง บางคนที่เราไม่สามารถหยิบมาใช้ได้ขนาดนั้น คือเราตั้งต้นว่าจะเขียนฟิกชั่นแหละ แต่พอได้เขียนออกมาแล้วมันจริงจนอ่านแล้วรู้สึก เฮ้ย! เรายังพูดกับโรสอยู่เลยว่าอยากจินตนาการได้เก่งกว่านี้
โรส : บางเรื่องเรารู้สึกว่ามันมีความรู้สึกจริงๆ ปรากฏอยู่นะ และมันก็เป็นเสน่ห์ในการเขียนของใหม่ ที่มันเหมือนจะเปิดแต่ก็มีความปิดอยู่ คือคนอ่านสามารถเข้ามาอ่านได้นะ เหมือนให้มาด้อมๆ มองๆ เขาคุยกัน โดยที่ไม่ได้รับรู้อะไรเพิ่มเติม ไม่ได้รู้ว่าเรื่องต่อจากนี้เกิดอะไรขึ้น หรือก่อนหน้านั้นสองคนนี้มีอะไรกัน
ซึ่งเราว่าตรงนี้มันอาจจะเป็นความจริงที่ไม่ได้ทำร้ายใครขนาดนั้น ของเราก็มีความจริงอยู่ แต่มันไม่ได้มีความจริงจนต้องขอคนในเรื่องว่าจะเอามาเขียนนะ เพราะเราก็ไม่ได้เขียนถึงคนต้นเรื่องอะไรขนาดนั้น แต่มันเป็นการรวมเอาสถานการณ์ในตอนนั้นมาใส่ไว้รวมกันมากกว่า มันน่าจะเป็นสิ่งที่รู้กันอยู่แล้วว่าได้ประมาณไหน
Life MATTERs : รู้สึกอย่างไรกับเรื่องราวที่เล่าออกไปแล้ว
โรส : มันเหมือนสารถึงใครบางคน ที่เมื่อเขาอ่านเขาอาจจะรู้สึกหรือไม่รู้สึกก็ได้ว่าเป็นตัวเอง เหมือนเราได้ใช้โอกาสนี้ทั้งขอโทษ ทั้งขอบคุณ หรืออะไรก็ตามที่ไม่ได้บอกชัดเจนขนาดนั้นว่าเรื่องอะไร อย่างเรื่องนครสวรรค์ ตอนที่เขียนเราไม่ได้รู้สึกว่าจะต้องเขียนให้แม่ หรือเขียนให้ใครอะไรใดๆ ขนาดนั้น
เขียนจบปุ๊บก็รู้สึกได้ว่าเราอาจจะไม่ได้เขียนเรื่องแม่ด้วยซ้ำ มันอาจจะหมายถึงการที่เราไม่ได้บอกขอโทษ หรือการที่เราได้บอกเหตุผลบางอย่าง รวมถึงการที่เราไม่ได้ชัดเจนกับเรื่องบางเรื่องหรือคนบางคน ใดๆ ก็ตาม โดยที่ใช้เรื่องของแม่มาเป็นตัวต้นเรื่อง
ใหม่ : เราก็คงต้องพูดถึงเรื่อง จันทบุรี ที่พูดถึงตัวละครพ่อ ซึ่งส่วนตัวเราสนิทกับแม่มาก แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เราทำงานเขียนจะมีพ่ออยู่ตลอด ด้วยความที่เขามีบุคลิกเฉพาะบางอย่าง เราก็ชั่งใจอยู่นานว่ามันจะโอเคไหม คนที่อ่านจะตีความไปกันใหญ่ไหม เราก็รู้สึกว่ามันคงต้องเขียนออกมา มันก็คือคำว่าผ่อนคลาย ปลดปล่อยประมาณนึง โอเค หลังเขียนจบมันก็มีบ้างที่ดิ่งลงไปเลย หรือแย่ไปเลยก็มี แต่หลังจากนั้นคือการปลดปล่อย
โรส : พอมันเป็นเวลาที่เราเล่าเรื่องส่วนตัวให้ใครฟัง ให้เพื่อนสนิทฟัง มันก็จะเป็นมวลเรื่องประมาณนี้ แต่เรารู้สึกว่าพอมันเป็นงานเขียนที่ไม่ได้รีเฟอร์ถึงใครโดยตรง คนที่รู้จักมาอ่าน มันก็จะเป็นอีกมวลนึงที่เขาไม่ได้รู้สึกในตอนที่เราเล่าให้ฟัง มันอาจจะลึกกว่า
เหมือนแม่เราที่อ่านหนังสือ และดูงานเราทุกอย่าง แล้วก็จำได้ โดยที่บางอันเขาไม่ได้รู้ถึงความรู้สึกตั้งต้นหรืออะไร แต่เขาก็จะรู้สึกว่าเรามีความรู้สึกอะไรบางอย่างที่เขาไม่เคยรู้มาก่อน เขาใช้วิธีดูงานเราว่าสภาพจิตใจเราโอเค หรือไม่โอเค เพราะเราไม่ได้คุยกับแม่ขนาดนั้น มีปัญหาอะไรเราจะไม่ค่อยคุยกับที่บ้าน แต่เรารู้สึกว่าเราจัดการได้
ไม่ใช่ว่าเราไม่สนิทกับที่บ้านนะ เราสนิท แต่บางเรื่องที่ส่วนตัวมากๆ ใหม่อาจจะคุยกับแม่ แต่เราอาจจะคุยกับใหม่ มันเหมือนเป็นพื้นที่ที่เราสบายใจจะพูด แต่ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัวอื่นๆ บางทีเรารู้สึกว่าเขาไม่จำเป็นต้องรับรู้ก็ได้ แต่พอเราเขียนงานแบบนี้แล้วพอเขามาอ่าน เหมือนเราได้แอบยื่นให้เขาดูว่าตอนนี้มวลภายในเราเป็นยังไงอยู่ โดยที่เขาอาจจะรู้หรือไม่รู้ว่านี่คือการสื่อสารชนิดหนึ่ง
ใหม่ : มันก็คงจะเป็นการสื่อสารอีกรูปแบบ คนใกล้ตัวหรือคนที่บ้านที่มาอ่าน เขาก็จะได้รู้ว่ามุมนี้เราคิดแบบนี้ หรือในมุมนั้นเป็นยังไง ทำให้เราได้เรียบเรียงความรู้สึกทุกๆ อย่าง เหมือนได้จัดลำดับอีกครั้งนึง เหมือนได้จัดห้อง พอจัดแล้วห้องมันสะอาดขึ้น หรือถ้ามองในมุมคนไม่รู้จัก ตัวละครอาจจะไปซ้ำกับเขาในมุมหนึ่ง อาจจะไปซ้ำกับเพื่อนคนนึง เพราะใน There มันไม่ได้เฉพาะเจาะจงขนาดนั้น มันสามารถเป็นใครก็ได้ คนใกล้ตัวอ่านแล้วก็จะได้แบบหนึ่ง คนวงไกลออกไปอ่านก็จะได้อีกแบบหนึ่ง
โรส : มันไม่เชิงเป็นไดอารี่แต่มันคือบันทึกมวลที่อัดแน่นในสองสามปีที่ผ่านมา ได้เวลาทำความสะอาดมัน
ใหม่ : มันเป็นจังหวะที่จะเรียกว่าดีก็เรียกไม่เต็มปาก เป็นช่วงที่เปลี่ยนผ่านหลายเรื่อง ในเวลาไล่เลี่ยกัน There เลยเป็นเหมือนก้อนอะไรบางอย่างที่เราได้กวาดมันออกไป
![](https://thematter.co/wp-content/uploads/2017/11/There.jpg)
facebook.com/CandideBooks
Life MATTERs : พอเรื่องเหล่านี้ไปถึงคนวงกว้างแล้ว รู้สึกกับมันอย่างไร
โรส : แน่นอนมันต้องรู้สึกดี คือเราก็ไม่ได้คาดหวังขนาดนั้น แต่เราก็หวังไว้ว่า 300 เล่มนั้นมันจะหมดแหละ
ใหม่ : คือเราพิมพ์ 300 เล่ม เราก็หวังว่าจะขายในงานได้สักประมาณ 20 เล่ม หลังจากนั้นก็ไปวางตามร้านแล้วขายยาวๆ เป็นปี เพราะเราก็จริงจังกับมัน อยากให้มันอยู่นานๆ หน่อย ไม่ใช่แค่ขายในงานแล้วก็จบ ก็มีการทำโปรโมตเท่าที่จะทำได้ ไม่ถึงกับขนาดว่าไปฝากสื่อ
โรส: ทำกันเองเท่าที่ทำได้ อันนี้ทำได้ก็ทำ อันนี้ลงได้ก็ลง เป็นแบบนั้นมากกว่า เราลงกันเองในเฟซบุ๊กแล้วเหมือนเพื่อนที่เป็นเพื่อนร่วมกันมาเห็น มันก็ไปไกลกว่าที่คิดไว้มาก พอในงานจบไป เราไปฝากตามร้าน มันก็มีฟีดแบ็กกลับมาว่าหนังสือเรากลายเป็นหนังสือขายดีของร้านนั้น
โรส : เราลงกันเองในเฟซบุ๊กมากกว่าแล้วเหมือนเพื่อนที่เป็นเพื่อนร่วมกันมาเห็น มันก็ไปไกลกว่าที่คิดไว้มาก พอในงานจบไป เราไปฝากตามร้าน มันก็มีฟีดแบ็กกลับมาว่าหนังสือเรากลายเป็นหนังสือขายดีของร้านนั้น
ใหม่ : เราเดินเข้าไปที่บูธในงานหนังสือ เขาบอกมันเป็น best seller ซึ่งเราก็งงเหมือนกัน แล้วพอมันไปได้ด้วยตัวมัน เราเลยเพิ่งมานั่งคุยกันเองว่าทำไมวะ พอมันไปได้แล้วพิมพ์ครั้งที่2 เราไม่ได้มีธรรมเนียมว่าหนังสือออกต้องเอาไปให้ผู้ใหญ่หรืออะไร เพราะเราก็เขินๆ รู้สึกว่ามันไม่ได้ตกตะกอน ลุ่มลึก ถ้าเขาอ่านแล้วจะยังไง ก็เลยเออ ให้เพื่อน ให้คนอ่าน อ่านเอาแล้วกัน แต่พอเราไปที่บูธกลายเป็นว่า คนนั้นอ่านแล้วนะ คนนี้อ่านแล้วนะ ฝากมาบอกว่าชอบอย่างไร มีพี่ม่อน (อุทิศ เหมะมูล) พี่วิวัฒน์ (วิวัฒน์ เลิศวัฒน์วงศา) ซื้อไปอ่านด้วย เราก็เลยได้มาทวนอีกที
โรส : คือเหมือนตอนแรกเราก็นึกว่าเพื่อนซื้อ จริงๆ แอบรู้สึกว่าเพื่อนอาจจะยังไม่ได้ซื้อก็ได้ แต่มันจะเป็นเพื่อนของเพื่อน เป็นคนที่ตามไอจีกัน คนที่เพิ่งรู้จัก เป็นคนที่วงถัดออกไปอีก
ใหม่ : เป็นอีกวงนึงที่อาจเคยเจอกันสักที่ เคยอ่านสุรีและมัทนี ในตอนนั้น เห็นเราออกเล่มใหม่ก็เลยซื้อ
โรส : มันก็คงเหมือนที่คนเขียนถึงกันแหละมั้ง คือมันเรียบง่าย หลายคนบอกว่ามันจริงจังเลย เราก็มาพูดกันหลังไมค์ว่าก็มันเรื่องจริงไง (หัวเราะ) อย่างของเรื่องใหม่มันจะชัดตรงเรื่องไดอะล็อก คนอ่านรู้สึกว่าจริง เพราะมันพูดแบบนั้นจริงๆ
คือเวลาเราเขียนหนังสือหรือเขียนบทหนัง ไดอะล็อกบางครั้งมันจะเค้นๆ ก้ำกึ่งระหว่างคำพูดหรือคำเขียน เวลาเราอ่านจะรู้สึกมันสวยเกินไปหรือตั้งใจเกินไป คือมันอาจจะบอกว่าห้องนี้สวยจัง แต่พอมันถูกจัดวางในที่ที่มีบริบทใดๆ ก็ตาม เลยทำให้รู้สึกว่ามันเลี่ยนจัง
แต่ของใหม่มันอาจจะเป็นเพราะว่าคนพูดประโยคนี้จริงๆ ในบทที่ใหม่มันยกมา เราก็เลยรู้สึกว่าพออ่านแล้วมันไม่ได้อี๋ มันมีความจับต้องได้ประมาณนึง อย่างตอนพูดเรื่องคลับฟรายเดย์มันก็มีความตลกแต่ก็มีความจริงในภาษาพูด ซึ่งถ้าให้คนเขียนบทมาคิดประโยคง่ายๆ แบบนี้มันอาจจะเป็นโทนเสียงอีกแบบนึง ที่ไม่ใช่การเรียงประโยคแบบนี้ หรือน้ำเสียงแบบนี้
ใหม่ : เราก็เพิ่งมารู้นี่แหละว่านี่คืองานเขียนในแบบของเราคนมักจะบอกว่าเป็นงานเขียนแบบใหม่ ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าเราเป็นแบบไหนมาก่อน
โรส : พอมาอ่านคอมเมนต์คนก็เลยได้รู้ เอาคอมเมนต์เขามาคิดกันเองว่าน่าจะเป็นแบบนี้
ใหม่ : เรื่องของโรสเองด้วยความที่มันทำหนังมั้ง ก็จะเห็นภาพชัดอยู่เหมือนกัน
โรส : เราจะมีความเล่าภาพ โอเค คำพูดมันอาจจะไม่ได้จริ๊งจริง เราจะเป็นอีกแบบหนึ่ง เราไม่ได้ยกคำพูดนั้นมาเปลี่ยนใหม่ แต่เราอาจจะแทนคาแรคเตอร์นั้นในชีวิตเรากับคนนี้จริงๆ ซึ่งเขาอาจจะไม่จำเป็นต้องพูดประโยคนั้น เราก็แค่ยืมคนนั้นคนนี้มาหน่อย มันเลยเป็นการเล่าด้วยภาพนำก่อนที่จะใส่ดีเทลลงไป เหมือนอย่างที่พี่วิวัฒน์บอกว่าดูมีความเป็นเรื้องเรื่อง ซึ่งพอมาอ่านดูก็เออจริงว่ะ ซึ่งเราอาจจะไม่ได้ตั้งใจในตอนแรก
ใหม่ : แต่สิ่งที่คนชอบกันไม่ใช่สิ่งที่เราชอบตั้งแต่แรก อย่างที่บอกพอเราเขียนจบแล้วเราอ่านคือคนอ่านงานตัวเองเราว่าเราเห็นในมุมที่อยากแก้ อยากเปลี่ยนให้มันเป็นภาพกว่านี้แต่เราก็ทำไม่ได้ เป็นเพราะนี่คือสิ่งที่เราถนัดเหรอ โอเค ประสบการณ์เรายังไม่มากพอ
โรส : อย่างเรื่องกรุงเทพที่เป็นเรื่องแรก เราชอบเรื่องนี้มาก อาจจะเป็นเพราะว่าเราดึงพ่อดึงแม่เรามาใช้ พอเรามีการคอนเนกต์กับพ่อกับแม่ปุ๊บ เรารู้สึกว่าเราอยากเขียน อยากเล่า อยากนู่น อยากนี่ แต่พอน้ำเสียงออกมาสำหรับคนอ่านอาจจะรู้สึกว่ามันไม่ใช่แม่ มันมีความเรา
ซึ่งที่จริงมันก็คือเรา แต่มันมี element ในเรื่องที่เราเศร้า และแฮปปี้ ชอบเรื่องนี้เหมือนมันเป็นสมบัติส่วนตัวนิดหน่อยที่พูดถึงความสัมพันธ์พ่อแม่ และดึงเอาเราเข้าไปมีส่วนร่วม
ใหม่ : มันเป็นจดหมายส่วนตัวของโรสเหมือนกันนะ
โรส : หรืออย่างนครสวรรค์เอง เราก็ไม่ได้คิดว่าคนจะชอบหรือมีคอมเมนต์มากที่สุดเท่าที่ได้รับมา ตอนเขียนเราก็เปลี่ยนรายละเอียดหลายอย่างเหมือนกัน ใครจะเป็นคนเล่า จะเป็นลูกที่แม่เสีย หรือเป็นคนบนรถที่ไปด้วยกัน ก็ลองเขียนๆ ออกมา อย่างที่บอกมันเหมือนเป็นจดหมายถึงบางคน หรือบางสถานการณ์มันก็เลยรวมเอาหลายๆ เรื่องมารวมในเรื่องเดียว เลยกลายเป็นเรื่องชัดสุด
ใหม่ : เผลอๆ ก็เป็นจดหมายถึงตัวเองเนี่ยแหละ เดี๋ยวอีกกี่ปีมาอ่านก็จะรู้ว่าตอนนั้นเราคิดอย่างนี้ เราเพียงแค่อยากบันทึกมันไว้เท่านั้นเอง
โรส : แต่มันก็มีเรื่องที่ไม่ชอบนะ ตอนแรกเราจะมีกันคนละ 5 เรื่องด้วยซ้ำ แต่พอมันมี 3 เรื่องที่อิ่มแล้ว มันไม่รู้จะกลั่นยังไง มันไม่เท่ากับ 3 เรื่องที่เขียนไว้
ใหม่ : มันไม่เท่าไม่ใช่ว่าดีไม่เท่านะ แต่ความรู้สึกของเราต่อสิ่งที่เราเขียนมันไม่เท่า
โรส : คือเรารู้สึกว่าพอมาอ่านอีกทีมันควรอย่างนี้อย่างนั้น แต่ในเวลานั้นเราคงรู้สึกว่าก้อนแค่นี้แหละพอแล้ว แต่ถามว่ายังเติมได้อีกไหม ก็ยังเติมได้
ใหม่ : แต่อะไรอย่างนี้ก็จะรู้สึกพร้อมกันนะ หมายถึงว่าเราคิดว่าพอแล้ว เท่านี้แหละ แต่ก็ไม่กล้าบอก ไม่สิ มันรู้สึกว่าลองอีกสักหน่อยดีกว่า เพราะเราก็ตกลงกันไว้แล้ว แต่พอเช้าวันรุ่งขึ้นโรสมันก็มาพูดกะเราว่า เออ พอแค่นี้แหละ
โรส : ไม่งั้นมันจะรู้สึกว่าใส่ๆ เข้ามาให้มันครบๆ ก็เลยรู้สึกว่าคนละ 4 เรื่องกำลังดี ถ้าไปเรื่องที่ 5 เรื่องที่ 6 มันจะไม่ได้ละ มันไม่จำเป็นต้องครบแล้ว เท่านี้แหละที่เราต้องการ
Life MATTERs : เรื่องสุดท้ายของทั้งสองคนคืออะไร
ใหม่ : กรุงเทพ
โรส : บาร์เซโลน่า
Life MATTERs : ถ้าเป็นคนที่อยู่ในเรื่องพวกนั้นที่คุณเขียน ควรรู้สึกอย่างไร แปลว่าเราเป็นคนสำคัญไหม
โรส : ก็สำคัญในระดับหนึ่ง อย่างน้อยก็มีความทรงจำบางอย่างร่วมกัน ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี
ใหม่ : ถ้ากลับมาอ่านเขาก็คงจะยิ้มๆ แหละ ไม่ได้ทำร้ายหรืออะไร มันคงไม่ได้แย่ขนาดนั้น
Life MATTERs : ทำไมเรื่องดูอัดอั้น แต่ปกดูเรียบง่ายมาก เลือกปกกันอย่างไร (คำถามเสริมโดย ธนาคาร จันทิมา แห่ง ไจไจบุ๊คส์)
โรส : ไม่เหมือนตอนสุรีกับมัทนี พอทำ ‘There’ เราก็มาลองลิสต์กันว่าจะมีเมืองอะไรบ้างจะอยู่ในเรื่องนี้ แล้วเราก็ลองเอามาเรียงกันในกระดาษ ประมาณนี้นะ ลองใส่เลขหน้าดู แล้วอยู่ดีๆ ก็รู้สึกว่ามันควรมีคำว่า There ขึ้นมา ก็คือสภาวะนั้น เสร็จก็เลยลองถ่ายให้ใหม่ดู แต่ในใจก็ชอบมากนะที่จะให้อันนี้เป็นปก
เพราะเรารู้สึกกว่าเรายังไม่เห็นเนื้อข้างใน ซึ่งปกก็มีความชี้นำอยู่ประมาณนึงเหมือนกันนะ ถ้าเป็นปกผู้ชายผู้หญิงมันก็จะดูโรแมนติกไปเลย ปกเป็นวิวมันก็จะดีเหรอ เลยเป็นแคนวาสประมาณนึง เอาขาวๆ ไปก่อนละกัน แล้วก็รู้สึกว่าอยากได้กระดาษที่ไม่ใช่ขาวดำ เพราะสุรีและมัทนีใช้ไปแล้ว ออกมายังไงก็คงสวยเรียบ
ใหม่ก็บอกวาอยากให้หนังสือเล่มนี้มันเล็กและพกง่าย แต่ความต้องการของเราคืออยากได้กระดาษสีชมพู พอเป็นสีอื่นมันจะไม่ใช่หนังสือขนาดนั้น จะดูเป็นของฝาก มันจะไม่ให้ความรู้สึกหนังสือขนาดนั้น นี่คือสิ่งที่เราต้องการเบื้องต้น พอวันที่ต้องส่งปกก็ทำใหญ่เลย ทำหลายแบบมีเดสติเนชั่นเครื่องบินอะไรบ้าง
ใหม่ : ส่งมาเราก็ไม่หือไม่อือสักปกเลย ในใจเราก็คงไม่ได้ชอบ
โรส : เราทำเองเราก็ไม่ได้ชอบขนาดนั้น แค่ทำให้ใหม่ดู เผื่อใหม่ชอบก็โอเค
ใหม่ : เราก็ เออ ไม่ได้ชอบขนาดนั้น แต่ถ้าโรสชอบก็เอา (หัวเราะ)
โรส : ก็รู้สึกว่าแบบนี้ไม่โอเค
ใหม่ : โรสบอกกลับไปจุดตั้งต้นกัน
โรส : พอมาดูมวลรวมก็เออ ต้องกลับไปปกแรก
ใหม่ : แล้วพอส่งให้เพื่อนกราฟิก มันหายไปชั่วโมงนึง พร้อมปกใหม่ให้เลือกใช้
โรส : เหมือนเพื่อนก็แนะนำมาว่าทางแปลกมันมี 2 ประเภทนะ แปลกดีกับ… (หัวเราะ) แต่เราก็รู้สึกว่าอันนี้มันลงตัวแล้วแหละ เพราะเรื่องมันถึงแม้จะมีจุดเชื่อมแต่มีความกระจัดกระจายออยู่พอสมควร แล้วพอมันเป็นปกที่บอกแค่หน้ากับชื่อเมือง มันก็ไม่ต้องคาดหวังหรือลีดความรู้สึกดี
ใหม่ : เลยนึกย้อนไปถึงตอนที่โรสพูดว่าปกมันไม่ได้พาไปทางไหน เพราะตอนเราเขียนก็พยายามไม่ให้สรรพนามมันพาไปทางไหนเหมือนกัน
Life MATTERs : เรื่องสรรพนามต่างๆ ที่ใช้ในเรื่อง รู้สึกว่ามีการเลี่ยงเรื่องเพศสภาพประมาณหนึ่ง
ใหม่ : สำหรับเรา เราตั้งใจให้มันเป็นแบบนั้น เราไม่อยากให้รู้สึกว่าตรงนั้นมันมากั้นอะไรบางอย่าง ต้องเป็นพระเอก เป็นนางเอก ตัวละครชายหญิง มันก็แล้วแต่ที่คนอ่านจะมีภาพในหัวอย่างไร ตรงนี้อาจทำให้มันไปกว้างกว่าที่เคย
เราไม่ชอบคำว่าชายคนหนึ่ง หญิงคนหนึ่ง มันจะมีเพลงที่เราชอบนะ แต่การที่เขาขึ้นมาว่า ชายคนหนึ่ง หญิงคนหนึ่ง เราจะรู้สึกนิดหนึ่งว่าทำไมต้องระบุขนาดนั้น พอเป็นแบบนี้เราเลยชอบมากกว่า เราคิดหลายอย่างมากว่าจะระบุสรรพนามยังไง
โรส : อย่างเรื่องเบอร์ลิน เราคิดคาแรคเตอร์หลักคือผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่เบอร์ลิน แล้วก็มีผู้ชายเข้ามา แล้วพอเขียนไปก็รู้สึกว่าต้องมีคาแรคเตอร์แปลงเข้ามา เราก็เดินทางไปพร้อมกับตอนเขียนเหมือนกัน เพราะเราก็ยังไม่ได้คิด ก็เลยลองขนานไปด้วยกันว่าจะไปทางไหนได้บ้าง แล้วก็มีความโชคดีอีกนิดนึงตรงที่เราไปทางนี้แล้วเราชอบ ก็เลยไปเวย์นี้เลย
แล้วตอนเขียนก็ไม่ได้รู้สึกว่าต้องเป็นหญิง – หญิง แต่พอเขียนมันก็ออกมาโดยธรรมชาติ ไม่ได้บังคับหรืออะไร เหมือนตอนที่ใหม่บอกว่าเขียนสรรพนาม เดี๋ยวคนอ่านเขาก็จะไปตีความเอง อาจเป็นเพราะในเรื่องไม่ได้มีการแนะนำตัวละครชัดมากขนาดนั้น
ใหม่ : เราไม่ได้กำหนดคาแรคเตอร์ขนาดนั้น วิธีการคิดหรืออะไรเราก็ไปเกลามันอีกที แต่มวลก้อนแรกมันก็มาแบบนี้
โรส : แล้วด้วยความที่ใหม่มันเป็นกองฯ มามันก็จะรู้สึกว่าเราพิมพ์มาแบบไม่ได้จัดระเบียบ
ใหม่ : คือเราก็อยู่สำนักพิมพ์มา ด้วยกระบวนการทำงานตอนนั้นก็จะมีคอมเมนต์ อีดิต จัดระเบียบให้มันใหม่ พอเป็นอันนี้เรากลับรู้สึกว่าถ้าไม่สุดจริงๆ ไม่ได้มีที่ผิด เราก็ไม่อยากแก้ ซึ่งที่โรสเขียนมา อาจจะผิดหลักภาษาแต่เราก็ปล่อย เพราะก็เป็นของมัน ถ้าแก้ให้สวยงาม มันก็คงไม่จำเป็นต้องเป็นโรสเขียนก็ได้ แล้วยิ่งเราทำกันเอง มันไม่ต้องขึ้นอยู่กับอะไรเลย ก็ปล่อยไปตามนั้นเลย นอกจากอันไหนไม่เข้าใจจริงๆ ก็จะทัก
Life MATTERs : สุดท้ายแล้ว There เป็นอะไรสำหรับทั้งสองคน
โรส : มันเป็นสิ่งที่ทำให้ใหม่รู้สึกว่าฟินนั่นแหละ
ใหม่ : คือเราก็ไม่เคยมีผลงานที่มีชื่อตัวเองในเบื้องหน้าจริงๆ เหมือนเป็นการค้นพบว่าเราทำได้ เดี๋ยวทุกอย่างมันก็จะเข้ามาเอง มันเป็นคำว่าฟิน สำหรับเรา เพราะโรสมันก็มีงานของมัน แต่มันก็คงจะดีใจเหมือนกัน
โรส : ของเรามันเป็นมุมปลดล็อคอะไรบางอย่าง ได้ทำงานกับใหม่ แต่พอมาเขียนแล้วเจอเพื่อนมาบอกว่าดีใจที่ได้อ่านงานเรา เลยรู้สึกว่าหรือจริงๆ เราเริ่มต้นมาจากการเขียนมาโดยตลอดตั้งแต่เด็กน้อย
ใหม่ : เราเจอกันด้วยการเขียนด้วยนะ
โรส : แต่เราก็ห่างหายไป โอเค เรากลับมาเขียนบ้าง แต่มันไม่ได้มีเวลาอยู่กับมันจริงๆ แต่พอได้กลับมาเขียนได้มาเห็นการเขียนในรูปแบบใหม่ที่มันคล้องกับเรื่องส่วนตัวมันเหมือนได้ปลดล็อคแหละ
เหมือนเราได้ผ่านช่วงชีวิตใดๆ ก็ตามไปหนึ่งสเต็ป มีหนังสือเล่มนี้เป็นจดหมายเหตุนิดหน่อย ถ้าอีก 10 ปีกลับมาอ่านอาจจะไม่ได้จำได้ทั้งหมดร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เราก็จะรับรู้ว่ามีเรื่องราวประมาณนี้เกิดขึ้น ก็คิดกับใหม่เล่นๆ ว่าถ้าเรามีเล่มใหม่จะเป็นยังไงนะ คงไม่ใช่ความรู้สึกแบบนี้แล้ว
ใหม่ : ตอนเขียนสุรีและมัทนี มันก็คือสุรีและมัทนีในปีนั้น แต่ผ่านไปแค่ปีเดียวมันก็กลายเป็น There หมายถึงสิ่งที่เจอ ความรู้สึกประสบการณ์
โรส : เพราะว่าเราต้องมีเรื่องประมาณนึงถึงเขียนได้
ใหม่ : คงเพราะเราไม่ใช่มืออาชีพด้วย เป็นแค่คนที่อยากจะเขียนจริงๆ
หลังจบบทสนทนาอันยืดยาวแต่ไม่อยากให้จบ รู้ตัวอีกทีบนโต๊ะที่เราคุยกันก็เต็มไปด้วยขวดเบียร์ที่ดื่มหมดแล้ว และหลังจากกลับบ้านเราก็คงหยิบ There มาอ่านอีกสักรอบ
photo by Chatrawee Sentanissak